จากนิทรรศการ มโนทัศน์รัตนโกสินทร์ มีคำถามฝากมา เราคิดว่ามันน่าสนใจมาก อยากตอบตรงนี้ก่อนที่จะมี Artist Talk ในวันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2022 นี้ เป็นคำถามปลายเปิดจากบางประสบการณ์ที่เคยพบเคยปะทะ คำตอบนี้ให้ถือว่าเป็นคำตอบปลายเปิดเหมือนกัน
อยากไปดูงาน แต่จะไม่ไปวันเปิดงานอีกเด็ดขาด แม้จะมีบัตรเชิญจากเพื่อน ศิลปินเจ้าของงานก็ไม่ไป เพราะรู้สึกเป็นคนละพวกคนละกลุ่มกัน พูดกับเขาไม่รู้เรื่อง เขาพูดกันคนละภาษากับที่เราพูดไม่เข้าใจ เขาสื่อสารอะไรกัน (ในวงเล็บคือคำตอบ ไปกับเพื่อนที่สนใจ รู้เรื่องศิลปะก่อนก็ได้ หรือไม่ก็ไปแบบไม่รู้นี่แหละ ไปบ่อยๆ เดี๋ยวก็รู้เอง)
อีกบางคำถาม ดูหนังฟังเพลงง่ายกว่าเยอะ แต่พวกวาดรูปอะไรก็ไม่รู้ เขียนชื่อภาพประมาณว่าความเหงาของมฆมาณพ หมายเลข 1 หมายเลข 2 หรือไม่ก็ แรงกระเพื่อมของหัวใจห้องขวาบน หมายเลข 3 หมายเลขไปเรื่อยเปื่อย โอย อะไรเนี่ย ภาษามนุษย์หรือเปล่า (อยากตอบสั้นๆ ตรงนี้ก่อนว่าทุกอย่างต้องการเวลา)
กับอีกหลายความเห็นหลายบทสนทนา เช่น ไม่ต้องไปตีความในทุกภาพหรอก เรื่องของใครก็ของใคร ศิลปินคิดอยู่คนเดียวปล่อยเขา ถ้าอยากเข้าใจจริงๆ หาหนังสือประวัติศาสตร์ศิลปะมาอ่านก่อน อะไรๆ ก็จะเข้าใจง่ายขึ้น
พอดูรูปแล้วก็เคยถามตัวเองเหมือนกันว่า ศิลปินเขาอยากบอกอะไร หรือเราไม่ต้องสนใจก็ได้ว่าเขาจะบอกอะไร โฟกัสที่เราเองว่ารู้สึกอะไรบ้าง ถ้าว่างเปล่า ก็ปล่อยผ่าน มีเยอะไป งานไม่ถึง ไม่เห็นมีอะไร มือไม้อ่อนปวกเปียก
เราก็เคยลองทำความเข้าใจอยู่นะ เคยยืนฟังคนพูดโน่นนี่แล้วน่าสนใจดี ก็ฟัง
อย่าไปใส่ใจเลย ดูรูปไม่รู้เรื่อง ปล่อยผ่านก็เท่านั้น รูปนั้นคนทำอาจไม่ได้คิดอะไรเลย แค่มีคนจ้างให้ลอกแบบก็เท่านั้น จะไปหาอะไรแนวคิดเรื่องราว มีด้วยเหรอ
ดูไม่เป็น ไม่รู้เขาดูอะไรกัน อย่างไหนเรียกงาม ดี แล้วทำไมต้องแพง
เราไม่เคยหัดดู ห่างไกลตัว ไม่เกี่ยวกัน
งานอะไรก็ตาม คนทำกับคนดูยืนอยู่กันคนละฝั่ง คนทำก็ทำไปแล้วนำเสนอ ฝั่งคนดูผู้ตั้งใจรับสารหรือบังเอิญเห็นสารนั้นก็คิดไปหลายอย่าง คนทำอธิบายไม่ได้ทั้งหมดหรอก ถ้าทำได้ก็ไปเป็นนักเขียนเลยหมดเรื่อง ฮา ฮา จะว่าไป เราหนีไม่พ้นเรื่องศิลปะหรอก สีเสื้อผ้า อาหาร ยุ่งเกี่ยวอยู่ทั้งวัน
คำว่า ‘รสนิยม’ สำคัญ มันก็เป็นตัวบอกให้รู้ก่อนว่างานเขาเป็นแบบไหน ถ้าเราไม่ชอบแฟนตาซีสีสันพรรณรายเอาเสียเลย ตอนไปดูงานนั้นก็คงมีอคติ ทั้งๆ ที่งานดีก็ได้ บางรูปที่ดูอึกทึก โฉ่งฉ่าง กับเงียบๆ นิ่งๆ ชอบไม่ชอบก็ตรงนี้เลย มันเกี่ยวกับรสนิยมของแต่ละคน
ไม่น่าแปลกใจ เพราะมันเป็นภาพรวมที่คนส่วนใหญ่มักส่ายหน้าก่อน ถ้าพยักหน้า ป่านนี้วงการศิลปะประเทศไทยคงไปไกลกว่าที่เป็นอยู่ คือถ้าไม่ได้เรียนมาทางนี้ก็คงยากที่จะเข้าใจ ไม่เก็ท ไม่อินอะไรราวๆ นี้ เรื่องแบบนี้ ต้องคุยกันยาวถึงยาวมาก แต่คุยได้นะ มันไม่เกินกำลังที่จะคุยกันจนรู้เรื่องจนได้แหละ เพียงแต่ใช้เวลา เอาเข้าจริงแล้วง่ายๆ อย่างแรกคืออะไรที่เรายังไม่เข้าใจ เราก็ต้องให้เวลาใช่ไหม เราดู เราเห็นบ่อยแค่ไหน
กว่าจะเข้าใจงานของศิลปินคนหนึ่งนี้ บางทีเราอาจต้องรู้ไปถึงเบื้องหลังการทำงาน พื้นฐานตั้งแต่เด็กด้วยซ้ำว่าสิ่งที่เขาทำ อุดมการณ์อุดมคติมีไหม แบบไหน
ในรายละเอียดยังมีเรื่องของแนวคิดของศิลปินแต่ละคนอีกด้วยว่า เขาคิดเรื่องความงามความดีไหม ศิลปินบางคนอาจมองว่าศิลปะไม่ใช่เครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อ ไม่ใช่คัมภีร์สอนวิชาศีลธรรม เขาก็อาจจะเขียนภาพที่ส่งเสริมกิเลสให้เข้มข้นขึ้นก็ได้ หรือศิลปะไม่จำเป็นต้องมีความงามก็ได้ ขอให้สื่อสารความคิดได้ก็พอ อย่างเช่นป้ายสัญลักษณ์โน่นนี่ แล้วก็จะมีข้อถกเถียงกันต่อว่า แค่ข้อความรูปสัญลักษณ์เหมือนเสียงตะโกนที่ไม่มีความงาม เขาก็ไม่นับว่าอันนี้มีศิลปะ หรือบางคนอาจทำงานจิตรกรรมประติมากรรมเพียงเพื่อยังชีพ ไม่ได้ใส่ใจสนใจเรื่องอื่นๆ
รูปเขียนทะเลที่ถูกคัดเลือกไปไว้ในหอศิลป์ กับรูปทะเลที่เขียนซ้ำๆ เป็นร้อยเป็นพันเพื่อขายให้นักท่องเที่ยวที่ซอยคาวบอยหรือที่ริมทางพัทยา มันก็คงมีความแตกต่างกันอยู่บ้างแหละ
สุดท้าย อันนี้เราว่าแค่เปิดใจไว้กว้างๆ เอาตามความรู้สึกเราเป็นหลักก่อน ทุกศาสตร์มีรายละเอียดที่ต้องรู้เป็นพื้นฐานที่ปฏิเสธไม่รับรู้ไม่ได้ ก็ให้เวลาศึกษา ชอบไม่ชอบเราจะตอบได้เองว่าชอบเพราะอะไร ไม่ชอบเพราะอะไร ถ้าตอบได้ก็หมายความว่า เรามีประสบการณ์ความงามอย่างนี้มาเพียงพอ วันนี้ไม่เข้าใจ วันหนึ่งก็เข้าใจ ถ้าเราสมัครเรียนรู้และให้ใจไม่จำเป็นต้องฝืนเพราะงานศิลปะไม่ใช่ของสูงต้องใช้บันไดอะไรหรอก
