the letter

1986

สวัสดีจากบางกอกอีกครั้งครับ

ผมเพิ่งเดินทางมาถึงบางกอกเมื่อเช้านี้ อากาศที่นี่เย็นกว่าที่พะงันสัก 5 องศา แต่ก็น่าจะอุ่นกว่าที่น่านไม่น้อยกว่า 5 องศา อากาศเย็นแบบนี้ทีไรเตือนให้ผมรำลึกถึงบรรยากาศความรื่นเริงในยามปลายปีทุกครั้ง มวลความทรงจำในสมองทั้งส่วนนอกสุดและในสุดเตือนให้ผมรำลึกถึงความสุขสะสมในชีวิตที่มักจะเพิ่มพูนและงอกเงยเอาที่สุดก็ช่วงท้ายของปีท่ามกลางอากาศที่ดีที่สุดอย่างนี้ 

ในโลกที่อยู่ห่างจากเส้นศูนย์สูตรไปมากกว่าเราก็มีบรรยากาศแห่งความรื่นเริงเหมือนกัน แต่เหมือนว่าปีนี้ใครๆ ที่นู่นก็บ่นกันถึงค่าครองชีพและค่าพลังงานที่ถีบตัวขึ้นอย่างมากตั้งแต่มีสงครามที่ยูเครน กลับกันกับประเทศเราที่ในช่วงนี้ประชาชนน่าจะรื่นเริงไปพร้อมๆ กับการประหยัดค่าพลังงานไปพอสมควรจากการไม่ต้องเปิดแอร์หรือพัดลม  

ผมส่งท้ายปีเก่าบนเกาะพะงันด้วยการกินไอศครีมกับครอบครัวดีน ระหว่างที่ทุกคนเอร็ดอร่อยกับรสชาติไอศครีม แคเรน ภรรยาของดีนถามผมว่าจะเดินทางกลับด้วยวิธีไหน ผมเฉลยว่าซื้อตั๋วรถทัวร์ ป.1 (น่าจะย่อมาจากปรับอากาศชั้นหนึ่ง) รอบกลางคืนไว้ ราคาค่าโดยสารรวมทั้งเรือและรถแล้วตกคนละ 870 บาทถ้วน ซึ่งนับเป็นวิธีที่ประหยัดที่สุดแล้วสำหรับการเดินทางกันแบบไม่กี่คน หนำซ้ำเรือเฟอร์รี่โคกับบริษัทรถทัวร์ยังเป็นของบริษัทซีทรานซึ่งคุณภาพทุกอย่างดีกว่าราชาเฟอร์รี่เป็นไหนๆ รอบล่าสุดที่เดินทางมานี้อุตส่าห์ให้เรือราชาออกตัวไปก่อนร่วมยี่สิบนาที พอกลางๆ ทางค่อนไปทางใกล้จะถึงท่าเรือดอนสักฝั่งสุราษฎร์ เรือซีทรานยังแซงเรือราชาเข้าฝั่งก่อนได้อีก (ติดตามข่าวเรื่องเรือของกองทัพที่ล่มแล้วอดไม่ได้ที่จะนึกถึงบริษัทเดินเรือที่แย่ที่สุดในเกาะพะงันบริษัทนี้)

ตอนผมตอบแคเรนไปว่าเราต้องนั่งรถทัวร์ข้ามคืน เธอถามผมว่าแล้วเบาะปรับเอนได้แค่ไหน จะนอนหลับได้ดีหรือ ผมกับหลินส่ายหน้าบอกว่าไม่หรอกแล้วพานให้นึกถึงตัวช่วยที่ผมมักจะใช้เวลาอยากจะนอนในจังหวะและสถานการณ์ในชีวิตไม่เอื้อให้สักเท่าไร ผมหันไปหาดีนแล้วถามว่าพอจะโรล Spliff (กัญชาผสมบุหรี่) ให้สักตัวสองตัวได้ไหม ดีนบอกว่าไม่ได้พกมา แต่ยินดีจะขี่รถกลับไปทำมาให้ แล้วจู่ๆ ใครสักคนในวงก็ทักขึ้นมาว่าทำไมต้องกลับไปเอาที่บ้านด้วย เดินไปไม่กี่ก้าวก็มีร้านกัญชาเป็นสิบๆ ร้านให้เลือกแล้ว 

