the letter

พระ–เจ้า

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

ผมส่งจดหมายมาให้พี่ล่าช้าจนเริ่มจะเป็นนิสัยไปซะแล้ว

สัปดาห์ที่ผ่านมานี่น่าจะเป็นเจ็ดวันที่ยุ่งที่สุดตั้งแต่มาอยู่เกาะแล้วครับ

ต้นสัปดาห์ผมหาทางทำตัวเป็นทนายสมัครเล่น หาแบบฟอร์มสัญญาเช่าที่ดินในอินเทอร์เน็ต แล้วดาวน์โหลดมาปรับเปลี่ยนแก้ไขบางเงื่อนไขเพื่อให้ตรงกับความต้องการของแลนด์เลดี้อย่างป้ารา จากนั้นก็โทรฯ นัดหมายให้ดีนไปเซ็นสัญญาพร้อมจ่ายค่าเช่ากับแก งานนี้เรามีผู้ใหญ่เกรียง ผู้นำชุมชนในท้องถิ่นที่เราอาศัยอยู่มาเป็นพยานฝั่งผู้ให้เช่า และมีผมเป็นพยานฝั่งผู้เช่า เรานั่งคุยเพื่ออธิบายและยืนยันวัตถุประสงค์ในการใช้ประโยชน์ที่ดินกับเจ้าของและผู้นำชุมชนอีกครั้ง พวกเขาดูจะพอใจที่จะมีกิจกรรมดีๆ สำหรับเยาวชนเกิดขึ้นในชุมชนแห่งนี้ ดีนเอ่ยปากบอกให้ผู้ใหญ่บ้านรับรู้อีกครั้งว่าเขายินดีต้อนรับเด็กไทยในละแวก ผู้ใหญ่ก็ว่าจะไปเสนอเรื่องกับโรงเรียนในท้องที่เลย มีแต่ผมนี่แหละที่เบรกผู้ใหญ่ว่าอย่าเพิ่ง

ผมอยากให้แกไปดูก่อนว่าดีนบริหารและทำอะไรกับเด็กๆ ในค่ายบ้าง สเกาต์แค้มป์แห่งพะงันน่าจะเริ่มเดย์วันในวันเสาร์ที่จะถึงแล้วครับ 

เสร็จงานทางกฏหมายของค่ายลูกเสือ ผมกลับมาบ้านดื่มกาแฟสักพักก็ออกไปช้อปปิ้งกับพอลอีกครั้ง หลังจากคุยกันไม่กี่ครั้งเรื่องกิจการอาหารบนเกาะ พวกเรากับพอลคิดว่าเราจะเริ่มทำร้านฟิชแอนด์ชิปส์กันบนเกาะเร็วๆ นี้ 

เราไปแมคโครและตลาดสด ได้วัตถุดิบที่ต้องการรวมทั้งปลาแช่แข็งและปลาสดจำนวนหนึ่ง ในช่วงเย็นที่ระเบียงบ้านเล็กๆ ของพวกเรา พอลเริ่มทำมื้อทดลองให้แขกกิตติมศักดิ์ที่ได้รับเชิญอันได้แก่ ครอบครัวของพอล ของผม ของดีน ของไมลส์ และน้องชายเพื่อนของผมอีกคน ถ้ามีแขกผู้ใหญ่และเด็กร่วมยี่สิบชีวิตมากินข้าวที่บ้านนี่ผมกับหลินคงตื่นเต้นและกังวลเรื่องอาหารน่าดู แต่กับพอลเดอะเชฟ เรื่องนี้ไม่รบกวนอะไรจิตใจเขา เขาเตรียมวัตถุดิบต่างๆ ไว้พร้อมแล้วจึงเริ่มปรุงอาหารดั่งกับการเต้นรำ ทุกอย่างดูมีจังหวะจะโคน ลื่นไหล และง่ายดาย ทั้งชุบแป้งแล้วหยอดปลาลงไปทอด เสียบตัววัดอุณหภูมิลงไปในชิ้นปลา มองดูสีและเช็คความกรอบของมันฝรั่ง พักของทอดให้สะเด็ดน้ำมัน วางและจัดลงพวกมันลงถาดกระดาษ ก่อนเสิร์ฟ พร้อมๆ กับการเช็ดทำความสะอาดครัวไปในเวลาเดียวกัน 

