สวัสดีครับพี่หนึ่ง
เวลาญาติหรือเพื่อนมาเยี่ยมเยียนผมที่เกาะนั้น ส่วนหนึ่งก็ทำให้เวลาส่วนตัวผมหายไป แต่อีกทางหนึ่ง การมาของพวกเขาก็มักจะนำมาซึ่งประสบการณ์ดีๆ ที่เวลาพวกเราอยู่กันเองแบบพ่อแม่ลูกแล้วไม่ค่อยได้ทำสักเท่าไร ครั้งนี้ผมเสนอกิจกรรมล่องเรือเล่นเป็นของกำนัลในการมาเยือนของครอบครัวผม ตอนแรกก็ว่าจะกรุ๊ปเล็กๆ นั่งเรือพี่วัฒน์ (พี่คนปูกระเบื้องพาร์ทไทม์ที่เคยพาพวกเราไปขึ้นเรือประมงเพื่อตกปลาหมึกน่ะครับ) แกว่าถ้าครอบครัวน้องมาที่เกาะเมื่อไรให้บอก จะพานั่งเรือเที่ยว จ่ายแค่ค่าน้ำมันก็พอ ผมคิดต่อไปอีกว่าถ้างั้นลองนั่งรอบเกาะไปเลยน่าจะดี อยู่ที่นี่มาร่วมครึ่งปีไปแทบทุกหาดที่รถเข้าถึงแล้ว แต่ก็รู้ว่ายังมีอีกบางชายฝั่งของพะงันที่ไม่เคยเห็น ถ้าได้นั่งเรือเล่นชื่นชมมันในมุมมองจากทะเลบ้างน่าจะเข้าท่า
ผมชวนเพื่อนอีกกลุ่มที่มาในสัปดาห์เดียวกันให้ลงเรือไปด้วย เขาชวนเพื่อนอีกคนที่อยู่ที่เกาะพะงันเหมือนกันไปด้วย แล้วข่าวก็รู้ถึงเพื่อนของเพื่อนอีกกลุ่มซึ่งก็เป็นเพื่อนของผมเช่นกัน จำนวนผู้โดยสารเลขตัวเดียวจึงกลายเป็นเลขสองหลักในไม่ช้า แล้วไม่กี่วันก่อนลงเรือ ผมพบเนียและโมรัน (เพื่อนชาวอิสราเอลคนแรกๆ ที่เรารู้จักตั้งแต่ตอนย้ายมาเกาะพะงันได้ไม่กี่วัน) โดยบังเอิญในร้านอาหาร แม่ของเนียก็มาเยี่ยมพวกเขาที่เกาะอยู่พอดี พวกเขาเองก็สนใจพาครอบครัวร่วมทริปล่องเรือรอบเกาะนี้เหมือนกัน ไม่นับดีนกับเซเฟอร์เจ้าของห้องเช่าที่เราอาศัยอยู่อีก ซึ่งมักไม่ปฏิเสธกิจกรรมอะไรแบบนี้อยู่แล้ว จากกลุ่มเล็กๆ เรือลำเดียวจึงขยายกลายเป็นกลุ่มเพื่อนและครอบครัวเกือบยี่สิบคนบนเรือสองลำ
ถึงเวลาบ่ายสองโมงครึ่งวันศุกร์ที่ท้องฟ้าแจ่มใส ผู้คนที่เรารู้จักมานานและเพิ่งรู้จักไม่นานบนเกาะก็มาพร้อมกันที่อ่าวศรีธนู ท่าเรือชาวประมงพื้นบ้าน เบียร์สามถาดและน้ำแข็งสามกระสอบถูกแบ่งและกระจายลงถังแช่ในเรือทั้งสองลำ ผู้โดยสารวัยเยาว์และวัยเกษียณลงเรือลำนึง ผู้โดยสารอีกลำเป็นคนวัยกลางคนรุ่นประมาณผมซึ่งประกอบไปด้วยโยคี ไอทีแมน เนเชอรัลลิส (พวกชอบเปลือยกายท่ามกลางธรรมชาติ) หมอดู และพยาบาล ผมจำต้องลงเรือลำแรกด้วยเหตุว่ามีเรือลำนั้นมีทั้งพ่อแม่ผมและลูกชายนั่งอยู่ ส่วนเมียไปลำวัยรุ่น (รุ่นผม) โดยให้เหตุผลว่าเบียร์ในเรือลำนั้นเย็นชื่นใจกว่า 555
ตอนแรกก็กังวลที่ต้องแบ่งคนลงเรือเป็นสองลำ เพราะทุกคนที่มาก็คนรู้จักทั้งนั้น แยกลำแล้วกลัวดูแลและพูดคุยไม่ทั่วถึง แต่ครั้นเรือออกก็พบว่าไม่ได้แย่อย่างที่คิด เรือแล่นตามกันบ้าง ตีคู่กันไปบ้าง ระหว่างเรือทั้งสองลำพวกเราตะโกนแซว แลกรอยยิ้ม โบกไม้โบกมือ และชนกระป๋องเบียร์ผ่านคลื่นอากาศและฟองคลื่นกันอยู่เนืองๆ ความสุขและความงามที่เราประสบกลับแจ่มชัดกว่าเวลาที่เรามองไปเรือลำข้างๆ เสมือนเป็นภาพสะท้อนของตัวเราในกระจก รอยยิ้มของภรรยาที่หัวเรือท่ามกลางท้องทะเลสีครามและฟ้าใส ทำให้ผมตระหนักได้ว่าตัวเองเช่นกันก็กำลังมีช่วงเวลาที่ดี
เรือออกจากท่าเทียบเรือ ผ่านหาดทรายชื่อต่างๆ นานา เราเห็นถ้ำที่เคยเป็นแหล่งกบดานของมนุษย์ถ้ำแห่งพะงัน เห็นรูกลางหน้าผาที่เคยเป็นที่อาศัยของมนุษย์ผู้หนึ่ง ผู้ซึ่งหากหิวข้าวก็ต้องไต่ผาลงมาหาอะไรกิน หากเหนื่อยล้าก็ต้องปีนขึ้นผาไปนอน สำหรับพ่อหนุ่มคนนั้นการปลีกวิเวกมาอาศัยกลางผาสูงนั้นคงเป็นแค่เรื่องชั่วคราว เมื่อบรรลุถึงสัจธรรม การปลิดชีวิตทิ้งความวุ่นวายบนโลกไว้เบื้องหลังต่างหากคือคำตอบที่จีรัง นั่นคือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อปีก่อนผ่านคำบอกเล่าจากเพื่อนคนหนึ่งของเขาที่เผอิญขึ้นเรือมากับเราในวันนี้
บางช่วงของการล่องเรือ เราพบหน้าผาหินสูงชันและหมู่ไม้ที่ขึ้นกันหนาแน่นจนเป็นป่าธรรมชาติปราศจากร่องรอยมนุษย์ ในบางตอนเราเห็นกลุ่มบ้านสีขาวหรูหราผุดขึ้นกลางดงไม้สีเขียวริมเขา สองภาพนี้ทำให้เราพอจะเห็นภาพในอดีตและจินตนาการถึงอนาคตได้ไม่ยาก
ผมเองก็เคยชอบและอยากจะมีบ้านริมทะเลหรือริมผาวิวทะเลแบบนั้น บ้านแบบนั้นใครเล่าจะไม่ปรารถนา ตื่นมาในห้องแอร์เย็นฉ่ำปราศจากแมลงและควันไฟ แล้วก็เห็นทะเลได้โดยแทบไม่ต้องลุกจากเตียง
ผมยังมองเห็นบ้านเหล่านั้นว่าสวยงามอยู่เหมือนเดิม หากแต่ความแคลงใจบังเกิดขึ้นในตอนที่ผมมองมันจากเรือประมงลำเล็กๆ ในระยะสามสี่ร้อยเมตรจากชายฝั่ง คำถามถึงความไม่เท่าเทียม ทำไมการที่ใครสักคนอยากจะเห็นทะเลต้องก่อให้เกิดการเปลี่ยนแปลงต่อภูมิทัศน์ของเกาะซึ่งปรากฏอยู่ในสายตาใครอีกหลายคนขนาดนี้ สำหรับผมมันคือการสำแดงกดขี่ในอีกรูปแบบหนึ่ง ถ้าผมเป็นชาวประมงพื้นบ้านที่ต้องออกเรือหาของทะเลเพื่อดำรงชีพแล้วเห็นภาพบ้านสีขาวเหล่านี้ทุกวัน ความโกรธเคืองและอิจฉาต่อความไม่เท่าเทียมนี้คงกรุ่นในใจจนวันหนึ่งกลายเป็นความเกลียดชังต่อโลกนี้เป็นแน่
ใครสักคนเล่าให้ฟังว่าในโลกของคริสเตียนนั้น ความรวยเป็นบาปอย่างนึงจึงมีคำกล่าวเตือนสติบรรดาผู้มีอันจะกินชาวคริสเตียนทั้งหลายว่า “โอกาสที่คนรวยจะได้ไปสวรรค์นั้นน้อยกว่าโอกาสที่อูฐจะลอดผ่านรูเข็มได้เสียอีก”
คนรวยในโลกตะวันตกจึงอาจต้องพยายามอยู่อย่างสำรวมเงียบๆ ในโลกของพวกเขา ครั้งหนึ่งผมเคยไปเมืองมอนติคาร์โล ในโมนาโก เมืองที่ว่ากันว่าประชากรมีรายได้สูงที่สุดแห่งหนึ่งในยุโรป ตอนไปถึงก็เห็นถึงความรวยแบบนั้นจริงๆ สินค้าที่งานแฟร์ในเมืองนั้นเค้าขายกันตอนที่ผมไปเยือนก็คือเรือยอร์ช ลำหนึ่งก็มีราคาร่วมหลายสิบล้านบาทขึ้นไป แต่สิ่งที่แปลกตาสำหรับผมและมักจะนำมาเล่าให้ใครต่อใครฟังหลายครั้งก็คือ ระหว่างที่เดินอยู่ริมฟุตบาทผมเห็นภาพคู่สามีภรรยาขับรถสปอร์ตเปิดประทุนและมีลูกน้อยอยู่ข้างหลังโดยปราศจากเงาของพี่เลี้ยง ผู้คนในเมืองไปไหนมาไหนในที่สาธารณะกับลูกเพียงลำพังก็ดูแลกันได้
สิ่งนี้ตรงข้ามกับภาพที่ผมเห็นเวลาเดินในห้างหรูกลางกรุงเทพฯ หรือเวลาไปพักรีสอร์ทตากอากาศราคาแพงในเมืองไทย ที่เหล่าครอบครัวมีฐานะดีหรือปานกลางทั้งหลายมักพาพี่เลี้ยงตามมาเป็นพรวนเพื่อให้ดูแลลูกๆ ของพวกเขา
ผมเดาเอาว่า บรรดาความรวยที่ชาวตะวันตกต้องคอยเก็บซ่อนเหล่านี้จึงอาจปลิ้นและล้นทะลักมาผลิบานในดินแดนที่ผู้คนยอมรับและอยู่ได้กับความเหลื่อมล้ำแห่งโชคชะตาชีวิตได้มากกว่าอย่างประเทศไทยและประเทศอื่นๆ บางประเทศ ภาพบ้านหรูหรารั้วรอบขอบชิดท่ามกลางสลัมเป็นสิ่งที่เราเห็นอยู่ชินตาในประเทศนี้ ในบางครั้งใครหลายคนยังคิดเหตุผลให้กับการมีอยู่ของมันว่าเป็นเรื่องของผลบุญผลกรรมแต่ชาติปางก่อน
ล่องเรือไปได้ค่อนทางก็แวะกันที่หาดเทียนอันเป็นที่ตั้งของ The Sanctuary รีสอร์ท แอนด์ รีทรีต ที่สมาชิกคนหนึ่งในทริปเคยทำงานอยู่ เขาเล่าว่าที่นี่คือฉากของนิยายชื่อดังอย่าง The Beach และยังมีร่องรอยในสิ่งปลูกสร้างบางอย่างในรีสอร์ทที่ทำให้เราย้อนไปถึงเรื่องราวขบถในนิยายอิงประวัติศาสตร์เรื่องนั้น ทั้งๆ ที่วันนั้นลมฟ้าสงบแต่ด้วยลักษณะและตำแหน่งของหาดเทียนทำให้มีคลื่นซัดเข้าฝั่งค่อนข้างแรง