แค่ให้เวลา ถ้าสนใจจริง ความรู้สึกว่าเป็นคนละกลุ่มไม่เข้าพวกก็ไม่ใช่แล้ว
คำถามที่สอง เป็นคำถามสำคัญ ทำไมรูปที่แสดงไม่เห็นมีอะไรตามที่เขียนไว้ในสูจิบัตร เห็นหลายงานแล้วเป็นแบบนี้ ไม่เข้าใจหรือศิลปินไทยเขียนอะไรก็ได้ เคยมีใครตั้งข้อสังเกตแบบนี้ไหม
ภาพรวมแนวคิดในสูจิบัตร ‘มโนทัศน์รัตนโกสินทร์’ เขียนว่า แนวคิดที่มีต่อสภาพแวดล้อมในสังคมไทยยุครัตนโกสินทร์ ผู้คนล้วนให้ความสำคัญกับคุณค่าของเทคโนโลยี วัฒนธรรมประเพณีที่ดีงามที่เป็นจิตสำนึกขั้นพื้นฐานของความเป็นมนุษย์และความเป็นคนไทยถูกละเลย คนส่วนใหญ่สร้างโลกเสมือนผ่านเครื่องมือสื่อสารขาดการปฏิสัมพันธ์อย่างแท้จริง ข้อมูลที่โลดแล่นอยู่ในโลกเสมือนมีทั้งความจริงและความลวง ทั้งหมดส่งผลกระทบต่อวัฒนธรรมประเพณีไทยในทุกด้าน
ส่วนของเราเอง เขียนว่าผลงานกล่าวถึงการเฝ้ามองชีวิตในรัตนโกสินทร์สมัย เกิดขึ้นแล้วเสื่อมสลายไปเป็นธรรมชาติ วัฒนธรรมประเพณีดีงามหลายๆ อย่างของไทยหายไป เปลี่ยนแปลงคู่กันไปกับความก้าวหน้าของเทคโนโลยีที่มาพร้อมกับความจริงความลวงในโลกเสมือน วิทยาการสมัยใหม่สร้างหุ่นยนต์ไร้วิญญาณขึ้นมาแทนมนุษย์ ข้อมูลในโลกเสมือนมีทั้งทำลายและสร้างสรรค์ทำให้สังคมปั่นป่วน แต่ข้อเท็จจริงคือ มีแต่คนจริงๆ เท่านั้นที่สามารถแยกแยะจริงลวงได้
ตรงนี้จะขออธิบายเฉพาะในส่วนของเราตามนี้นะ
สูตรเราก็ไม่เข้าใจ ว่า E คืออะไรและก็ไม่รู้ว่าทำไม mc จึงต้องยกกำลังสอง หรือแม้เราจะรู้ว่า E คือพลังงานของวัตถุตอนหยุดนิ่ง m คือมวลของวัตถุนั้นและ c คือความเร็วแสงในสุญญากาศ เราก็ยังไม่เข้าใจความสัมพันธ์ของสิ่งนั้นอยู่ดี คนไม่มีความรู้เรื่องฟิสิกส์อย่างเรา แม้จะเคยได้ยินมา แต่ไม่เข้าใจ แม้จะเห็นบ่อยมีคนอ้างถึงบ่อย ความเข้าใจแบบผิวเผินก็รู้แค่ว่าสมการนี้คือความสัมพันธ์ระหว่างพลังงานและสสารว่ามันทำให้โลกเปลี่ยนแปลงอย่างมาก
เรารู้จักสูตรนี้แค่นี้จริงๆ และเราก็ไม่เคยไปศึกษาว่า แล้วพลังงานของวัตถุตอนเคลื่อนไหวมันเป็นยังไง มวลของวัตถุหรือความเร็วแสงในสุญญากาศกับในอากาศมันแตกต่างกันยังไง ในทำนองเดียวกันกับงานศิลปะ อันแรกเลยเราก็แยกถูกแหละว่าอันไหนจิตรกรรม อันไหนประติมากรรม ต่อจากนั้นเราก็ดูรู้เรื่อง กับไม่รู้เรื่อง
ที่เป็นแบบนี้เพราะศิลปะก็มีหลายรูปแบบ อะไรที่เราไม่คุ้นอย่างเช่น Arte Povera (บางคนเรียกว่าศิลปะของคนจน) ที่แนวคิดเป็นดูคล้ายกับเป็นจุดรวมกันของ Minimalism art, Conceptual art และ Performance art ศิลปิน Arte Povera สร้างงานจากของไร้ค่าอย่างเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ ก้อนหิน คล้ายปฏิเสธหรือล้มล้างการขายงานศิลปะอย่างคลั่งไคล้ในแบบทุนนิยม หรือกระแสงานอีกรูปแบบหนึ่งที่อาจไม่คุ้นกันอย่าง Op art ที่เล่นกับภาพลวงตา Installation art หรือกระแส Appropriation art ที่ยังไปต่อได้ในศตวรรษนี้ คงไม่ต้องพูดถึงงาน Pop art, Conceptual art, หรือ Modern art ที่คนยุคศตวรรษที่ 19 คาบเกี่ยวศตวรรษที่ 20 คุ้นเคยกัน
กติกาว่าด้วยข้อตกลงของศิลปะแขนงต่างๆ ก็มีหลายแง่มุมเหมือนวงการเงิน การเมืองมี แล้วถ้าเราไม่เรียนรู้ต่อ เราจะเข้าใจได้อย่างไร
งานชุดนี้เกี่ยวพันกับ 3 เรื่องหลักคือ คน จำนวนเวลา และยุคสมัย ตามที่เขียนไว้ในสูจิบัตรคือ วันนี้ด้วยเทคโนโลยีดิจิตอล ทุกคนคือประชากรโลกที่ล้วนเป็นทั้งผู้ผลิตและผู้บริโภค ไม่ว่าจะสูงต่ำดำขาวทั้งสถานภาพหรือผิวสีก็ไม่มีใครอยู่ค้ำฟ้าได้ รูปทั้งหมดเล่าเรื่องราวให้คนดูคิดต่อ เพราะประสบการณ์คนเราต่างกัน การรับสารย่อมแตกต่างกันไป
รูปที่ 1 ยุครัตนโกสินทร์ มี ส.ส.ข้ามเพศคนแรกของรัฐสภาไทย กลุ่ม Dressed Resembling a girl ชุมนุมที่ราชประสงค์ ออกมาแสดงให้เห็นถึงการมีอยู่ของตัวตนกลุ่มผู้มีความหลากหลายทางเพศ
รูปที่ 2 คนไร้บ้าน โดยสมัครใจ จากการพูดคุยกันบางทีบ้านก็ไม่ใช่ที่ปลอดภัยที่สุดสำหรับบางคน อิสรภาพและเสรีภาพต่างหากที่เขาต้องการ แลกกับการนอนข้างถนนกินข้าวก้นบาตรพระและอุ้มชูหมาแมวจรจัด
รูปที่ 3 โสเภณีราคาถูกประจำถิ่น ไม่ว่าจะอยู่ซีกโลกไหน ความทุรนทุรายจากความอยากมีรสชาติเดียวกัน
รูปที่ 4 ชนชั้นกลางที่ไม่ได้เลือกการป่วยไข้เอง แต่ความไม่แน่นอนของชีวิตก็มีสิ่งเหล่านี้ถามหา เจ็บตัวและตัดอวัยวะเพื่อรักษาชีวิต ในขณะที่อีกหลายชีวิตทั้งบิดเบือนรูปลักษณ์ตัวเองด้วยการเหลากราม ร้อยไหมผ่าคว้านเจาะ จนถึงทำลายชีวิตตัวเองก็มี
รูปที่ 5 ความเหงาเศร้าของเราสามคน ของผู้ทุกข์ร้อนจากความคิดของตัวเอง ที่ไขว่คว้าหาเรื่องราวเร้าอารมณ์ไว้ เป็นตัวเร่งให้เกิดโศกนาฏกรรมหลากหลายรูปแบบ
และรูปอื่นๆ เพียงพอไหม สอดคล้องไหมกับแนวคิดที่เขียนว่า คน เกิดมาแล้วต่างงอกงามเติบโตไปตามวิถีที่ตัวเองเลือก บางคนเลือกสมัครใจไปเป็นเงาของคนอื่น บางเราก็อยากอยู่แถวหน้า ด้วยความกล้าหาญมั่นหน้าเขาก็เดินฝ่าออกไป บางเราอยากจะไปเป็นใครสักคน หรือไม่เป็นอะไรสักอย่างใครจะว่าอะไรจะวางลมหายใจไว้ตรงไหน จะเคลื่อนไหวกับสายลมใดจะลมฝน ลมหนาว หรือสมัครใจอยู่กับลมร้าวราน (ซาดิสม์ปะ) ก็เลือกเอาใครจะสนใจ
ชีวิตใครก็ของใครเลือกแล้วก็รับผิดชอบเอง ต่างคนต่างเป็นอยู่ เติบโต ตามกาลตามกรรมที่เลือกกระทำ ทุกสีผิวเหลืองดำหรือสีใด ในยุครัตนโกสินทร์นี้โลกก็มีเวลาจำนวนหนึ่งให้ชาวโลกทุกคนเคลื่อนไหวลงแรง ไม่มีสักคนที่อยู่ค้ำฟ้าค้ำแผ่นดินได้ ภายใต้ประสบการณ์นามธรรมและรูปธรรมที่ก่อเกิดในรูปกายหยาบนี้ จะมีอะไรสำคัญเท่ากับเวลา ไม่มากไม่น้อย แต่ทุกคนจะได้เท่าที่โลกกำหนดให้อย่างแน่นอน
การตั้งคำถามนำมาซึ่งการสะสางความคิดได้คำตอบหรือยังก็ไม่รู้ ทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจก็ไม่อาจรู้
ข้ามไปข้ามมามุ่งหาฝั่ง มุ่งหวังความเป็นฝั่งเป็นฝา ในมหาชเลแห่งเวลา ข้ามฝ่าปราการน่านน้ำวน กี่เทียวข้าม ไม่รู้เที่ยวทางจร ลางสังหรณ์ความฝันให้ดั้นด้น.. ไม่รู้ว่าจำมาจากไหน
ไม่มีเหตุผล อยู่ดีๆ ความจำนี้ก็แวบขึ้นมาในหัว คนก็ยังไม่รู้จบอย่างนี้ ทำอะไรบ้างกับจำนวนเวลาที่มี ทำเป็นเล่นไป เราเห็นใบไม้ปลิดปลิวหลุดจากขั้วทุกวันๆ.
เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม
หมายเหตุ : Artist Talk วันเสาร์ที่ 12 พฤศจิกายน 2022 เวลา 13.30-15.00 น ห้องนิทรรศการหมุนเวียน กรมส่งเสริมวัฒนธรรม ศูนย์วัฒนธรรมแห่งประเทศไทย ถ.รัชดาภิเษก ศิลปินนำเสนองานและแนวคิดในหัวข้อ ‘มโนทัศน์รัตนโกสินทร์’ มีสาธิตเทคนิควาดเส้น (รายการอาจเปลี่ยนแปลงตามความเหมาะสม)
เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’