ไม่เพียงเท่านั้น พอลยังคอยหันหลังกลับมารับฟังความเห็นต่างๆ นานา ทั้งจริงและหยอกจากบรรดานักวิจารณ์อาหารมือสมัครเล่นอย่างพวกเรา เพื่อนผมกลุ่มนี้ส่วนใหญ่ล้วนเกิดและโตที่อังกฤษ เวลาได้กินอาหารเมนูพื้นถิ่น ความหลังและเรื่องเล่าในวัยเด็กอันมีชีวิตชีวาจึงพรั่งพรูออกมาแลกเปลี่ยนกันโดยมีคนไทยหัวดำไม่กี่คนนั่งฟังอย่างรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง พวกเขาเตือนความจำว่าต้องมีเครื่องเคียงของดองบางอย่างในร้านฟิชแอนด์ชิปส์ และมีเศษแป้งจากการทอดเป็นของแถมภาคบังคับที่ร้านต้องมีให้เด็กๆ 

ในแง่มุมการตลาด พวกเราวางแผนว่าถ้าร้านเปิดอย่างเป็นทางการเมื่อไร เราอาจขอให้ไมล์สช่วยเอาใบปลิวโฆษณาร้านไปแจกแขกตามรีสอร์ทต่างๆ ที่เขาและภรรยาต้องเข้าไปทำความสะอาดสระว่ายน้ำอยู่วันละหลายๆ แห่ง 

แม้จะเป็นแค่การทดลองทำอาหารและทดลองชิม แต่ตัวตนและนิสัยของมิตรสหายทั้งหลายที่มาร่วมงานก็ทำให้มันเป็นเหมือนกับปาร์ตี้เล็กๆ แบบพะงัน ผู้ใหญ่นั่งคุยกันอย่างเพลิดเพลิน เด็กๆ วิ่งเล่นกันอย่างสนุกสนาน ผมรู้สึกถึงพลังงานบวกของผู้คนที่นั่งอัดกันอยู่บนระเบียงบ้านเล็กๆ ของเรา การงาน (บางอย่าง) กับบางผู้คนนั้นเสมือนการพักผ่อน หลังมื้ออาหารพวกเราแยกย้ายกันกลับในเวลาไม่ค่ำนักเนื่องด้วยวันรุ่งขึ้นเด็กๆ ต้องไปโรงเรียน และทีมงานว่าที่ฟิชแอนด์ชิปส์ชอปยังมีบิสสิเนสทริปไปสมุยในวันถัดไป

รุ่งขึ้น เราขับรถไปที่บ้านพอลแล้วขึ้นรถกระบะเขาเพื่อข้ามฝั่งไปยังสมุย ยังมีอุปกรณ์ครัวอีกหลายอย่างที่ควรซื้อหามาเตรียมไว้ นอกจากนี้พอลยังนัดแนะกับฝรั่งอีกคนบนเกาะที่เสนอขายเครื่องทำซอฟต์ไอสครีมมือสองให้กับเรา พอลเล่าเรื่องเครื่องทำไอศครีมว่านอกจากจะทำเงินคืนทุนให้เราอย่างง่ายๆ แล้ว มันยังช่วยดึงดูดเด็กๆ ให้มาที่ร้านเราด้วย ถ้าช่วงไหนร้านเงียบเหงา เรายังอาจใช้มันเรียกลูกค้าด้วยการประกาศออนไลน์หรือหน้าร้านว่า “ไอศกรีมฟรีสำหรับเด็ก” ด้วยก็ได้ 

เมื่อตอนไปถึงบ้าน พอลเดินงัวเงียออกมาก่อนบ่นกับเราว่าเขาพึ่งได้นอนแค่ไม่กี่ชั่วโมง เมื่อคืนเขาหงุดหงิดที่ภรรยาเอากุญแจรถไปซ่อน (กลัวว่าจะออกไปเข้าบาร์และดื่มจนติดลม) เขาประชดด้วยการเดินเท้าออกจากบ้านเลียบชายหาดร่วมกิโลฯ เพื่อเข้าบาร์และดื่มแก้เครียดก่อนกลับบ้านเอาตอนตีสี่ หลังซื้อตั๋วกันเรียบร้อยปรากฏว่ายังมีเวลาเหลืออีกเล็กน้อย ผมจึงชวนพวกเราแวะกินข้าวแกงกันก่อนขึ้นเรือ ลูกพี่พอลคงยังแฮ้งค์อยู่หรือไม่ก็ยังไม่คลายความหงุดหงิด ระหว่างรอเขาจึงเปิดตู้เย็นในร้านคว้าเบียร์มาดื่มแทนอาหารเช้าอีกสองกระป๋อง 

