สวัสดีครับพี่หนึ่ง
คำตอบของพี่ในจดหมายสองฉบับก่อน เรื่องว่าทำไมถึงไม่ควรให้ลูกพูดคำหยาบนี่ทำให้ผมมีสติขึ้นมาได้เลยนะครับ เรื่องบางเรื่องแค่ลองคิดดูก็รู้แล้วว่าไม่ควร ทำไมต้องเอากรอบคิดเสรีนิยมมาปนกับการเลี้ยงลูกให้ปวดหัว เหมือนพี่จะพูดว่าคำก็คือเครื่องมือ ใช้ได้ถูกต้องก็จะเกิดความงดงามตามท้องเรื่อง ใช้ผิดก็จะพาให้ชีวิตบรรลัยเอาง่ายๆ ขอบคุณพี่หนึ่งในหลายๆ ครั้งที่เขียนตอบคำถามของผม บางเรื่องง่ายๆ ผมคิดเองไม่ได้นะครับ ต้องมีมิตรสหายมาช่วยชี้ทาง มนุษย์เป็นสัตว์ฝูงแน่นอน แต่ผมอาจเป็นประเภทที่พึ่งพิงฝูงเป็นพิเศษ มีชีวิตมาถึงอายุ 40 นี่คิดกับตัวเองตลอดว่าหากไม่ได้รับมิตรภาพจากมิตรสหายหลายท่าน คงไม่อยู่มาเป็นผู้เป็นคนอย่างทุกวันนี้
ปัจจุบันก็ยังสนุกที่จะคุยแลกเปลี่ยน แลกรอยยิ้มให้กับผู้คนหน้าใหม่ๆ ที่เข้ามาในชีวิตเสมอ ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาผมได้รู้จักกับพี่วัฒน์ (ชื่อไปละม้ายคล้ายคลึงกับนักเขียนรุ่นใหญ่ผู้ต้องลี้ภัยไปซะอย่างนั้น) แกมาช่วยงานปูกระเบื้องให้กับบ้านที่ดีนกำลังทำอยู่ คุยไปคุยมาก็ได้ความว่าแกเป็นคนเกาะ แต่เคยไปประกอบอาชีพทำงานรับเหมาก่อสร้างที่กรุงเทพฯ ร่วมสิบปี ด้วยความขัดแย้งกับเมียที่อยู่กินกันมา เลยตัดสินใจเลิกและอพยพตัวเองกลับมาอยู่เกาะบ้านเกิด แกเล่าว่าจริงๆ แล้วทะเลาะกับเมียเป็นปกติอยู่แล้ว แต่ที่ทนไม่ได้นี่คือพี่สะใภ้มาด่าเสียหายๆ แล้วเมียดันไปเข้าข้างพี่สาวตัวเองแทนที่จะเข้าข้างผัว
นึกดูก็น่าจะมีเหตุการณ์อย่างนี้หลายครั้งในความสัมพันธ์ของมนุษย์เราอยู่เหมือนกัน มือที่หนึ่งกับมือที่สองอาจทะเลาะขัดแย้งกันบ้างตามธรรมดา แต่มือที่สามนี่แหละจะเป็นตัวชี้ขาดให้ความสัมพันธ์ยาวยืดหรือขาดสะบั้น จดหมายฉบับก่อนเพิ่งบอกพี่หนึ่งว่า 3 ดีกว่า 2 แต่พอมาจดหมายฉบับนี้กลับบอกว่า 3 มาทำให้ 2 กลายเป็น 1 สองตัวไปซะอย่างนั้น สรุปง่ายๆ ก็คืออาจไม่มีตัวเลขไหนดีหรอก มันอยู่ที่พื้นฐานและคุณภาพเท่านั้น จำนวนเท่าไรก็ไปกันไหวถ้ามีใจ
แกว่าที่มารับปูกระเบื้องนี่ก็เหมือนมาช่วยเพื่อน จริงๆ แกออกเรือจับปูเป็นอาชีพหลัก แต่งานประมงพื้นบ้านเป็นงานซึ่งถ้าจัดการดีก็อาจมีเวลาเหลือ ตีห้าออกเรือไปวางอวน แปดโมงเช้าก็กลับมาฝั่งแล้ว ทิ้งไว้สองถึงสามคืนแล้วค่อยไปเอากลับ วันที่เก็บกลับอาจต้องใช้เวลามาแกะปูม้วนอวนหลังขึ้นฝั่งสักหน่อย แต่วันตรงกลางระหว่างรอก็อาจใช้มาประกอบอาชีพเสริมหรือหาอะไรบันเทิงชีวิตทำ แกผสมปูนไปก็คุยกับผมไปว่า ให้ลูกเรียนเยอะๆ อย่ามาทำงานก่อสร้างเลย มันเหนื่อย ผมก็ตอบแกไปว่า แต่เดี๋ยวนี้เค้าไม่สอนเด็กกันอย่างนี้นะ เค้าว่ามีอะไรให้ทำก็ทำไปก่อน ถึงเหนื่อยก็ได้วิชา ผมเองก็โตมาแบบนี้ เรียนๆ จบมหาวิทยาลัยแล้วก็ไปทำงาน งานช่างงานบ้านอะไรไม่เคยได้หัด มาเห็นดีนเจ้าของบ้านซ่อมประตู เดินไฟฟ้า เชื่อมเหล็ก ทำระบบน้ำบ่อปลา ประดิษฐ์ของเล่นให้ลูก สร้างเล้าไก่ติดล้อ และแก้ปัญหาอะไรหลายอย่างในบ้านแล้วอดชื่นชมปนอิจฉาไม่ได้
ดีนเล่าว่าแกได้ทักษะงานช่างเหล่านี้มาตั้งแต่เด็กๆ พ่อคือครูสำคัญคนแรกของเขา นอกจากอบรมสั่งสอนเรื่องวินัยในการใช้ชีวิตอย่างเคร่งครัดและผลักดันให้เรียนดนตรีอย่างหนักหน่วงแล้ว ทักษะพื้นฐานในการซ่อมแซมดูแลบ้านก็เป็นอีกเรื่องที่ดีนได้รับจากพ่อมาอย่างเต็มเปี่ยม เมื่อคืนหลังจากไปเตะฟุตบอลกันมาก็ได้มานั่งดื่มเบียร์คุยกัน ดีนเอ่ยว่าพ่อคือคนที่เขารักที่สุดในชีวิต แม้ว่าตลอดเวลาเขากับพ่อจะถกเถียงกันอย่างนรกแตก แต่ต่างก็รู้ว่ารักกันมากแค่ไหน ทุกสามวันดีนจะวิดีโอคอลคุยกับพ่อเสมอๆ บทเรียนหนักๆ ที่พ่อให้กับดีนยังคงฝังอยู่ในความทรงจำของเขา เช่น การเอาค้อนมาทุบทำลายของเล่นที่ตัวเองเพิ่งจะซื้อมาให้ลูก หรือการเผาตั๋วฟุตบอลนัดชิงชนะเลิศยูโรเปี้ยนคัพที่ตัวเองก็ซื้อมาให้ลูกเหมือนกัน เนื่องด้วยดีนในวัยเด็กทำผิดอะไรบางอย่างตามประสาเด็ก ผมถามว่าพ่อเคยขอโทษดีนในเรื่องพวกนี้บ้างไหม ดีนบอกว่าไม่ ทำไมพ่อจะต้องขอโทษ เขาต่างหากที่สมควรได้รับมัน ดีนตอบเหมือนกับว่าเขาขอบคุณด้วยซ้ำที่พ่อให้บทเรียนเหล่านี้ตั้งแต่เยาว์วัย ดีนว่ามันทำให้เขาแกร่งและรับมือกับผู้คนและหลายๆ ปัญหาในเวลาที่เขาเติบโตขึ้น
เหมือนในโลกของคนตะวันตก การทะเลาะถกเถียงมันเป็นเรื่องปกติ ความเจ็บปวดเป็นเหมือนวิชาให้เรากล้าแกร่งขึ้น ในเกมฟุตบอลที่ผมกับดีนไปเล่นกันเมื่อวาน ก็มีการถกเถียงกันอยู่หลายครั้งว่าฟาวล์ไม่ฟาวล์ ปะทะกันหนักๆ ก็หลายครั้งอยู่ แต่จบเกมก็จับมือเอ่ยปากต่อกันว่าเป็นเกมที่ดี อะไรขุ่นๆ ที่เกิดขึ้นในเกมก็ทิ้งมันไว้ในสนามซะอย่างนั้น หลายครั้งที่เห็นการเข้าสกัดหนักๆ ของผู้เล่นบางคน ก็อดคิดไม่ได้ว่าถ้าเล่นแบบนี้กับคนไทยนี่จะเกิดเหตุการณ์บานปลายกลายเป็นกีฬาชกมวยได้แน่ๆ ดีนบอกว่าสำหรับชาวตะวันตกแล้ว กีฬาเป็นช่องทางหนึ่งให้คนได้ก้าวร้าวและกราดเกรี้ยวเพื่อระบายความกดดันในชีวิต พวกเขาเล่นกันอย่างหนักหน่วงและเต็มที่เพราะรู้ว่ามันทำได้ในขอบข่ายของเกมและกติกา ผมเป็นผู้เล่นคนไทยคนเดียวในสนาม ขนาดตัวและร่างกายก็อ่อนด้อยบอบบางกว่าผู้เล่นต่างชาติ ก็เลยต้องหาท่าและตำแหน่งที่เหมาะกับเกมแบบนี้ พยายามออกบอลเร็ว เวลาป้องกันก็แค่วิ่งประคองและไม่เข้าบอลโดยไม่จำเป็น นี่พอช่วยให้ร่างกายรอดพ้นการปะทะมาได้ เวลาเล่นสมัยหนุ่มก็มักจะเป็นปีกหรือกองหน้า แต่มาสนามนี้ขอเป็นกองหลังไปเรื่อยๆ ก่อน ดูจะเหมาะกับสภาพร่างกายที่ร้างสนามไปนานมากกว่า
ผมชอบเหมือนกันนะครับที่ได้ทำอะไรแบบนี้ บอกกับตัวเองเสมอว่านี่คือโอกาสในชีวิต โอกาสที่จะเห็นคนหลากหลายมาปะทะสังสรรค์กันในเกาะเล็กๆ แห่งนี้ ไม่ว่าไทยหรือฝรั่งแห่งพะงันก็ล้วนแต่ให้ความทรงจำและประสบการณ์บางอย่างให้กับผมและครอบครัว แต่หลังจากนี้คิดว่าอาจต้องไปเปื้อน เหนื่อย หรือเจ็บบ้างดีกว่า แทนที่จะรับรู้ผ่านการนั่งคุยกันเฉยๆ
พี่วัฒน์ชวนไปออกเรือตกปลาหมึกช่วงเย็นๆ ก็ว่าจะพาครอบครัวผมและดีนลงเรือไปด้วยกันอยู่
งานก่อสร้างบ้านพักของดีนก็ยังมีงานอีกหลายอย่างที่ต้องทำ ก็คิดว่าจะขอลองไปเป็นลูกมือแกสักหน่อย เผื่อจะได้ทักษะอะไรติดตัวมาบ้าง
หย้าล่ะ (คำอำลาภาษาฮิบรู) แอนด์ เทคแคร์ครับลูกพี่
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
ฟังเรื่องพ่อกับลูกชายของฝรั่งเพื่อนคุณแล้ว คิดถึงชนาธิป กัปตันทีมชาติไทยชุดแชมป์ซูซูกิคัพหนล่าสุด ที่ตอนนี้มีค่าตัวสูงสุดในอาเชียน ตอนเด็ก เจก็โดนพ่อเล่นมาซะน่วม ทั้งด่าทั้งตบ (เจ้าตัวให้สัมภาษณ์เอง) ฝนจะตกแดดจะออกยังไงก็ช่าง สิ่งที่ต้องทำ สิ่งที่จำเป็นของชีวิตคือซ้อมบอล เคสนี้ลึกๆ แรกเริ่มมันเป็นความฝันของพ่อมากกว่า ชอบฟุตบอล แต่ตนเองเล่นได้ระดับหนึ่ง พอมีลูกชายก็หมายมั่นอยากปั้นให้เติบโตไปเป็นนักบอลอาชีพ ทำทุกวิถีทาง ทั้งคุมฝึกซ้อม และหาวิดีโอเทปนักบอลเก่งๆ มาให้ลูกดู เล่นเท้าขวาข้างถนัดได้ดีแล้วก็บังคับให้หัดเล่นข้างซ้าย จากทำไม่ได้ก็เอาจนคล่องแคล่ว มีประสิทธิภาพทัดเทียมกัน พ่อลูกคู่นี้ผ่านความผิดหวังมามากในเรื่องร่างกายของเจ คือเป็นคนตัวเล็ก สูงแค่ 158 เซ็นติเมตร โดนปฏิเสธมาหลายครั้ง จากหลายทีม แต่ที่สุดก็ฝ่าฟันพิสูจน์ตัวเองมาจนได้ว่าข้อจำกัดนั้นไม่ได้เป็นอุปสรรค
มองชีวิตเจ ซึ่งเป็นดาราแข้งทองในวันนี้ ต้องยอมรับว่ามาจากความบ้า ความเคี่ยวข้น เอาเป็นเอาตายของพ่อ ด้วยความรักต่อฟุตบอลและลูกชาย เขาใช้ทั้งพระเดชพระคุณ โดยไม่เกรงกลัวว่าลูกจะโกรธเกลียด นานวันเข้า พอมันมาบวกกับทักษะ มันสมอง และความรักในเกมกีฬาของชนาธิป อะไรก็หยุดไม่อยู่ ฝ่ายเรามองดู คือมันก็โหดนะ อะไรวะ พ่อแม่งเอาแต่ใจชิบหาย ตัวเองบ้าบอลดันไปบังคับเด็กสี่ห้าขวบให้ฝึกหนักเกินวัย แต่ก็นั่นแหละ เคสนี้ฝ่ายลูกชายก็ทำได้จริงๆ ความโหดความเถื่อนทั้งปวงจึงอธิบายไปที่ต้นทางความรักและการมีส่วนในความสำเร็จ คุณลองนึกดูว่าถ้าชนาธิปเครียด เกลียดฟุตบอล และกดดันที่ทุกวันๆ โดนพ่อด่า ไปหาทางออกแย่ๆ ฯลฯ มันออกได้หลายหน้าเหมือนกัน ลบและบวก ร้ายและดี บางทีก็นิดเดียวจริงๆ อะไรก็ตาม เบื้องต้นคนเป็นพ่อ (ซึ่งเป็นผู้ใหญ่ มีวุฒิภาวะมากกว่า) คงต้องอ่านให้ละเอียดว่าลูกของตัวเองเป็นยังไง เปราะบางหรืออดทน สู้ไหว เราเชื่อว่าพ่อแม่ย่อมรู้ เลี้ยงมากับมือ มันพออ่านออกว่าควรอ่อนควรแข็งหรือใช้ยาแรงแค่ไหน หวังดีไม่ได้แปลว่าจะเอาแต่ใจทุกอย่าง และฝ่ายลูกเอง ยิ่งเมื่อโตพอจะรู้ความแล้ว ก็ต้องไม่มองโลกแง่ร้ายเกิน โดยเฉพาะกับครอบครัว เรื่องพวกนี้ดูฝรั่งเพื่อนคุณเขาแฟร์มาก มันเป็นสิ่งสวยงามจริงๆ ที่พ่อมอบบางสิ่งให้แล้วลูกชายมองเห็น น้อมรับ และขอบคุณ
ส่วนเรื่องการถกเถียงอันเป็นความปกติของตะวันตก เราชอบมาก อยากเห็นสังคมไทยเป็นแบบนั้น เท่าที่ดูยังอีกไกล บ้านเราเป็นสังคมแห่งการพูดนะ พูดกันเยอะ แต่เอนไปในเซ้นส์นินทา และไม่พูดในที่แจ้ง ตรรกะหลายๆ อย่างที่ควรเป็นเรื่องพื้นฐานจึงไม่แข็งแรงงอกงามนัก อีกอย่าง เห็นคนเถียงกันทีไร มักชอบพูดกันไปคนละเรื่อง อันนี้ไม่เข้าใจจริงๆ
ปล. ชอบนโยบาย ‘เปื้อน เหนื่อย เจ็บ’ ของคุณมาก เราว่ามาถูกทางแล้ว.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน