เสียดาย.. สายน้ำที่ไหลพาดผ่านหุบเขาแห่งนี้ไม่น่ามีป้าย Maecharim National Park แปะแขวนบนสะพานสลิงนั้นเลย มันบดบังท้องฟ้าและภูเขา รกสายตา มาครั้งก่อนๆ ยังไม่มี รอบนี้ใครสักคนคงทานกระแสนิยมไม่อยู่ จู่ๆ ก็หาเหตุเผาเงิน สร้างสิ่งแปลกปลอมขึ้นมาทำลายจุดแข็งของตัวเอง
มันเหมือนเด็กเรียกร้องความสนใจ เหมือนคนพยายามตะโกนเสียงดังๆ ทั้งที่พูดกันพอได้ยินก็ได้ ทำป้ายแค่พอสื่อสาร มองเห็น ไม่ต้องเล่นเกินค่าตัว
ช่วงนี้มีคนใกล้ชิดป่วยไข้หลายคน หลายคนที่ว่าล้วนไม่ใช่ญาติ ไม่ใช่คนในครอบครัว เพียงแต่ส่วนตัวผมตีความคำว่า ‘ครอบครัว’ กว้างครอบคลุมไปถึงเพื่อน คนสนิท คนที่มีอิทธิพลต่อกัน สัจจะที่ว่าไม่ใช่ญาติโดยสายเลือด ไม่ใช่ครอบครัวในความหมายเก่าๆ แท้จริงมันจึงใช่ ทั้งใช่และผูกพัน มีความฝันความคิดไปในทิศทางเดียวกัน กระทั่งเคยผ่านวันเวลาที่มีเสียงหัวเราะ ร้องไห้หลายครั้ง
เท่าที่ฟัง ทั้งจากการพูดคุยด้วยตัวเอง และบางคน ผ่านคำบอกเล่าลูกหลาน คนป่วยเหล่านั้นไม่ได้แค่เป็นหวัด หรือมีดบาดมือ หากทุกคนล้วนอยู่ในภาวะที่ร่างกายเรียกร้องการดูแลจากแพทย์สูง (วูบหมดสติ /เข้าไอซียู) วันนี้ดูว่าดี แต่พรุ่งนี้ก็ต้องลุ้นกันวันต่อวัน ชั่วโมงต่อชั่วโมง
เปิดเฟซบุ๊กขึ้นมา มีคนส่งเสียงเป็นห่วงเป็นใยอาการเจ็บป่วย คำอธิษฐานเอาใจช่วยดังจากจุดนั้น จุดนี้ คนนั้น คนนี้ กับทุกสุ้มเสียงและความปรารถนาดี ควรเป็นดอกไม้สายรุ้ง เป็นมือที่เอื้อมมาสัมผัสมือ เป็นใจที่ส่งมาสัมผัสมัดใจ มันต้องเป็นแบบนั้นสิ ผู้คนเขาแสดงความรักความห่วงใย เราควรพลอยยินดีที่ผู้ป่วยมีคนคิดถึง
ความจริงคือตรงกันข้าม รับฟังแล้วผมรู้สึกรังเกียจ คลื่นเหียนมารยาทเหล่านี้
แม่น้ำว้ามีจุดกำเนิดอยู่บนเทือกเขาหมู่บ้านน้ำว้า อำเภอบ่อเกลือ ไหลผ่านอำเภอสันติสุข อำเภอแม่จริม ไปบรรจบแม่น้ำน่านที่อำเภอเวียงสา ทางฝั่งน่านใต้ ก่อนไหลลงอุตรดิตถ์ พิษณุโลก และปากน้ำโพ
ฟังมาทั้งจากนักปั่นจักรยานที่รอนแรมล้วงลึกหลายอุทยานแห่งชาติ ช่างภาพและนักดูนกสายแคมปิ้งอาชีพ และล่าสุดกับบรรณาธิการสำนักพิมพ์ขวัญใจวัยรุ่นร่วมสมัย ทุกคนยกนิ้วให้ พูดเป็นเสียงเดียวว่าอุทยานแห่งชาติแม่จริมคือที่หนึ่งในใจ ไม่ว่าต้นไม้ สายน้ำ ความสงบ ความสะอาด และจิตใจบริการของเจ้าหน้าที่ ผมเห็นพ้องกับเพื่อนใหม่เพื่อนเก่า ลำน้ำว้าที่ไหลผ่ากลางอุทยานแห่งชาติแม่จริมเป็นจุดพักผ่อนค้างแรมที่ยอดเยี่ยม ระยะทางราว 60 กิโลเมตร จากตัวเมืองน่านถือว่าขับรถสบายๆ วิวภูเขา ต้นไม้สองข้างทางงดงาม เทียบกันปอนด์ต่อปอนด์ ยอดดอย ‘ขุนสถาน’ ไม่เลวนะ ยิ่งตอนนี้นางพญาเสือโคร่งกำลังบาน ‘ดอยเสมอดาว’ ก็ไม่มีข้อกังขา ทว่าแม่จริมคือความพอดีๆ นักท่องเที่ยวน้อยเพราะยังไม่ป๊อปเท่าจุดเช็กอินอื่นๆ ในเมืองน่าน ห้องพักเพียงพอรองรับในระดับที่มาถึงมั่นใจว่ามีที่นอนแน่ๆ หรือโชคร้ายเกิดเต็มขึ้นมา เต็นท์ก็เป็นทางเลือกน่าสนใจ ปลั๊กไฟเหลือเฟือ ตำแหน่งห้องน้ำถูกคิดมาแล้วสำหรับบางเราที่อาจเดินเหินไม่สะดวก
กลางคืน เดินดูดาวอิ่มหนำใจแล้วนอนฟังเสียงแม่น้ำลูบไล้ก้อนหิน นี่ไยมิใช่ความรื่นรมย์ของชีวิต
ใช่แน่ๆ เพียงแต่เมื่อคิดถึงความป่วยไข้ และป้ายไฟที่ชูขึ้นมาจากคนมารยาทดีเหล่านั้นแล้วก็เจ็บ
เรายังต้องถกเถียงกันอีกหรือ ว่าเนื้อหาสาระ แก่นแกน หรือกระดูกสันหลังของนักเขียนก็คือสปิริต คือสิ่งที่เขาคิด เขาเขียน
พูดถึง กุหลาบ สายประดิษฐ์ หรือ ศรีบูรพา เราเลี่ยงได้จริงๆ หรือที่จะไม่พูดถึงงานอย่าง แลไปข้างหน้า, บันทึกของอิสรชน, เบื้องหลังการปฏิวัติ 2475, สงครามชีวิต, ข้างหลังภาพ ฯ เราจะละไว้ จงใจปิดตา มองข้ามกรณีถูกจับ ‘กบฏสันติภาพ’ ต่อมา ‘ลี้ภัย’ และไปเสียชีวิตที่สาธารณรัฐประชาชนจีน ?
นักเขียนแสดงความคิด ติดคุกและลี้ภัย กลับบ้านไม่ได้จนวาระสุดท้ายต้องไปตายแผ่นดินอื่น
คุ้นๆ หรือเปล่า นาฬิกาประชาธิปไตยไทยหมุนไปข้างหน้า หรือวนเวียนซ้ำรอยกงจักรปีศาจ
พูดกันสั้นๆ เอาแบบหยาบๆ คุณคิดว่าพวกฮิตเลอร์นิยม หรือประยุทธ์นิยม (หมายความโดยตรงถึงพวกพ้องพี่น้อง ส.ว.ทาส) สามารถกล่าวอ้างได้ไหมว่าชอบอ่านงาน ‘ศรีบูรพา’ มันจะไม่ลักลั่นใช่ไหม เป็นตรรกะที่ยอมรับได้ใช่ไหม เพราะสปิริตฮิตเลอร์ ประยุทธ์ และศรีบูรพา คือสิ่งเดียวกัน ?
เป็นความจริงว่า บินหลา สันกาลาคีรี เขียน คิดถึงทุกปี, ดื่มทะเลสาบ อาบทะเลทราย, หลังอาน, นกก้อนหิน, เจ้าหงิญ, ดวงจันทร์ที่จากไป, ผู้หญิงอยุธยา ฯลฯ คุณอาจนิยมชมชอบงานเหล่านี้ ไม่แปลกเลย เพราะบินหลาเป็นนักเลงชีวิต เป็นนักเขียนที่มีฝีมือ แต่ถ้าคุณใช้คำว่า ‘ไอดอล’ กับชายชื่อบินหลา แต่ไม่รับรู้ว่าเขาเป็นหนึ่งในนักเขียนที่ลงชื่อรณรงค์แก้ไขกฎหมายอาญามาตรา 112, ไปเยี่ยม ไผ่ ดาวดิน ที่เรือนจำจังหวัดขอนแก่น (ไปสองครั้ง-บ้านบินหลาอยู่เชียงใหม่–และเผื่อคุณตกข่าว ไผ่ติดคุกกว่าสองปีด้วยคดีแชร์ข่าวบีบีซี, ย้ำอีกที แค่กดแชร์ข่าว), บินหลาแสดงความคิดเห็นอย่างเปิดเผยเสมอว่าคารวะจิตใจนักสู้ของ รุ้ง, อานนท์, เพนกวิน ฯ, ยืนอยู่ข้างคนหนุมสาวที่ลุกขึ้นมาเสนอให้ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ฯลฯ ต่อเรื่องสำคัญแหลมคมเหล่านี้ ถ้าคุณไม่เปิดหูเปิดตาเปิดใจรับรู้ ผมว่ามันดูแปลกๆ และจะแปลกอย่างถึงที่สุด ถ้าคุณบอกว่ารู้ และไม่แคร์
สำหรับผม คุณน่าจะมีปัญหากับคำว่า ‘สปิริต’ แยกแยะไม่เป็นว่าเรื่องไหนใหญ่เล็ก เปรียบให้เห็นภาพ เวลาไปกินก๋วยเตี๋ยว ก็พิพากษาที่เสื้อผ้าแม่ค้า ไม่พินิจพิจารณาสิ่งที่อยู่ในจานชาม ถามว่าเสื้อผ้ามีความหมายหรือเปล่า มีสิ โต๊ะ เก้าอี้ ช้อน ตะเกียบ ฯ ล้วนเป็นองค์ประกอบที่สำคัญ เพียงแต่เวลาจะพูดว่าไอดอล หรือร้านโปรด แต่ชายตามองแค่แม่ค้าร้านนี้นมใหญ่ดี ผมว่ามันก็หยาบและมักง่ายเกินไป
เกี่ยวกับป้ายไฟและไอดอล ผมเรียกพฤติกรรมชนิดนี้ว่า ‘มารยาท’ โดยตัวของมันเอง มารยาทเป็นปัจจัยบวกที่บ่งบอกการศึกษา มารยาทอธิบายว่าใครเป็นคนน่ารัก ไม่น่ารัก แต่มันจะมีประโยชน์ใดหรือเปล่า หากมารยาทดี แต่ไม่มีสปิริต มองไม่เห็น ไม่เก็ต ไม่สมาทานในสิ่งที่ตัวเองบอกว่าเคารพ ยกย่อง เป็นแฟนตัวจริง อ่านมาครบทุกเล่ม หนำซ้ำมีประวัติเคยยืนอยู่ฝั่งตรงข้าม มีหลักฐานภาพถ่ายและลายลักษณ์อักษร
มารยาทในแง่นี้แท้จริงจึงเอนไปในทางประจบสอพลอ หน้าไม่อาย ชูป้ายไฟในสิ่งที่ตัวเองไม่เชื่อ
ชั่วๆ ดีๆ ณ ขณะซาบซึ้ง ‘แสงดาวแห่งศรัทธา’ เราควรมีข้อมูลว่า จิตร ภูมิศักดิ์ เขียนเพลงนี้ และคนเขียนก็ติดคุก ซึ่งคุกที่ว่าก็เชื่อมโยงมาจากเผด็จการอำนาจนิยมของฝ่ายชนชั้นนำที่ปฏิเสธ ‘สปิริต’ นักเขียน ‘โฉมหน้าศักดินาไทย’
ว่าแต่เรารับได้กันจริงๆ หรือ เมื่อบทเพลงนี้ถูกนำขึ้นไปขับขานบนเวทีการชุมนุมของกลุ่ม ‘ปกป้องสถาบัน’ ที่ออกใบอนุญาตและกวักมือเรียก ‘รัฐประหาร’ หนักกว่านั้น คนที่ร้องก็คือคนที่เคยเข้าป่า หลังนักศึกษาถูกฆ่ากลางเมืองเมื่อวันที่ 6 ตุลาคม 1976
ชั่วๆ ดีๆ เมื่อเดินมาบนถนนนักเขียนศิลปิน (บางรายกำลังปลุกปั้นทายาทอย่างจริงจัง ..ขออนุโมทนา) เราจะไม่สมาทานหลักการพื้นฐานเรื่อง freedom of speech ให้เข้มแข็งก่อนหรอกหรือ เพราะนี่คือเสาหลัก คือต้นทางของคนทำงานสร้างสรรค์ ช่วยกันออกแรงขับเคลื่อน ยอมออกมาตากแดดตากฝน
ผ่านพ้นยุคสมัย ‘ศรีบูรพา’ และ จิตร ภูมิศักดิ์ มาตั้งนานแล้ว ทำไมสังคมไทยยังนิ่งเฉยดูดาย เมื่อนักเขียนลี้ภัย คนหนุ่มสาวติดคุก เพียงเพราะการพูด การเขียน
ที่ผมบอกว่าอยากจะอ้วก ก็เพราะไอ้พวกที่มือชูป้าย ปากพูดว่าไอดอล นอกจากไม่รู้ร้อนรู้หนาว ถึงเวลาที่เศษชิ้นเนื้อกระเด็นกระดอนมาถึงมือ เพื่อนก็คลานเข่าเข้าไปเป็นกรวดทรายปูถนนให้ชนชั้นนำจารีตนิยมมีเวลามากขึ้น มีพื้นที่มากขึ้น และแข็งแกร่งมากยิ่งขึ้น เพื่อที่จะย้อนกลับมากดหัวประชาชนให้เป็นฝุ่นใต้ตีน
มกราคมที่น่าน กลางวันเริ่มแดดจัด แต่ตกเย็นย่ำค่ำ อุณหภูมิก็ลดลงต่ำกว่ายี่สิบ อยู่ในเมืองยังต้องหาเสื้อกันหนาวหนาๆ ประสาอะไรกับบนดอย ยิ่งกับคนอย่างเราๆ ไม่มีกองไฟ ก็ไม่ควรไร้สุรา และก่อนนอนลืมอะไรก็ลืมไป ยกเว้นหมวกและถุงเท้า ไม่เช่นนั้นสวรรค์อาจพลันเปลี่ยนเป็นนรก
ฝนหายไปตั้งแต่ปลายตุลาคม ฝนหาย ฝุ่นก็มา พวงพุ่มดอกสักร่วงไปนานแล้ว ถึงพฤศจิกาฯ ธันวาฯ ผ่านไปทางไหน ใบไม้แห้งก็เกลื่อนปลิวริมสองข้างทาง ไม้ใหญ่ยืนทระนง บางต้นไร้ใบ แต่ไม่นานใบใหม่จะค่อยผลิ
ทุกปีเป็นเช่นนี้ เป็นวัฏจักร เป็นปกติ ทว่าปีนี้ก็แตกต่างจากปีอื่นๆ
วัฒน์ วรรลยางกูร เป็นนักเขียนไทยในจำนวนไม่กี่คนที่ทำงานครบทุกสาขา ไม่ว่าเรื่องสั้น นวนิยาย สารคดี บทกวี ครบ และมีผลงานเป็นที่ประจักษ์ต่อเนื่องยาวนานกว่า 40 ปี
ได้รับรางวัลศรีบูรพา ปี 2007 ทว่า, ถัดมาอีก 7 ปี คือพฤษภาคม 2014 เขาก็จำต้องลี้ภัย เช่นเดียวกับศรีบูรพา
เครือข่ายรัฐประหาร ประยุทธ์ จันทร์โอชา และฝ่ายนิยมเจ้า จะไชไยโห่ร้องที่นักเขียนคนหนึ่งออกไปพ้นจาก ‘แผ่นดินพ่อ’ เสียได้ ผมว่าก็ธรรมดา ไอเดียฝ่ายนั้นเขาย่อมเห็นเช่นนั้น อันการใดที่เป็นความฉิบหายของประชาชนย่อมก่อให้เกิดความสุข ความสะใจ สิ่งที่ชวนฉงนคือผู้คนฝ่ายที่บอกรักวัฒน์ นับเป็นญาติน้ำหมึก ห่วงใย เป็นไอดอล เขาและเธอมองเห็น หรือรู้สึกสัมผัส ‘สปิริตแบบวัฒน์’ บ้างไหม หรือสักแต่ว่าพูดพล่อยๆ เฉกเช่นประกาศต่อสาธารณะว่าชื่นชมศรีบูรพา แต่เป็นมือเป็นขาให้เครือข่ายชนชั้นนำ
สมมุติว่าคุณเป็นคนลืมง่าย ผมจะทวนให้ฟัง
คล้ายๆ บินหลา ทว่า วัฒน์ วรรยางกูร ‘อยู่ตรงนี้’ มาตั้งแต่นุ่งกางเกงขาสั้น
กล่าวอย่างสั้นที่สุด เขาหนีเข้าป่าในเย็นวันที่ 6 ตุลาฯ (ฝ่ายขวาจัดคลั่งชาติยุยงให้ฆ่านักศึกษา ใส่ร้ายว่ามหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์เป็นคลังแสง), เป็นคนเสื้อแดง, รณรงค์ให้แก้ไขหรือยกเลิก ม.112 ผลงานทั้งหมดมีจุดยืนเดียวกันคือกระดูกสันหลังตั้งตรง ปฏิเสธชนชั้นและการหมอบกราบ จุดเด่นอีกประการหนึ่งของวัฒน์คือเป็นนักเขียนที่ขึ้นเวทีพูดได้ เล่าประวัติศาสตร์การเมืองเก่ง ชอบร้องรำทำเพลงในระดับที่เคยออกอัลบั้มมาแล้ว หลักฐานชิ้นหนึ่งคือ จากลานโพธิ์ถึงภูพาน นั้นเราทำอะไรไม่ได้เลย นอกจากก้มหัวคารวะ วงดนตรี ไฟเย็น (ที่ตอนนี้ลี้ภัยอยู่ฝรั่งเศส) ก่อตั้งมาด้วยไอเดีย คอนเน็กชัน และพรสวรรค์ของวัฒน์
เด็กมารยาทดี หากความทรงจำยังทำหน้าที่ดีอยู่ พึงตระหนักว่า ณ ช่วงเวลาม็อบเคลื่อนพลออกมาขอให้ยุบสภา คุณมีทัศนะอย่างไรต่อคนเสื้อแดง หลังเหตุการณ์สลายการชุมนุม เมษาฯ-พฤษภาฯ 2010 คุณจดบันทึกสิ่งใด ในวันที่ว่างๆ จากการสร้างมารยาทและพูดจาอ่อนหวาน วานกลับไปอ่านว่าเหตุการณ์ที่คนเสื้อแดงถูกฆ่ากลางกรุงนั้น ปากกาของคุณสร้างความทรงจำใดไว้กับสังคมไทย
ยังไม่ต้องพูดถึงความโหดเหี้ยมของ ม.112 ที่ยกเท้าถีบหน้าวัฒน์ออกนอกประเทศ และจับคนหนุ่มสาวติดคุกอยู่จนถึงนาทีนี้..
ทุกคนออกตัวได้ไม่เท่ากันหรอก เงื่อนไข ปัจจัยต่างๆ ที่รายล้อม เราย่อมรับความเสี่ยงได้ไม่เท่ากันอยู่แล้ว สัจจะพื้นฐานเหล่านี้ไม่มีใครบ้าไปบีบคอใครให้มาแอ่นอกรับกระสุนอยู่แนวหน้า เพราะว่าเราคือเพื่อนกัน เปล่าเลย, แต่พอน่ารัก ปากดี มารยาทเด่นแล้ว–ไม่รู้สิ เห็นแล้วผมรู้สึกเจ็บ คือสุดท้ายปากกาในมือคุณก็เต็มไปด้วยพื้นที่ละเว้นไง นึกออกใช่ไหมว่าสิ่งที่พูดปาวๆ มันไม่ตรงปก
ฝนหายไปตั้งแต่ปลายตุลาคม พอฝนหาย ฝุ่นก็มา พวงพุ่มดอกสักร่วงไปนานแล้ว ถึงพฤศจิกาฯ ธันวาฯ ผ่านไปทางไหน ใบไม้แห้งก็เกลื่อนปลิวริมสองข้างทาง ไม้ใหญ่ยืนทระนง บางต้นไร้ใบ แต่ไม่นานหน่อน้อยๆ จะค่อยผลิ
ทุกปีเป็นเช่นนี้ เป็นวัฏจักร เป็นปกติ ทว่าปีนี้ก็แตกต่างจากปีอื่นๆ
นอกจากความป่วยไข้ซึ่งไม่ใช่ข่าวดี ผมมีข่าวร้ายกว่านั้นอีกคือปู่เสียชีวิต เพิ่งฌาปนกิจเมื่อวานนี้ (2 กุมภาพันธ์) ผมโตมากับตายาย ปีละครั้งเท่านั้นเองที่จะได้เจอปู่ย่า ที่พูดนี่คือตอนเรียนประถมฯ มัธยมฯ เพราะพ้นจากนั้นชีวิตก็กระจัดกระจาย ปู่ย่าอยู่ราชบุรี ตอนหลังงอนกัน ปู่ไปอยู่กระทุ่มแบน ย่าไปอยู่โคราช (และตายที่นั่น เมื่อสามปีที่แล้ว) ผมเป็นชนเผ่าเร่ร่อน และมีสำนึกกตัญญูกตเวทิตาต่ำ มีความทรงจำเรื่องปู่น้อย (ไม่คุ้นกับญาติฝ่ายพ่อแทบทุกคน) ให้นึกจริงๆ ผมก็นึกไม่ออกหรอกว่าน้อมรับสปิริตใดมาจากปู่บ้างหรือเปล่า คงน้อย คล้ายๆ ที่ไม่ค่อยสนิทกับพ่อ ความจริงเป็นเช่นนี้ และเป็นความจริงว่าผมเป็นลูกพ่อ เป็นหลานปู่ นามสกุลที่ใช้อยู่ทุกวันนี้ก็มาจากเขา นอกจากไม่เคยคิดจะเปลี่ยน ยังส่งต่อไปถึงรุ่นลูกสาวของผม
โดยตัวของมันเอง มารยาทและความน่ารักเป็นสิ่งที่ดี เพียงแต่บางทีมันก็ไม่มีประโยชน์ บิดเบือน เบี่ยงประเด็น พูดง่ายๆ ว่าถ้าหยุดอยู่แค่มารยาท หยุดอยู่แค่ความเป็นคนน่ารัก แต่ปฏิเสธสปิริต ไม่คิดที่จะศึกษาแก่น มันก็ว่างเปล่า โมฆะ เราจะคบกันแค่มารยาทเท่านั้นหรือ ยิ่ง ณ กาลสมัยนี้ ผมเห็นว่าการเอ่ยชื่อวัฒน์ วรรลยางกูร บอกเล่าว่าอยู่ฝรั่งเศส โดยไม่จี้ชี้ชัดว่า ‘ลี้ภัย’ นี่คือความใจร้ายอย่างยิ่ง หัวหด โคตรเลือดเย็นที่บอกว่าวัฒน์เป็นไอดอล เป็นห่วงเป็นใย แต่ไม่หลุดมาสักแอะว่า ม.112 ป่าเถื่อนอย่างไร
สังคมไทยติดอยู่ตรงรอยยิ้ม จ๊ะเอ๋ ทักทาย แต่กับเรื่องใหญ่ๆ เรื่องสำคัญแหลมคม จะปิดปากเงียบ หลีกเลี่ยง บัวไม่ให้ช้ำ น้ำไม่ให้ขุ่น พอเลี่ยงนานๆ หวาดกลัวการปะทะ ในที่สุดก็หลงลืมสาระสำคัญ มองไม่เห็นปัญหา ไม่เห็นคุก ไม่เห็นความตาย เพราะใจจดใจจ่ออยู่กับมารยาท
มันจะไม่แย่นัก ถ้าประเทศที่รักของเราดำรงอยู่ในวันเวลาไพร่ฟ้าหน้าใส ทุกคนพูด คิด อ่าน เขียน ได้ในฐานะมนุษย์ที่พึงมีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ แต่ความจริงเป็นเช่นนั้นหรือเปล่า
มองป้ายอันเป็นทัศนะอุจาดในอุทยานแห่งชาติแม่จริมแล้วผมเห็นว่ามันเป็นเรื่องเดียวกัน คือวันๆ เราวนเวียนอยู่แต่กับการจ๊ะเอ๋ ยิ้มแย้ม โอภาปราศรัย และพูดคุยอย่างซีเรียสในทุกเรื่อง ‘ที่ไม่สำคัญ’ ทุกคนรู้ดีว่าสิ่งสำคัญกว่าป้ายคืออะไร แต่คล้ายพูดแล้วมันกระทบกระเทือนเพื่อนพี่น้อง พูดแล้วมองหน้ากันไม่ติด ก็นั่นแหละ–ที่สุด ‘สปิริต’ จึงถูกเก็บซุกไว้ในลิ้นชัก ล็อกกุญแจ โยนทิ้งแม่น้ำ พูดก็พูดเถอะ ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นต่างๆ พฤติกรรมและความปรารถนาดีของคนน่ารัก ลึกๆ แล้วสปิริตจึงไม่ต่างจากไขมันส่วนเกินที่มีคุณค่าเพียงรอเสียงสรรเสริญหน้าสุสาน
นักมองโลกแง่ดีทั้งหลายวานบอกผมหน่อยสิ ว่าเราจะมองเห็นเป็นอื่นได้อย่างไร ในเมื่อ ณ ขณะที่ยังมีชีวิตอยู่ ขณะป่วยไข้ ขณะเร่ร่อนลี้ภัย บรรดาคนมารยาทดีไม่เคยสักครั้งที่จะวิพากษ์วิจารณ์ หรืออภิปรายถึงต้นตอ ใจกลางของปัญหา ที่เห็นและเป็นไปก็มีแต่ขึ้นป้ายใหญ่ๆ ว่าไอดอล
ไม่มีอะไรน่าเสียดาย ผมเลือกมานานแล้วที่จะเป็นคนไม่น่ารัก.
เรื่องและภาพ: วรพจน์ พันธุ์พงศ์