ครั้งนี้เป็นความจำเป็นที่เราต้องใช้บริการ ราชา เฟอร์รี่ อีกครั้ง เพราะมันยังเป็นบริษัทเดียวที่มีเรือบรรทุกรถข้ามฝั่งพะงัน-สมุย พอจอดรถใต้ท้องเรือเสร็จแล้วเดินขึ้นไปหาที่นั่งกัน ก็พบว่าอะไรๆ ยังคงไม่ผิดไปจากที่คาด ไม่รู้ว่าหลังๆ มานี้พวกเรานั่งเรือของอีกบริษัทเรือข้ามฟากจนเคยชิน หรือความเป็นไป ณ ‘บริษัทที่คุณก็รู้ว่าใคร’ ด้อยลงทุกขณะก็ไม่รู้ ครั้งนี้ผมรู้สึกโคตรเศร้าและโกรธ เงินก็ต้องจ่าย ทางเลือกอื่นก็ไม่มี นี่คือสิ่งที่เราต้องเจอเวลาเอารถข้ามจากพะงันไปสมุย 

ห้องโดยสารกลางลำเรือที่เต็มไปด้วยโซฟาหรูหราและระบุว่าปรับอากาศนั้นมีเครื่องปรับอากาศที่ใช้การได้แค่ตัวเดียว หนำซ้ำยังมีฝรั่งส้นตีนอีกสองคนหันแอร์ตั้งพื้นตัวนั้นเป่าจ่ออยู่กับแค่ตัวของพวกเขา ผู้โดยสารที่ทนได้ก็นั่งเหงื่อไหลไคลย้อยกันอย่างอับๆ เฉาๆ กันไป คนที่ทนไม่ไหวก็ออกไปนั่งท้ายเรือซึ่งต้องทนกับกลิ่นและควันของเครื่องยนต์ที่เรือที่สันดาปไม่ปกติ หรือไม่ก็ไปหากราบเรือฝั่งที่ไม่โดนแดดแล้วนั่งเอากับพื้น มีผู้โดยสารบางคนที่เอารถมาด้วยหาทางเอาตัวรอดด้วยการกลับเข้าไปที่รถ ติดเครื่อง เปิดแอร์ และขังตัวเองไว้ในรถใต้ท้องเรือซะอย่างนั้น 

นอกจากนี้ตู้ขายน้ำดื่มอัตโนมัติที่มีอยู่เพียงเครื่องเดียวก็เสีย ร้านขายของก็ปราศจากคนขาย ครั้งนี้เรือออกตรงเวลา แต่ถึงที่หมายล่าช้ากว่ากำหนดการครึ่งชั่วโมง ถ้าพะงันทำให้ผมรู้สึกว่าไม่ได้อยู่ในเมืองไทย การต้องมาข้องเกี่ยวกับราชาเฟอร์รี่คือการเตือนสติอย่างแรงๆ ว่าผมยังอยู่ในประเทศแห่งนี้ 

เอาตรงๆ ว่าถ้าไม่ได้มากับเพื่อนที่รู้ใจ การเดินทางกับเรือข้ามฝั่งเจ้านี้นั้นคือนรกชัดๆ 

เอารถขึ้นฝั่งสมุยและขับขึ้นเหนือไปไม่เท่าไร เราก็พบพระธุดงค์นักโบก แม้ไม่ได้โบกโดยใช้หัวแม่มือกวาดไปข้างหน้าดั่งที่นักโบกทั่วโลกเขาทำกัน แต่การกวาดมือลงเหมือนการโบกแท็กซี่ก็ทำให้พอลจอดรถรับหลวงพี่สี่รูปขึ้นหลังกระบะมาได้ หนึ่งในบรรดาหลวงพี่กล่าวกับพวกเราว่าเดินทางมาจากอุบลฯ และกำลังธุดงค์ไปหาที่ฉันเพล ระหว่างที่จีวรสีส้มแก่สี่ผืนโบกสะบัดอยู่หลังกระบะ พอลหันมากล่าวกับเราว่า ไอรู้ว่าว่าพวกเรากำลังกระทำกรรมดี สิ่งนี้จะเป็นบุญกุศลกับชีวิตและธุรกิจของพวกเรา ผมหันไปตอบด้วยความสงสัยว่า กูเพิ่งรู้ว่ามึงเป็นรีลิเจียสแมน พอลตอบว่า ไอไม่ใช่ แต่ไอเชื่อเรื่องกามา (Karma) 