เรือไม่สามารถเข้าไปเทียบหาดใกล้ๆ ได้ ผมกระโดดลงน้ำแล้วชวนลูกลงตามเพื่อว่ายน้ำขึ้นหาด ลงไปแล้วถึงตระหนักได้ว่าเสี่ยง บางจังหวะคลื่นสูงแทบท่วมหัว ผู้สูงอายุหลายคนลงมาแช่น้ำข้างๆ เรือแล้วก็พบว่าไม่ไหว คลื่นแรงเกินไป พากันปีนบันไดกลับขึ้นไปรอบนเรือ ยังดีที่ลูกเราพอว่ายน้ำได้และตัวผมเองยังดื่มไปไม่เยอะเลยพากันขึ้นฝั่งได้สำเร็จ ขึ้นฝั่งได้ไม่ทันไรพี่วัฒน์บอกว่าออกเดินทางต่อดีกว่า นับหัวแล้วก็พบว่าขาดไปหนึ่งคนซึ่งก็คือน้องชายของผม พอรู้ว่าคนขาดเท่านั้นแหละ เด็กเรือที่ชื่อรองและพี่วัฒน์ก็เปลี่ยนท่าทีจากผ่อนคลายเป็นเคร่งเครียดขึ้นมาทันที คงกลัวว่าเกิดอะไรขึ้นกับน้องชายของผม อาทิ โดนคลื่นดูดกลืนไปในทะเล หรือหลงไปในเกาะ เหมือนกับว่านี่คือหลักการในวิชาชีพที่พวกเขาจะไม่ยอมให้เสียประวัติว่าเคยทำนักท่องเที่ยวหายโดยเด็ดขาด
คล้อยจากนั้นได้สักสิบนาทีน้องชายก็โผล่ออกมาจากอีกฝั่งของหาดพลางบอกว่าเพิ่งกลับมาจากการเดินสำรวจอีกหาดที่อยู่ติดกัน คนเรือต้องขับเรือไปที่อีกจุดของอ่าวที่คลื่นลมสงบกว่าเพื่อให้ผู้โดยสารทั้งหลายปีนขึ้นเรือได้ ออกจากหาดเทียนมาได้สักพัก พวกเราแวะจอดกลางทะเลเพื่อแบ่งเบาภาระเบียร์จากเรือผู้สูงวัยสู่เรือวัยรุ่น ก่อนจะแวะชมและเล่นน้ำกันเบาๆ ที่ลากูนขนาดเล็กบนเกาะแต (ใน) เป็นจุดสุดท้าย
ณ ที่นั่น ผมเห็นภาพผู้คนทั้งหมดของทริป ครอบครัวผม เพื่อน ครอบครัวเพื่อน เพื่อนของเพื่อน คนเรือ หลานของคนเรือ และตัวผมเอง ยืนคุยแลกเปลี่ยนและเล่นน้ำกันอย่างผ่อนคลายบริเวณริมหาดที่เกาะแตท่ามกลางแสงอาทิตย์ลับขอบฟ้า
คิดเข้าข้างตัวเองว่า เหมือนกับตัวเองได้อยู่ในยูโทเปียบางชั่วขณะของชีวิต
เรื่องในบ่ายวันนั้นเริ่มต้นด้วยความกังวลของผมเอง มีเหตุการณ์ชวนตื่นเต้นในตอนกลาง และจบลงอย่างชื่นมื่นตามแบบที่เรื่องเล่าควรจะมี การที่เพื่อนหรือญาติมาหานั้นทำให้ผมมีเวลาเขียนน้อยลงแน่ๆ แต่ดีก็คือหลายครั้งที่พวกเขามา ผมมักมีเรื่องเล่าให้พี่ฟังโดยไม่ต้องค้นหรือเค้นอะไรมากมาย
รักและคิดถึง
จ๊อก
ณ หาดแห่งหนึ่งทางตอนเหนือของเกาะพะงัน
ตอบ จ๊อก
พลอยยินดีไปกับคุณที่ครอบครัวลงไปเที่ยวทะเล ได้ล่องเรือกินลมชมวิวและใช้เวลาร่วมกันในฉากชีวิตปลอดโปร่ง นี่เป็นความธรรมดาสามัญที่เราล้วนใฝ่ฝันถึง ข้อความนี้ขัดแย้งกันเองใช่ไหม ปกติธรรมดา ทำไมต้องใฝ่ฝัน นั่นสินะ สามัญวิถีบางทีกลับเป็นเรื่องเกิดขึ้นยาก ออกแบบนาน ยังไม่รวมว่าบางเราอาจใช้เวลาสะสมทุนรอนเป็นปี หาวันหยุดให้ตรงกัน ทั้งสิ้นทั้งปวงก็ไม่ง่าย และเป็นคล้ายความฝันที่อยู่ไกล เร็วๆ นี้ เราสัมภาษณ์ชายหนุ่มคนหนึ่ง เขาเล่าว่าทั้งชีวิตไม่เคยมี family trip เลย นี่คือเอาแค่ในภายในจังหวัดน่านนะ เพราะบ้านไม่มีรถยนต์นั้นข้อหนึ่ง และข้อสำคัญคือไม่มีเงิน ไม่มีเวลา รุ่นพ่อแม่เป็นชาวบ้านที่มีการศึกษาน้อย ถึงรุ่นตัวเขาจึงพยายามตะเกียกตะกายเรียนหนังสือ เร่งสร้างเนื้อสร้างตัว เพื่อขยับไปทำสิ่งสามัญต่างๆ นานา เช่น ไปเที่ยวกับครอบครัว ฯลฯ เท่าที่ฟัง เรามองเห็นความหวัง เห็นความก้าวหน้าของผู้คนเจเนอเรชันใหม่ๆ พวกเขาอ่านอดีตที่ผิดพลาดของบรรพบุรุษ เข้าใจโครงสร้างการเมืองและไม่ยอมจำนน
เราเห็นว่า สิ่งหนึ่งที่คนหนุ่มสาวแตกต่างจากคนรุ่นพ่อแม่ชนิดหน้ามือเป็นหลังมือคือการมองเห็นโลกที่กว้างกว่า ทั้งด้วยสองเท้าที่ไปมาแล้วจริงๆ และข่าวสารข้อมูล อินเทอร์เน็ตซึ่งย่อขยาย ถ่ายเทโลกทั้งใบมาไว้ในมือ เมื่อพบเห็นและเข้าใจเกม วิธีคิดจึงเคลื่อนย้ายไปเป็น global citizen เกิดเมืองไทย เกิดที่น่าน แต่หัวใจของเขาถูกบ่มเพาะให้เป็นพลเมืองโลก หน้าต่างประตูมันถูกเปิดออกไปแล้ว โซ่ตรวนศักดินาจารีตมัดล่ามอดีตแห่งสังคมชนชั้นไว้ได้ไม่นานหรอก คุณอยู่พะงัน แวดล้อมด้วยผู้คนนานาชาติและความหลากหลาย ย่อมตระหนักและถ่องแท้ในประเด็นเหล่านี้ดีกว่าเราอยู่แล้ว
ยินดีที่ได้พบคุณ (จดหมายฉบับนี้เป็นเสียงของคนโลกสวยโดยแท้ 55) ในงานครบรอบ 20 ปีหนังสือ ‘เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง’ ที่สำนักพิมพ์สมมตินำมาจัดพิมพ์ใหม่ ครั้งหลังสุดที่เจอกันมันที่ไหนวะ ใช่ริมแม่น้ำเมืองกาญจน์ป่ะ ใช่สิเนาะ ตั้งแต่ก่อนคุณจะย้ายถิ่นฐาน ก่อนเราจะทำ nan dialogue (เราเริ่มต้นชีวิตใหม่พร้อมๆ กัน) รอบก่อนมี ‘พี่ต้อ’ บินหลา สันกาลาคีรี ร่วมวง รอบนี้มี ‘ต้อง’ ปิยะวิทย์ เทพอำนวยสกุล มีคิตตี้ (กิตติพงศ์ สนธิสัมพันธ์), ‘เดียร์’ อินทรชัย พานิชกุล, ‘ใหญ่’ พันธวัฒน์ เศรษฐวิไล, จุ๋ม พีเอส (กับคนรัก) และเพื่อนพี่น้องนักอ่านอีกหลายๆ คน (ขอบคุณวินเนอร์ที่ถือกีตาร์มาสร้างความบันเทิงด้วยเพลงโบราณ และงานใหม่ที่เขียนมันขึ้นมาด้วยตัวเอง–เชียร์สสส) วิกฤติโรคระบาดเรื้อรังไม่จบไม่สิ้น มันยากเสมอที่จะก้าวขาออกจากบ้าน ยังไม่นับเงินและเวลาที่ต้องใช้จ่ายอย่างรอบคอบรัดกุม ในฐานะคนต้นเรื่องที่ขยันหาเรื่องใส่ตัว ขอขอบคุณมือทุกมือที่ส่งมาสื่อสารสัมผัสกัน สำหรับเรา friend กับ family มีส่วนทับซ้อนกันอยู่ ยิ่งเป็น friend ที่มาจากโลกหนังสือ ความหมายมันลึกคล้ายคนรัก ยี่สิบปีที่เวียนว่ายอยู่ในสนามนี้ (ถ้านับจากหนังสือเล่มแรก) บอกเราว่าถ้าเหยาะแหยะเมื่อไรก็พอเถอะ ออกไปเถอะ ผู้อ่านเขาไม่ใช่เพื่อนเล่น เลือกใคร อ่านใคร เขาและเธอจริงจังในทุกระหว่างบรรทัด
ในประเทศละครเพลง (musical country ทัศนะของ ปราบดา หยุ่น) ความจริงจังชนิดนี้นอกจากเป็นเสาเข็ม เป็นกำแพงให้พิง กระทั่งเป็นอากาศให้นักเขียนคนหนึ่งหายใจ มันคือนามธรรมจำเป็นที่เราต้องพกติดตัวเป็นอาวุธประจำกาย อาวุธที่ต้องหมั่นฝึกซ้อม ลับคม ส่วนจะใช้อย่างไร ในเวลาแบบไหนบ้างนั้นคงไม่ใช่คำถาม เพราะคำตอบสำเร็จรูปไม่เคยมี เท่าที่นึกออก หากฟัง เราจะได้ยิน หากมองหา เราจะเห็น ภาพและเสียงเหล่านั้นอาจบุบเบลอ หรือไม่คมชัดเสมอไป แต่มันอยู่ใกล้ๆ ที่นั่งเตียงนอนของเรานี่แหละ ปัญหาคือการจมอยู่กับตัวเองจนหลงลืมไปหมด ว่าอะไรสำคัญ ไม่สำคัญ ละเลยว่าวันเวลาเดินเร็ว พบปะและนั่งกินดื่มกันอยู่เมื่อคืน ป่านนี้คุณคงถึงพะงัน ฝ่ายเรามีงานอีกเล็กน้อย ก่อนหาตั๋วกลับ (โฮสเทลที่เลือก รอบนี้มีฝรั่งให้พอชื่นใจ แม้แม่งจะเดินและคุยเสียงดังฉิบหาย ยังไงก็ดีกว่ารอบก่อนที่ร้างราวป่าช้า) กรุงเทพฯ คือบ้านเก่าที่นานๆ กลับมาทีก็ไม่เลว ได้เดินในตรอกซอยที่คุ้นเคย กินก๋วยเตี๋ยวเจ้าเก่า ได้แวะไปหาเพื่อนที่ร้านหนังสือเดินทาง (ที่ใกล้เวลาออกเดินทางอีกแล้ว) พักหลังๆ การเข้ากรุงของเราเหมือนได้เดินเข้าไปในหนังสือประวัติศาสตร์ มันดีนะ ที่บางหน้ายังส่งเสียง เคลื่อนไหว และชี้ชวนให้เราเห็นอนาคต
ขอบคุณกุญแจรถตู้ที่ส่งให้ (ไร้จินตนาการจริงๆ ว่ะ ไม่รู้จะพามันไปไหน) ส่วนไอเดียที่คุณนำเสนอให้ลงไปเที่ยวทะเล ขอน้อมรับไว้ และเช่นกัน, สะดวกเมื่อไรก็พาครอบครัวขึ้นมาเที่ยวน่าน.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน