the editor
the editor

20 ปี เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง

9 มีนาคมที่ผ่านมา ผมมีงานพบเพื่อนพี่น้อง/ นักอ่าน ในวาระหนังสือ เราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง ครบรอบ 20 ปี สำนักพิมพ์สมมติเป็นเจ้าภาพจัดพิมพ์ หนังสือเสร็จ ก็หาเหตุกินดื่มพูดคุยตามประสา

คนที่สั่งหนังสือ ป่านนี้คงได้รับแล้ว ใครไม่ได้สั่ง ไม่ได้อ่าน ขออนุญาตตัดตอนบางส่วนจากคำตามซึ่งผมเขียนขึ้นมาใหม่นำเสนอ พอให้เห็นร่องรอยอารมณ์

 

the editor

 

วิกฤติสังคมการเมืองใหญ่ๆ หรือภัยธรรมชาติระดับประเทศที่คนรุ่นผมพบเผชิญคือพฤษภามหาโหด 1992 (ที่จริง เกิดทันเหตุการณ์ 6 ตุลาฯ แต่ตอนนั้นเพิ่งจะ 6 ขวบ) ไฟแนนซ์ล้ม/ฟองสบู่แตก 1997 สึนามิ ธันวาคม 2004 รัฐประหาร กันยายน 2006 ล้อมปราบเสื้อแดง เมษาฯ พฤษภาฯ 2010 น้ำท่วมใหญ่ 2011 รัฐประหาร พฤษภาคม 2014 และล่าสุด โรคระบาดโควิด 19 ทุกครั้งล้วนหนักหนาสาหัส มีคนบาดเจ็บล้มตาย บางเหตุการณ์ เช่น รัฐประหารหนล่าสุดยังส่งผลสืบเนื่องไม่จบสิ้น พอมาบวกกับโควิดซึ่งมีพิษร้ายแรงก็เลยยิ่งหนักหนาหาทางออกไม่เจอ ห้าสิบปีที่ผมเห็นโลกมา ไม่เคยมีมหันตภัยครั้งไหนที่สั่นสะเทือนมนุษย์ในทุกแว่นแคว้นแดนดินได้เท่าครั้งนี้ การบินซึ่งหมายถึงการเดินทางอัมพาตไปเป็นปีๆ เมืองหลวง เมืองท่องเที่ยว ย่านธุรกิจการค้าของทุกประเทศรกร้างราวป่าช้า คนล้มตายเป็นเบือ ฯ ประเทศพัฒนาแล้วยังงกๆ เงิ่นๆ ไปไม่เป็น

ประเทศด้อยพัฒนาที่ใช้ปืนปกครองถูกข่มขืนซ้ำสองด้วยวัคซีนกากๆ โควิดคล้ายกล้องคุณภาพเยี่ยมที่ถ่ายทอดสดให้เห็นความพิกลพิการอันเน่าเฟะของรัฐราชการ มันแปลกตรงที่พวกเขาก็ยังมั่นอกมั่นใจ แปลกที่ไม่รู้จักพิจารณาสติปัญญาของตัวเอง ผมแบกรับความถ่อยเถื่อนชนิดนี้ต่อไปไม่ไหว มองหาอาวุธ มองหาอำนาจ พบว่าอาวุธเดียวที่มี อาวุธที่ถนัดมือที่สุดคือนิเทศศาสตร์ พยายามกระจายอำนาจข่าวสาร ‘เปิดน่านฟ้าบทสนทนาเสรี’ สำนักสื่อออนไลน์ nan dialogue เกิดขึ้นมาอย่างนี้ ประชาชนไม่มีปืน ไม่มีรถถัง ทางเดียวที่จะสู้กับรัฐทหารได้ก็คือความรู้ ที่ผ่านมาประชาชนถูกปิดปาก ถูกทำให้กลัว ผมอยากเป็นส่วนหนึ่งในการทวงสิทธิอันแสนปกติธรรมดานั้นคืนมา คนย่อมมีเสรีภาพในการคิด พูด อ่าน เขียน คนที่หมายถึงทุกคน ไม่ใช่เพียงพลเมืองกรุงเทพฯ ผมวาดหวังว่าอีกไม่นาน ทุกจังหวัดจะมีองค์กรข่าวสารของตัวเอง ถึงวันนั้นทุกสรรพศาสตร์จะถูกปะทะแลกเปลี่ยน ถึงวันนั้นเสียงของคนชนบทห่างไกลจะดังเท่าๆ กับคนสีลม สาทร และเมื่อถึงวันที่สังคมไทยมีความหลากหลายทางความคิด ชีวิตคนย่อมเดินด้วยความรู้ ที่อยู่ของเผด็จการจะหดแคบลงไปเรื่อยๆ เชื้อร้ายหน้าด้านหน้ามึนนี้ไม่มีวันหมดสิ้นซากหรอก แต่ตัวมันจะเล็ก และต้องได้รับโทษ ถ้าขับรถถังออกมาฉีกรัฐธรรมนูญ ที่ผ่านมาพวกนี้เคยตัว กร่าง เมิน ลอยหน้าลอยตา เพราะทำผิดก็ไม่เคยต้องรับผิด

โครงสร้าง คนสร้าง

คณะนิติราษฎร์ นำโดย วรเจตน์ ภาคีรัตน์ ออกมาอภิปรายเรื่องกฎหมายสำคัญๆ หลายครั้ง รวมทั้งชี้ให้เห็นโครงสร้างอำนาจ ผมเป็นนักเรียนอักษรศาสตร์ ความรู้สายนิติศาสตร์เป็นศูนย์ นี่เป็นปัญหารุนแรงอย่างหนึ่งในทศวรรษแห่งกฎหมาย เราเวียนว่ายอยู่กับมัน แต่ไม่รู้จักมัน ยิ่งถ้าอคติ ปฏิเสธ ไม่ขวนขวายหาวิธีศึกษา สุดท้ายก็จะตกยุคสมัย กลายเป็นคนโง่ที่ไม่รู้ตัวว่าโง่ เสรีชนโรแมนติกพ่ายแพ้เรื่องนี้กันมาก เป็นจุดอ่อนที่แก้ไขไม่ได้เลย ถ้าไม่ขยับออกไปอ่านโครงสร้าง คำถามก็คือขณะที่นิติราษฎร์ลุกขึ้นมาส่องสว่างในเรื่องเขตอำนาจและกระบวนการยุติธรรม พื้นที่ภาคส่วนอื่นๆ มีนักรบอยู่กี่มากน้อย และกับผู้กล้าเอาชีวิตและอิสรภาพเป็นเดิมพันเหล่านั้น เราปล่อยให้เขาโดดเดี่ยวหรือเปล่า

ติดเชื้อในกระแสรัก

ผมร่วมกิจกรรมทำค่ายการอ่านการเขียนหลายครั้ง ตั้งแต่ก่อนมาอยู่ที่น่าน และในปี 2018 ก็เป็นผู้ก่อตั้งเทศกาลบทกวี nan poésie (ทำมาแล้วสองครั้ง ครั้งที่สามยกเลิกเพราะเจอโควิด) ก่อนจะคิดการใหญ่ ทำสื่อสัมภาษณ์รายสัปดาห์นาม nan dialogue พูดไปตอนนี้ใครก็คงไม่อยากเชื่อว่าแท้จริงผมชอบอยู่คนเดียว สำนวน อานนท์ นำภา เรียกว่าจอมยุทธ์ อะไรทำนองนั้น เป็นคนที่เข้ากลุ่มรวมแก๊งกับเขาไม่เป็นเลย นั่นยิ่งไม่ต้องคิดไปไกลถึงคำว่า ‘เจ้าสำนัก’ จุดเปลี่ยนแปลงพฤติกรรมมาพร้อมๆ กับการตอบรับเข้าไปทำ WRITER กับ บินหลา สันกาลาคีรี ไม่มีเขา ผมก็คงอยู่ของผมโดยลำพัง ด้วยเป็นเช่นนั้นมานานตั้งแต่สึนามิ 2004 โดยเลือดโดยเนื้อบินหลาก็เหมือนผมนี่แหละ คือเป็นนักเขียนอิสระ แต่ด้วยความรัก บวกใจใหญ่ใจกว้าง เขามององค์รวม มองสังคม มองประเทศไปด้วย (คล้ายๆ ไม้หนึ่ง ก.กุนที) เกิดมาเป็นนักบอลโดยธรรมชาติ แต่มองรอบตัวแล้วอะไรๆ มันก็ขาดไปหมด เขาจำต้องขยับไปทำหน้าที่อื่นเสริม ไม่ว่าเจ้าของสโมสร ผู้จัดการทีม โค้ช กรรมการ กองเชียร์ หมอนวด เด็กเก็บบอล พูดกันเล่นๆ ในอารมณ์สุราว่า เผลอๆ บางทีก็ต้องเล่นเป็นลูกฟุตบอลด้วย คือช่วยไม่ได้ เลือกไม่ได้ ถ้าใจรักอยากเป็นนักบอล อยากมีสนามบอลเล่น แต่ดันเกิดมาในประเทศทุพลภาพนี้ มันก็จำต้องออกแรงมากเป็นพิเศษ ไม่อยากออกแรงก็นั่งเหงา เป็นนักบอลเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มีสนามให้เล่น ต้องเตะตามลานหลังบ้านคนเดียว ยังไงมันก็ไปไม่รอด

เขาพร่ำพูดเรื่องพวกนี้กับผมบ่อยเสียจนต้องยอม เอาๆ โอเค ช่วยกันทำงาน ทั้งตัวนิตยสารและร้านหนังสือ (ขายเบียร์) The Writer’s Secret ล้วนเป็นแบบฝึกที่ดี โดยเฉพาะร้านหนังสือที่คิดกิจกรรมทำกันแทบทุกสัปดาห์ เลียบเลาะเจาะลึกไปทุกสาขา ไม่ว่าการเมือง สังคม วรรณกรรม ศิลปะ ดนตรี มันคือการเปิดพื้นที่ทางความคิดโดยแท้ คือการทำให้คนมาเจอคน นึกออกใช่ไหมครับ รัฐประหารพยายามแช่แข็งแผ่นดินและตะเกียกตะกายปิดป้องท้องฟ้า บินหลาทำหน้าที่เปิด สร้างโอกาส ส่งเสริมการตั้งคำถาม ฯ อยู่ด้วยกันนาน ผมก็พลอยได้รับเชื้อและเริ่มรู้จักการมองออกไปจากตัวเอง

เอาพอคร่าวๆ ประมาณนี้นะครับ ส่วนอื่นหาอ่านได้ในหนังสือ

นอกจากคำตามที่ตีพิมพ์เสริมขึ้นมาในวาระนี้ ช่วงสายๆ ก่อนเดินทางไปร้าน The Alphabet BookCafe สถานที่จัดงาน ผมเขียนเรื่องนี้ ถือไปอ่าน..

ช่วงนี้ผมดูฟุตบอลบ้าง จะว่าฟุตบอลก็ไม่เชิง หลักๆ ก็ดูนักบอลมากกว่า หลักๆ ที่ว่าคือชนาธิป ติดตามดูฟอร์มแทบทุกนัด ไม่ใช่ ชนาธิป เหมือนพะวงศ์ นะครับ คนนั้นเป็นผู้พิพากษา แต่ไม่พิพากษาในนามมหาชน ผมพูดถึง ชนาธิป สรงกระสินธ์ ที่ตอนนี้เล่นอยู่คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ในเจลีก นอกจากชนาธิป ถ้าว่าง ก็เลยไปดูนักบอลคนอื่นๆ รสนิยมดูบอลของผมคล้ายฟังเพลง คือไม่ทันสมัยนัก ใหม่ที่สุดในเรื่องเพลงคือ บอย อิมเมจิ้น นักดนตรีเชียงใหม่ ที่เขียน ‘ฮ่องเต้ ผู้โดดเดี่ยว’ ซึ่งผมยกให้เป็นเพลงยอดเยี่ยมในปีที่ผ่านมา (https://www.nandialogue.com/the-editor5-boy-imagines/)

โดยสถิติและปริมาณผมฟังเพลงเก่ามากกว่าเพลงใหม่ ดูบอลยุคเก่ามากกว่ายุคใหม่ๆ คนที่ดูอยู่เรื่อยคือ ซีดาน มาราโดนา โรมาริโอ้ คันโตนา เลยไปถึง โยฮัน ครัฟฟ์ ครับ เก่าจริงๆ บางคนดูแค่ลีลาลากเลื้อยในสนาม อีกบางคนเลยเถิดตามไปดูสีสัน ปรัชญาชีวิต

ดูบอลบ่อยๆ ก็พลอยมองตัวเอง มองประเทศของเราเป็นคล้ายทีมฟุตบอลทีมหนึ่ง ในนามเสรีชน ผมคิดว่าเราต่างก็เป็นสมาชิก เป็นหน่วยหนึ่งในสโมสรฟุตบอล ค่าที่ว่ามันอยู่กันหลายคน หลายๆ อย่าง แม้ในเจตจำนงเสรี มีตีนมือเป็นของตัวเอง ทว่าเราเอาแต่ใจตลอดเวลาไม่ได้ มันต้องแชร์ๆ พึ่งพา ภายใต้กฎกติกาเดียวกัน ซึ่งนอกจากยังไม่เคยไปฟุตบอลโลก เราน่าจะยอมรับร่วมกันว่าทีมที่เราสังกัดอยู่นี้มันอ่อนหัดอ่อนชั้น กะโหลกกะลา กระทั่งค่อนไปทางป่าเถื่อน

คุณมองคนที่สวมปลอกแขนกัปตันทีมอยู่ตอนนี้สิ แม่งไม่รู้จักฟุตบอลแม้แต่น้อย ทั้งชีวิตเวียนว่ายอยู่กับปืนและรถถัง และก็ด้วยปืน รถถัง และคนเบื้องหลังนั่นแหละส่งมันลงมาเป็นหัวหน้าทีม ผ่านไปเจ็ดแปดปี ก็ยังไม่เลิก ไล่ไม่ไป ฟังว่ามีนโยบายจะอยู่ไปถึงยี่สิบปีด้วยซ้ำ

ถามว่าทำไมไอ้บ้าคนนี้ถึงลอยหน้าลอยตาอยู่ได้ ก็อย่างที่คุณรู้ ประธานสโมสรมันให้ท้าย แลกผลประโยชน์ต่างตอบแทน

ผู้รักษาประตู ไม่รู้เรื่องฟุตบอลพอกัน จบมาทางกฎหมาย แต่ไม่เคยรักษากฎหมาย สิ่งเดียวที่มันทำคือนายว่าไง กูว่างั้น ผู้เล่นสิบเอ็ดคนในทีมนี้เป็นทหารเกือบครึ่งค่อน ทหารที่ไม่รู้เรื่องฟุตบอล มีข้าทาสบริวารอีก 250 คน ที่พร้อมจะยกมือสนับสนุนทุกอย่างที่นายสั่ง คนพวกนี้ไม่รักฟุตบอล ไม่แคร์แฟนบอล ไม่มีสปิริตหรือน้ำใจนักกีฬาใดๆ ทั้งสิ้น แต่พวกมันมีอำนาจ ครองอำนาจอยู่ นักบอลหนุ่มสาวฝีเท้าดีๆ หลายคนโดนใบเหลืองใบแดง บ้างถูกแบนตลอดชีวิต บางคนต้องข้ามน้ำทะเลหนีไปเล่นลีกอื่น ลีกที่มีมาตรฐาน กรรมการทำตัวเป็นกรรมการ ประมุขประธานไม่ก้าวก่ายหรือมีอำนาจอยู่เหนือ

สัจจะคือผมอยู่ในทีมฟุตบอลนี้ คุณอยู่ในทีมฟุตบอลนี้

ตราบเท่าที่เรายังไม่หนีไปไหน มันจำเป็นต้องประเมินสถานการณ์ อ่านความจริง และปรับเทคนิคหรือแผนการเล่น ถามความเห็นผม วันนี้ทีมของเราโดนนำอยู่ 10-0 โคตรโหด โคตรหนัก แต่หนักยังไง เหนื่อยยังไง เลวร้ายยังไง เวลายังไม่หมด เราต่างต้องเล่นสุดกำลัง หาวิธีให้มันจบแค่สิบ จบที่รุ่นเรา อย่าพลาดให้เสียประตูเพิ่ม และเร่งบุกเอาคืน ตีเสมอให้ได้ และสุดท้ายต้องกลับบ้านด้วยชัยชนะ

เพื่อเป้าหมายและปรารถนานี้ สิ่งที่ผมทำคือการย้ายออกจากกรุงเทพฯ ตั้งใจออกไปสร้างเครือข่ายใหม่ๆ ในชนบทห่างไกล แสวงหาความหลากหลาย ประเทศของเรามีนักเตะฝีเท้าดีๆ เยอะนะครับ แต่กรุงเทพฯ มันดูดกลืน และไม่เปิดโอกาส คำว่ากระจายอำนาจไม่มีในพจนานุกรมของชนชั้นนำ

หากเชื่อมั่นในทางนี้ เราต้องออกแรงเอง เดินออกไปเอง เป็นส่วนร่วมสร้างและรักษาความแตกต่างหลากหลาย ความรู้ใหม่ๆ จะงอกงาม นั่นข้อแรก, ข้อสอง เพื่อเพิ่มพูนเครือข่ายและความรู้ให้แข็งแรงเติบโตขึ้นไปอีก ผมเห็นว่าต้องมองออกไปยังลีกต่างประเทศ ศึกษาทางบอลดาวเตะระดับโลก วิเคราะห์ว่าเขาเคี่ยวกรำเฆี่ยนตีตัวเองมาอย่างไร เขียนประวัติศาสตร์มาแบบไหน ค่าจ้างค่าแรงหรือรัฐสวัสดิการคืออะไร

ตัวอย่างง่ายๆ ดูแค่เคส เจ ชนาธิป ซึ่งถีบตัวเองออกไปเล่นเจลีก

จากเงินเดือนหนึ่งหมื่นบาท สมัยเริ่มค้าแข้งเป็นนักเตะอาชีพ ตอนนี้ชนาธิปรับค่าเหนื่อยอยู่ที่เดือนละหนึ่งล้านหกแสนบาท ราคานี้ยังไม่รวมโบนัส และค่าโฆษณาต่างๆ ในฐานะนักบอลที่มีคนติดตามมากที่สุดของทีม

ถ้าจมอยู่แค่ไทยลีก เป็นไปไม่ได้ที่ชนาธิปจะมีมูลค่าเท่านี้

เขาเขียนชีวิตด้วยลำแขัง และขยับ พาตัวเองไปอยู่ในคลาสที่ท้าทาย เหมาะสม คู่ควรกับทักษะฝีเท้า

เดือนละล้านหก ไม่น้อยนะครับ สำหรับผู้ชายวัยยี่สิบแปดที่มีส่วนสูงแค่ 158 เซนติเมตร

ล้านหก เยอะแน่ๆ แต่ประเด็นที่ผมกำลังชวนคุยก็ไม่ใช่เรื่องเงิน

ผมพูดเรื่องการวิเคราะห์ตัวเอง วิเคราะห์สังคม โดยเฉพาะศักยภาพที่มนุษย์คนหนึ่งและสังคมหนึ่งจะพัฒนาไปถึง

 

the editor

 

ผมเห็นว่าเมื่ออ่านความจริงออก ยอมรับความจริงได้ และมีใจจะปรับปรุง พัฒนา มนุษย์คนหนึ่งสามารถเติบโต ก้าวไกลได้ แม้ในทีมต้นสังกัดแรกเกิดที่มีกัปตันทีมโง่ๆ และประธานสโมสรที่นิยมการหมอบกราบ บ้าเงิน ชอบเงิน แต่เทศนาให้คนอื่นพอเพียง คำสอนที่เราถูกป้อนมีมิติเดียวเช่นนี้ต่อเนื่องยาวนานมากว่าหกเจ็ดทศวรรษ ซึ่งโชคร้าย และแน่นอนว่าเราเลือกเกิดไม่ได้

เรามีอดีตที่อาจไม่ได้ปูพรมมาเหมือน โยฮัน ครัฟฟ์ ที่มีแม่ทำงานอยู่ในสโมสรอาแจ็ก อัมสเตอร์ดัม กินอยู่หลับนอนอยู่ในโลกฟุตบอลสมัยใหม่แบบฟูลไทม์

แต่เรามีดวงตาที่เปิดแล้ว ใจที่ส่องสว่าง มองเห็นความหลากหลายของโลก ศึกษาผู้คนของโลก เหนืออื่นใดคือการก้าวข้ามความภาคภูมิใจผิดๆ เรื่องเอกลักษณ์ไทย ภาษาไทย ไปสู่ภาษาใหม่ๆ ภาษาที่สอง ภาษาที่สาม ซึ่งผมเห็นว่ามันจำเป็นมาก อย่างน้อยที่สุด ระบบนิเวศวิทยาทางข้อมูลข่าวสารของเราจะไม่จมอยู่แค่คำว่าแตงโม ด้วยความเคารพต่อผู้ตายนะครับ ผมเพียงแต่จะบอกว่าการผูกขาดทุกชนิดก็เช่นเดียวกับสงคราม มันคือความเหี้ยที่เรามีทางเลือกเดียวเท่านั้นคือต่อต้าน หากมีกำลังและเวลามากกว่านั้น ก็ช่วยกันออกแรงคืนความหลากหลาย อันเป็นความปกติ เช่นเดียวกับสิทธิเสรีภาพ ซึ่งเป็นกระดูกสันหลังของโลกสมัยใหม่

ในนามของผู้เล่นคนหนึ่ง ในสโมสรที่ใช้รถถังบริหาร ใช้ศาลบั่นทอนทำร้ายนักเตะเยาวชนผู้กำลังจะก้าวขึ้นมาเป็นตัวหลัก ผมตระหนักดีว่าวันเวลาของผมผ่านครึ่งหลังมาแล้วพอสมควร และสกอร์ก็ยังคงเดิมคือ สิบ ศูนย์ แต่ท่านทั้งหลายย่อมเห็นเช่นเดียวกันว่า เกมยังไม่จบ พูดอย่างถึงที่สุด จบเกมนี้ เกมหน้าก็ยังมี ศึกครั้งนี้ยาวนานเป็นทัวร์นาเมนต์ กระทั่งว่ากันด้วยชีวิต

จบทัวร์นาเมนต์นี้ก็เปิดทัวร์นาเมนต์ใหม่ๆ มีถ้วยที่ท้าทายอีกหลายใบรออยู่

ห้าสิบเอ็ดปีแห่งชีวิต ยี่สิบปีของเราต่างมีแสงสว่างในตัวเอง วันนี้ผมยังอยู่ในสนาม ร่วมสนุก คลุกคลีกับพี่น้องนักบอลบ้านนอก เพื่อลดการรวมศูนย์อำนาจและผูกขาดไว้ที่เมืองหลวง มีเวลาก็ศึกษากลยุทธ์ นโยบาย ปรัชญาของตลาดฟุตบอลโลก

ทำตามกำลัง เล่มตามเกม และใครจะหยุดก็หยุดไป ผมไม่หยุด

ถือโอกาสอันเป็นมงคลนี้เชิญชวนเพื่อนนักบอลทุกคนขยับขยายพื้นที่ สร้างจังหวะ พาตัวเองออกไปให้พ้นกรอบกรงเก่าๆ และกระตือรือร้นเรียนรู้ภาษาใหม่ ในโลกสมัยใหม่ของฟุตบอล วิถีที่เรารัก และเลือกจะสร้างชีวิตด้วยกฎกติกาอารยะ

ครึ่งหลังของผมค่อยๆ หมดลงไป แต่ครึ่งแรกของพวกคุณยังมีเวลาเหลือเฟือ อีกบางคนกำลังวอร์มอัพเตรียมลงสนาม สิ้น จิตร ภูมิศักดิ์ สูญเสียลุงนวมทอง ร้องไห้กับไม้หนึ่ง แต่มีประชาชนแปลว่าเรามีทุกสิ่งทุกอย่าง คุณเห็นรอยยิ้มและดวงไฟในดวงตา ไผ่ อานนท์ เพนกวิน ใช่ไหม

การถูกนำอยู่เก้าศูนย์ สิบศูนย์ ไม่ใช่คำตอบแห่งความพ่ายแพ้เสมอไปหรอก หากเรายังรักจะเล่น และเป็นนักฟุตบอลอาชีพ

ขอบคุณทุกคนที่เล่นอยู่เคียงข้างกัน แม้ในวันที่มองออกไปแล้วหาปัจจัยบวกแทบไม่เห็น

แต่เราจะทำมันขึ้นมา

ขอบคุณนะครับ ขอบคุณทุกคนที่อยู่ด้วยกัน

.

บันทึกไว้ วาระเข้ากรุงเทพมหานคร ถัดจากนี้ก็ลุยงาน nan dialogue กันต่อ.

 

 

nandialogue

 

เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

You may also like...