ระหว่างทางก่อนถึงร้านขายอุปกรณ์ครัว พวกเราผ่านตลาดขนาดย่อม หลวงพี่รูปหนึ่งเคาะกระจกส่งสัญญาณว่าขอแยกย้าย พอลหันมาขยิบตากับผมแล้วหยอกว่าเราพอจะเก็บเงินหลวงพี่กันรูปละสองร้อยเป็นค่าโดยสารได้ไหม ผมบอกว่าไม่หรอก พระที่ไหนเขาพกเงินกัน ถึงหลวงพี่จะอยากจ่ายก็ไม่น่าจะมีเงิน

หลินเปิดไปประตูรถลงไปเพื่อนำส่งนมัสการหลวงพี่ทั้งสี่ ก่อนธุดงค์ไปหาที่ฉันเพล หลวงพี่รูปหนึ่งหันมาทางหลินแล้วเปิดย่ามออกมา หลินนึกว่าหลวงพี่จะมอบเครื่องรางของขลังเป็นการตอบแทน แต่เปล่าเลยครับ ท่านเอ่ยกับภรรยาผมว่า โยมพอจะช่วยทำบุญอุดหนุนเป็นค่าอาหารเพลให้อาตมาได้บ้างไหม โดยมิทันคิดถึงความสมเหตุสมผลหรือนโยบายในการทำบุญของครอบครัวเรา เธอรีบเดินกลับมาแล้วชะโงกหน้าเข้ามาในรถถามผมกับพอลว่าพวกนายพอมีแบงก์ร้อยสักใบสองใบไหม พวกเราก็ควักให้เธอไปนำส่งต่อให้พระอย่างไม่ทันคิด ทั้งๆ ที่เพิ่งคุยกับว่าจะเก็บค่าโดยสารกับพระสงฆ์องค์เจ้ากันหยกๆ 555

แต่การจ่ายเงินค่าโดยสาร (ค่าที่ได้โดยสารมาด้วย) ให้กับพระทั้งสี่รูปก็เป็นเรื่องตลกที่ทำให้ผม หลิน และพอลหัวเราะและพูดคุยเรื่องอื่นๆ กันอย่างออกรสได้ตลอดทั้งทริป พอลเล่าว่าไม่กี่ปีก่อนขณะจอดรถติดไฟแดงในลอนดอน เขากับพี่เขยเจอคนไร้บ้าน ยิปซี หรืออาจเป็นผู้อพยพที่เพิ่งลี้ภัยมาจากประเทศอื่น เดินมาเช็ดกระจกหน้ารถ ก่อนแบมือขอเงิน พี่เขยพอลทำท่าส่งสัญญาณว่าพวกเขาไม่มีเงินสดติดมือ พกแต่บัตรเครดิต 

แทนที่จะเดินจากไป ชายคนเช็ดกระจกผู้นั้นล้วงกระเป๋าแล้วควักเครื่องรูดบัตรเครดิตออกมาเพื่อตอบสนองรูปแบบการชำระเงินที่พี่เขยพอลร้องขอ พอลหันไปหาพี่เขยแล้วพอว่า เห็นไหม คนพวกนี้ไม่ธรรมดานะ 555 

มาสมุยทริปนี้นอกจากจะถูกปล้นจากราชาแล้ว ในทางหนึ่งก็อาจพูดได้ว่าถูกปล้นจากพระอีกด้วย สิ่งนี้อาจเป็นเรื่องสากลของโลกก็ได้ เพียงแต่ที่นี่ทุกอย่างมันกระจ่างชัดและปราศจากการปกปิดด้วยความละอายใดๆ ทั้งสิ้น 

ขอความสุขจงมีแต่พี่และคลาดแคล้วจากทั้งราชาและพระสงฆ์

จ๊อก

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

ไม่สบายนิดหน่อย ขออนุญาตพักร่างกายชั่วคราว ฉบับหน้ามาว่ากันใหม่นะ อ้อ จากที่คุยกันเรื่องเป็ดๆ ไก่ๆ เราไปรื้อสมบัติเก่ามา ไม่น่าเชื่อว่าจะเจอ หน้าตามันเป็นแบบนี้นะ เจ้า ugly duck ที่ว่า (ส่วนคนอุ้มก็ดูรักสัตว์เนอะ เมื่อก่อน เดี๋ยวนี้ชอบกินอย่างเดียว)


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...