ผมหัวเราะแล้วนึกขึ้นได้ว่าตัวเองยังติดกับความเคยชินเดิมๆ กัญชามันเป็นสิ่งที่ต้องขอกันแบบลับๆ มาตลอดตั้งแต่ผมรู้จักมัน ใครจะไปคิดว่าจู่ๆ ทุกที่ในประเทศไทยก็กลายเป็นอัมสเตอร์ดัมเพียงข้ามคืน เดี๋ยวนี้เดินไปไหนบนเกาะก็มักจะได้กลิ่นกัญชาโชยมาเสมอๆ 

ก่อนขึ้นเรือผมเดินโฉบไปเกี่ยวสมุนไพรมาหนึ่งกรัมก็เพียงพอให้ผมกับหลินผ่านค่ำคืนบนรถทัวร์มาอย่างไม่ยากเย็น เจ้าของร้านที่ขายกัญชาให้ถามว่าอยากเมาแบบไหนพลางเปิดขวดโหลสมุนไพรให้ผมดมกลิ่นกันริมถนน หลังจากนั้นแกพยักหน้าไปที่ป้อมตำรวจที่อยู่ตรงข้ามกับร้านเพื่อจะสื่อให้เห็นถึงความก้าวหน้าของกิจการประเภทนี้ในเมืองไทยว่าทุกวันนี้จะปลอดภัยไร้กังวลต่อการคุกคามและรีดไถจากผู้รักษาสันติราษฎร์ 55 

ถ้าบางเรื่องในประเทศนี้มันเปลี่ยนได้อย่างข้ามคืนเหมือนกัญชา ชีวิตใครในฝั่งพวกเราคงไม่ต้องลำบากหรือทรมานทรกรรมกันอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้

ผมแว่บๆ เห็นพี่โพสต์ว่าฟุตบอลโลกนัดชิงปีนี้นั้นไร้ตำหนิ ก็ออกจะเห็นด้วยอยู่ไม่น้อย ผมนั่งดูมันเพลิดเพลินในผับอังกฤษไม่ไกลจากท่าเรือ คนอังกฤษส่วนใหญ่ล้วนเชียร์อาร์เจนติน่าด้วยอคติทางชาตินิยมที่ปลูกฝังให้เกลียดประเทศเพื่อนบ้านอย่างฝรั่งเศส ทั้งๆ ที่หลายสิบปีก่อนคนอังกฤษแทบจะทั้งประเทศเกลียดอาร์เจนติน่าในยุคมาราโดน่าแทบตายหลังเหตุการณ์ Hand of God สองชาติที่อยู่ห่างกันเพียงทะเลเล็กๆ กั้นนั้นคงมีอะไรแตกต่างจนน่าเขม่นกันพอสมควร พี่อาจถนัดฝั่งเมืองน้ำหอม ส่วนผมนั้นเท่าที่อยู่พะงันมาคุ้นเคยมากกว่ากับคนจากเมืองผู้ดี ซึ่งถ้าไม่นับวิถีการพูดอันส่อไปในทางการมีมารยาทอันดีงามแล้ว วิถีปฏิบัติอื่นในชีวิตของคนชนชาตินี้ก็ยังทำให้ผมสงสัยอยู่ว่าทำไมเราเรียกพวกเขาว่าผู้ดี 

อาจารย์ธเนศหรือใครหลายคนเคยทักว่ามันไม่ใช่เรื่องเชื้อชาติหรอก หากแต่มันเป็นเรื่องชนชั้น คนอังกฤษที่ผมรู้จักส่วนใหญ่ที่เกาะพะงันนั้นอาจมาจากอีกชนชั้นหนึ่ง ชนชั้นที่หากคนที่ตั้งชื่อว่า “เมืองผู้ดี” ได้รู้จักกันตัวเป็นๆ คงจะไม่ตั้งฉายาให้ในทำนองนี้ คนอังกฤษที่ผมไปคลุกคลีด้วยส่วนใหญ่นั้นเล็บดำ ตัวเหม็น หรือไม่ก็โคตรขี้เมา ถ้าผมมีโอกาสได้ตั้งชื่อให้คงใคร่จะเรียกว่ามนุษย์จาก “เมืองคนเถื่อน” ซะมากกว่า แต่ทั้งนี้ไม่ใช่เถื่อนในความหมายของมนุษย์ที่เราควรจะหลีกลี้ แต่เถื่อนในความหมายของมนุษย์ที่เอาตัวรอดได้ในทุกสถานการณ์ พวกเขากระเดียดไปทางมนุษย์จำพวก Pragmatic ซะมากกว่า Idealist 

การไปค้างแรมพร้อมกับลูกที่สเกาต์แคมป์บนเขากับพวกเขาหลายๆ ครั้งบอกกับผมว่าถ้าโลกนี้มีมหันตภัยนิวเคลียร์ ชาวอังกฤษสองสามคนที่ผมรู้จักนั้นน่าจะเป็นกลุ่มคนที่ผมควรไปพึ่งพาอาศัยมากที่สุด ทักษะการก่อกองไฟให้ความอบอุ่นและประกอบอาหาร ความทนทานต่อทุกสภาพอากาศ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ด้วยตัวเอง ความมั่นใจที่จะมีชีวิตรอด เป็นสิ่งที่ทำให้ผมคิดอย่างนั้นกับพวกเขา

ผมเพิ่งอ่านหนังสือเรื่อง Hobbit จบ ยืมมันมาจากห้องสมุดโรงเรียนลูกชาย เนื้อหาในเรื่องสนุกสนานและเต็มไปด้วยเล่ห์กลและทักษะการเอาตัวรอดแบบอังกฤษๆ อ่านแล้วคิดไปว่าการขโมยอาจไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายของคนชาตินี้ ตราบใดที่การขโมยนั้นเป็นการขโมยเอาจากคนที่มีมากเกินไป (Robinhood) ตอนที่กำลังอ่านและพกไปไหนมาไหน พอลทักว่ายูอ่านเป็นครั้งที่เท่าไร ผมซึ่งเพิ่งจะอ่านหนังสือเป็นครั้งแรกถามกลับว่าแล้วนายเคยอ่านมันด้วยหรือ ได้ข่าวว่าตอนเด็ก นายเป็นโรคอ่านหนังสือไม่คล่อง ลูกพี่พอลตอบว่าทำไมจะไม่ล่ะ นี่คือหนังสือนอกเวลาที่เด็กอังกฤษทุกคนต้องอ่าน 

ถ้าผมจะนึกอิจฉาคนในประเทศพัฒนาแล้วก็คงเป็นเรื่องนี้ เอาแค่รายชื่อหนังสือนอกเวลาเด็กสองประเทศนี้ (ไทย vs อังกฤษ) แม่งก็เทียบกันไม่ได้แล้ว 

ผมยังรักษาสถิติมาได้เป็นสัปดาห์ที่สามหรือสี่ในการส่งจดหมายให้ตรงเวลา หวังว่าครูหนึ่งจะพึงใจในลูกศิษย์คนนี้

Take Care Mate!

Jok

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

ปี 1986 เราได้ยินชื่อ ดีเอโก้ มาราโดน่า ครั้งแรก ถ้าเข้าใจไม่ผิด เป็นครั้งแรกที่ทีวีเมืองไทยถ่ายทอดสดฟุตบอลโลก (บางแมทช์ / ที่แน่ๆ คือผ่านรอบแรกไปแล้ว / น่าจะรอบแปดทีม อะไรทำนองนั้น) แน่นอนว่าเป็นปีที่มาราโดน่าพาอาร์เจนติน่าคว้าแชมป์ แทบทุกคนที่เกลียดการโกง (ใช้มือปัดบอลเข้าโกล์) โค้งคารวะมาราโดน่าในประตูถัดมา ที่ลากเลื้อยจากครึ่งสนามเข้ามายิงผ่านมือ ปีเตอร์ ชิลตัน ฟังว่ากระทั่งนักบอลอังกฤษหลายคนที่เจ็บใจในความเซ่อของกรรมการมาหมาดๆ ก็ต้อง ‘ยอม’ ในความมหัศจรรย์ครั้งนี้ของลูกพี่เค้า เออ ถ้ามึงทำได้ขนาดนี้ ลูกโกงเมื่อกี๊กูยอมก็ได้

แมทช์ในความทรงจำคือบราซิล-ฝรั่งเศส ซึ่งเราตื่นมานั่งดูกับพ่อ (ราวตีสอง) เป็นครั้งเดียวที่นั่งดูด้วยกันเต็มๆ ระหว่างพ่อกับลูกชาย บราซิล (ขวัญใจเรา) ที่มีดาราสุดเท่อย่างโซเครตีส และซิโก้ (ยิงลูกโทษไม่เข้าทั้งคู่ ถ้าลูกแรก-ในเกม ซิโก้ยิงเข้า ก็น่าจะจบไปแล้ว) แพ้ฝรั่งเศส ซึ่งนำโดย มิเชล พลาตินี่ (ยิงจุดโทษไม่เข้าอีกเช่นกัน) เด็กนักเรียน ม.5 อย่างเรานั่งฟังพ่อดูไปคุยข่มไป แม้เกมจะงดงามอย่างไร ความจริงก็เจ็บปวดเอาเรื่องอยู่ที่อดนอนมาเพื่อจะพบกับความพ่ายแพ้ (โคตรจะไม่น่าแพ้)

เวลาผ่านไป 36 ปี เราย้ายมาเชียร์ฝรั่งเศส–แบบหาเหตุผลไม่ได้ และก็อย่างที่รู้ ฟอร์มที่จ๊าบๆ มาในรอบแรกและรอบสอง ถึงรอบชิงพลพรรค Les Bleus แม่งเล่นห่วยหมาไม่เห่า (บอล อบต. ที่น่าน น่าจะเล่นดีกว่าเยอะ) ทำอะไรไม่เป็นเลย แทบไม่โดนบอลเลยใน 70 นาทีแรก ยังดีที่ได้จุดโทษ ส่วนลูกที่สองนั้น ที่เคยหมิ่นประมาทประธานเป้เอาไว้ในจดหมายฉบับก่อน เรายอมรับแล้วว่าหมอนี่ไม่ใช่บอลใช้แรง ปฏิกิริยา เซ้นส์เพชฌฆาต บวกความกระหายในชัยชนะ อธิบายว่ามันเก่งจริง แต่เก่งยังไง เกมทั้งเกมทุกคนเล่นได้เท่านี้ ผลออกมาเสมอ ต่อเวลา และแพ้จุดโทษ ก็สมควรแล้ว แพ้น่ะถูกแล้ว บทละครอันดราม่ามหากาพย์ของเมสซี่จะได้แฮปปี้เอนดิ้ง

เมสซี่เกิดวันที่ 24 มิถุนายน ปี 1987 นั่นแปลว่าตอนอาร์เจนติน่าได้แชมป์โลกที่เม็กซิโก ตอนที่มาราโดน่ายิ่งใหญ่กว่าพระเจ้า เขาไม่ทันได้เห็น เพลงเตะฟ้าขาวอาร์เจนติน่าหายไปจากวงการฟุตบอลโลกยาวนาน แม้แต่ชื่อชั้นเมสซี่เองก็เถอะ ทุกครั้งที่ได้ยินก็มักเป็นเสียงแซะกระแนะกระแหน เก่งยังไง ถ้าไม่มีถ้วยใบนี้จากฟีฟ่า ของจริงก็ยังไม่ถูกวางบนหิ้ง เก่งจริงแค่ระดับสโมสร ใครจะแคร์ แต่เกมที่กาตาร์แสดงหลักฐานชัดแจ้งแล้วว่าเขาเป็นพระเจ้าองค์ใหม่

สิ้นสุดการรอคอยเสียที เป็น 36 ปีที่กู่ตะโกนได้สุดเสียง สมศักดิ์ศรี

ข้ามมาอีกซีกโลกหนึ่ง, ที่จังหวัดน่าน ลานลั่นทมที่เป็นจุดถ่ายรูปเช็กอินมากที่สุด รองจากภาพกระซิบรัก บังเอิญไปไหมว่าลั่นทมสองแถวนับจำนวนได้ 38 ต้นนั้นก็ปลูกในปี 1986

ต้นไม้ธรรมดา เปรียบเสมือนลูกหนังกลมๆ ธรรมดาลูกหนึ่ง จะว่าไร้ราคาก็ใช่ เทียบกับเพชรพลอย ลั่นทมหรือลูกหนังกลมๆ จะมีคุณค่าราคาใด แต่คุณก็ดูสิ มูลค่าของตลาดลูกหนังโลกวันนี้คิดเป็นเงินเท่าไร ไม่ต้องมองอื่นไกล เอาง่ายๆ แค่ ชนาธิป สรงกระสินธ์ คนเดียว คาวาซากิ ฟรอนตาเล่ ซื้อขายกันด้วยหลักร้อยล้าน

เช่นเดียวกับลั่นทม 38 ต้น หน้าพิพิธภัณฑ์เมืองน่าน ถ้าไม่มีวิชัน ไม่มีใครสักคนคัดสรรจัดวาง เหนืออื่นใด ถ้าไม่ผ่านกาลเวลาบ่มเพาะเคี่ยวกรำ ลานโรมานซ์นี้ย่อมไม่มี ภาพความทรงจำนับหมื่นแสนภาพไม่เกิด อัตลักษณ์เมืองเก่าเลือนพร่า อย่าทำเป็นเล่นไป ลองตีเป็นตัวเงิน ปีแล้วปีเล่า เราว่าลั่นทม 38 ต้นนี้ทำเงินเข้าจังหวัดน่านมาแล้วหลายล้าน และยังไม่หยุดเท่านี้แน่ๆ พลังอำนาจของมันแข็งแรง แผ่ไพศาลยาวไกล ใครเห็นก็อยากหยุดอยากแวะชื่นชม ทั้งตำแหน่งที่ตั้ง ทั้งรูปทรง มวลสาร มันลงตัวจริงๆ ถ่ายรูปในเดือนฤดูใดก็ออกมาดี

ก็แค่ต้นลั่นทม ก็แค่ฟุตบอลกลมๆ ลูกเดียว ใช่–ที่สุดมันก็ขึ้นอยู่กับว่าใครมองเห็นหรือเปล่า ใครลงทุนปลูกสร้าง ลงแรง ใช้เวลา แปรแปลงทำให้ความปกติธรรมดางอกงาม มีเสน่ห์ เรื่องพวกนี้ไม่ได้ลอยมาจากฟ้า มันมาจากการเห็นคุณค่า อดทน รอคอย ยืนระยะยาวๆ ซึ่งโลกยุคเร่งรีบรวบรัดอาจมองว่าโง่เขลา เชื่องช้า ไม่ทันกิน วิธีคิดแบบติ๊กต๊อกบีบให้ทุกคนเป็นนักวิ่งร้อยเมตร ย่อยให้เหลือน้อยที่สุด คั้นจนไม่รู้รสและรากใบเดิมๆ

เราเห็นว่าไม่เลวหรอก กับบางเรื่อง เร็วๆ มันก็กระชับดี เห็นผลไว แต่ใช้กับทุกเรื่องไม่ได้ คุณคงพอนึกออก ดูเหมือนบ้านเราจะถนัดแนวนี้มานาน วิธีคิดแบบ ‘ลั่นทม 1986’ เป็นเรื่องของชนกลุ่มน้อย นอกกระแส (แต่รับประโยชน์ยั่งยืนมาจนวันนี้ เป็นมรดกทางภูมิปัญญาง่ายๆ ขั้นพื้นฐานที่ลูกหลานเก็บกินได้ไม่หมด) ส่วนใหญ่เขาจะไม่รอกันแล้ว มันช้า เปลี่ยนชื่อง่ายกว่า ประมาณลั่นทมเปลี่ยนมาเป็น ‘ลีลาวดี’ นั่นแหละ แทนที่จะมองที่ราก ลงแรง และรอคอย คนฉลาดลูกศิษย์ศรีธนญชัยแก้ไขด้วยการเปลี่ยนชื่อ หรือไม่ก็สวดมนต์

มันง่ายกว่าแน่ๆ แต่ถ้าทุกอย่างเล่นทางนี้กันหมด โลกจะเหลือแต่ถั่วงอกกับผักชี และจะไม่มีเมสซี่คนใหม่

ปล. แพลนเราผิดหมดเลย ช่วงเวลาธันวาคมอันน่ารื่นรมย์จึงค่อนข้างกระหืดกระหอบ ไล่สัมภาษณ์กันขาขวิดชนิดวันเว้นวัน แต่ก็ดีนะ ไม่ว่าจะเป็นเสียงจากชาวนาพ่อค้าเมล็ดพันธุ์ นักท่องเที่ยว แรงงานซาอุฯ (ยุคบลูไดมอนด์) คนทำแพไม้ไผ่ อดีตสหายเก่าชาวลัวะ และล่าสุด จักษุแพทย์ ที่จัดยาวตั้งแต่บ่ายสองถึงเกือบทุ่ม ..การได้ฟังเรื่องราวชีวิตผู้คนใหม่ๆ ยังน่าตื่นเต้นสำหรับเราเสมอ –สุขสันต์วันคริสต์มาสครับจ๊อก.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...