the letter

นักละคร

สวัสดีครับคุณวรพจน์

จดหมายเดินทางมาถึงฉบับที่ 52 แล้ว ถ้าผมมีความสม่ำเสมอในการเขียนถึงพี่ทุกสัปดาห์ จดหมายฉบับนี้ควรจะเป็นฉบับวาระครบรอบหนึ่งปีพอดีนับตั้งแต่ผมส่งจดหมายฉบับแรกไปหาพี่

แต่ก็นะครับในความจริงก็ไม่ได้เป๊ะขนาดนั้น ผมมีข้ออ้างบ้างและในรอบปีที่ผ่านเรามีเหตุการณ์สำคัญในวงการมาช่วยย่อหย่อนให้วันที่ส่งจดหมายฉบับครบหนึ่งปีเคลื่อนคล้อยมาร่วมเดือน

เช้ามืดของเมื่อวาน หลินเล่าให้ผมฟังว่าหลังจากผมหลับไปแล้ว ในคืนก่อนเรามีเพื่อนบ้านใหม่แสนลึกลับเข้ามาพักในห้องที่ว่างอยู่อีกหลังของดีน พวกเขามากันยามวิกาลพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง

หลังฟ้าสางไม่นานเราก็พบกับหญิงลูกครึ่งดัตช์-อินโดนีเซี่ยนพร้อมกับลูกสาววัย 9 ขวบมาทักทาย “สวัสดีค่า” (พูดไทยสำเนียงฝรั่ง) ที่ชานบ้าน ทำความรู้จักกันไม่นาน ก็เลยรู้ว่าเธอคือเพื่อนเก่าของดีนและแคเรน เธอชื่อมิร่า เคยทำงานและพักอาศัยอยู่ที่พะงันอยู่หลายปีก่อนอพยพไปอยู่ปายเมื่อปีกลาย และเธอคือเจ้าของมอเตอร์ไซค์ที่ดีนให้ผมยืมขับเที่ยวเล่น งานศิลปะทั้งหลายในห้องเช่าที่เราเช่าอยู่ก็เป็นฝีมือของสามีเธอ ครั้งนี้เธอพาลูกมาพักผ่อนและพำนักที่ถิ่นเก่าและถิ่นกำเนิดของลูกสาว

ระหว่างบทสนทนาบนถ้วยกาแฟ มิร่าเล่าพื้นเพให้ฟังว่าแม่ของเธอเป็นชาวอินโดนีเซียที่แต่งงานกับชาวดัตช์ เธอเกิดและเติบโตที่อัมสเตอร์ดัม กระทั่งอายุ 17 เธอรู้สึกเบื่อและไม่ชอบประเทศตัวเองที่ใครต่อใครมักจะบอกว่าเป็นประเทศที่ดีที่สุดประเทศหนึ่งของโลก เธอเริ่มจากการไปเที่ยวและทำงานอังกฤษ หลังจากนั้นก็เดินทางต่อไปยังหลายประเทศทั่วโลก

เธอกลับบ้านเกิดไปทำงานจริงจังในแวดวงละครเวทีในเนเธอร์แลนด์อยู่ร่วมสิบปี ก่อนจะพบว่าเวลาของความเปลี่ยนแปลงมาถึง มิร่าในวัย 35 ปี ไม่อาจเป็นตัวเลือกแรกๆ ของแสดงละครเวทีของเนเธอร์แลนด์อีกต่อไป เธอเข้าใจและยอมรับในความเปลี่ยนแปลง แต่สามีซึ่งก็เป็นนักแสดงเช่นกันทำไม่ได้อย่างเธอ 

เธอเล่าว่าสามีโด่งดังและมีชื่อเสียงกว่า เมื่อความเสื่อมถอยมาถึง ผลกระทบต่อสามีจึงยิ่งใหญ่กว่านัก เขาทำใจไม่ได้กับการสูญเสียที่มั่นทางอาชีพ ส่งผลมาสู่ความรู้สึกลบกับทุกอย่างและเกลียดทุกที่ เขากับเธอออกเดินทางอีกครั้งหลังเลิกราจากอาชีพการแสดง เธอก้าวต่อไปในชีวิตด้วยการเป็นครูสอนดำน้ำตามเกาะและหาดทรายสวยงามต่างๆ ทั่วโลก ทั้งในเม็กซิโกและอีกหลายประเทศในเอเชีย ส่วนสามีแม้จะเดินทางไปไหนด้วยกันตลอด แต่ก็ยังเคว้ง หางานอื่นหลังจากตกต่ำจากอาชีพการแสดงไม่ได้ 

เธอเลิกกับสามีมาแล้วร่วมสองปี เขามีแฟนคนใหม่ ย้ายไปอยู่ด้วยกันที่สวิสฯ และบอกกับเธอว่าไม่ต้องการกลับมาที่เกาะพะงันอีกต่อไป ส่วนหนึ่งก็อาจเพราะเกาะนี้เป็นดินแดนที่พวกเขายุติความสัมพันธ์ด้วยก็ได้

ส่วนเหตุที่เกาะพะงันเคยเป็นที่พักของเธออยู่ช่วงหนึ่งก็เพราะความเชื่อเรื่องการมีลูก ประมาณสิบปีก่อนที่มิร่าเริ่มตั้งท้อง เธอบอกกับทุกคนว่าต้องการคลอดลูกกับน้ำทะเล ทะเลที่เนเธอร์แลนด์นั้นคงเย็นเกินกว่าคุณแม่ที่น้ำเดินจะเดินลงไปให้กำเนิดได้ เธอจึงเลือกพะงัน เกาะเล็กๆ ในประเทศสารขัณฑ์ที่เธอคุ้นเคยและชอบพออยู่เป็นทุนเดิม ใกล้ๆ วันที่ครบกำหนดคลอด เธอเลือกเช่าบ้านพักที่เดินไม่กี่ก้าวก็ถึงทะเลไว้เป็นแหล่งพักพิง เธอขอให้สามีในขณะนั้นเรียนรู้วิธีการทำคลอด และแก้ปัญหากรณีเกิดเหตุไม่คาดคิด

วันที่เด็กหญิงมะลิ (ชื่อไทยของลูกสาวเธอ) จะลืมตาแหกปากร้องทักทายกับโลกนั้น ปรากฏว่าเป็นช่วงสายๆ ซึ่งแดดและน้ำทะเลที่พะงันนั้นร้อนเกินไป เธอจึงคลอดมะลิในบ้าน เธอบอกว่านี่เป็นเรื่องธรรมดาและธรรมชาติของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่ามนุษย์ ทำไมคนเราต้องไปคลอดกับหมอในโรงพยาบาลท่ามกลางแสงสว่างจากไฟนีออนสีขาวด้วย แบบนั้นมันดูเย็นชาและหนาวเกินไป เมื่อเลือกทางนี้สามีของเธอจึงจำต้องสวมบทเป็นหมอตำแย เขาใช้เส้นผมส่วนหนึ่งของมิร่ามามัดและตัดสายสะดือตอนทำคลอด 

เธอเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อเก้าปีก่อนให้ฟังด้วยความภูมิใจ มะลิเองก็น่าจะภูมิใจในความกล้าหาญของแม่ เธอจึงมักถามใครอยู่เนืองๆ ว่ารู้ไหมว่าฉันเกิดที่ไหน อย่างไร 

ความที่เธอเป็นอดีตนักแสดงละครเวที เวลาพูดถึงใครหรืออะไรทีนึง มันจึงไม่ใช่แค่น้ำเสียงที่เราจะได้ยินถึงเนื้อหา หากแต่เรายังสัมผัสอารมณ์ของเรื่องเล่าผ่านสีหน้าและท่าทางของร่างกายของเธออีกด้วย

มิร่าเล่าว่าเมื่อได้ไปเยือนปายเมื่อปีก่อนก็ตกหลุมรักเมืองเล็กๆ ในหุบเขาทันที ตอนนี้เธอเป็นแม่เลี้ยงเดี่ยวและพยายามอยู่อย่างโลว์บัดเจ็ต เงินค่าเช่าเดือนละห้าพันบาทนั้นถือว่ามากสำหรับปาย แต่น้อยที่พะงัน เงินต่อเดือนจำนวนนั้นมอบบ้านสองห้องนอนและที่รอบๆ อีกเป็นไร่ให้กับเธอและลูกได้อยู่กันอย่างสบายๆ 

เธอเล่าว่าที่นู่น (ปาย) ฝรั่งกับไทยผสมผสานกลมเกลียวกันได้ดีกว่าที่พะงัน เด็กไทยและฝรั่งดูจะมีโอกาสได้เล่นและสุงสิงกันมากกว่า ไปอยู่ปายแล้วพอมาเยือนพะงันอีกครั้งก็เหมือนกับว่าทั้งเด็กและผู้ใหญ่ที่พะงันแยกกันอยู่เป็นชาติๆ ไปซะมากกว่า ทั้งผู้คนท้องถิ่นในเมืองปายยังมีไมตรีจิตยิ้มแย้มทักทายฝรั่งแปลกถิ่นมากกว่า ผมบอกกับเธอว่าส่วนหนึ่งก็อาจเป็นความต่างระหว่างคนไทยทางเหนือกับคนไทยทางใต้ และความเข้มข้นของการเป็นเมืองท่องเที่ยวระหว่างเมืองทางเหนือกับทางใต้ด้วยกระมัง 

เหมือนกับฝรั่งแทบทุกคนที่ผมพบบนเกาะจะเกลียดประเทศตัวเอง เธอบอกว่าเนเธอร์แลนด์นั้นดี ถ้าไปเที่ยว แต่ถ้าลองได้อยู่แล้วจะพบว่าเลวร้าย เธอบ่นเรื่องอัตราค่าครองชีพกับค่าแรงที่เดินสวนทางกันในเนเธอร์แลนด์และหลายๆ ประเทศในยุโรป และรู้สึกสงสารกึ่งสมเพชที่เพื่อนร่วมชาติต้องทนอยู่กับสภาวะนั้น 

ผมเองเริ่มชินกับภาพอันตรงกันข้ามกันของยุโรประยะไกลอันแสนงามในหัวตัวเองกับยุโรประยะใกล้อันแสนบัดซบจากปากคำของเพื่อนจากยุโรปแล้ว ได้แต่คิดเพียงอย่างเดียวว่าเวลาพวกคุณ (เพื่อนต่างชาติจากประเทศเจริญแล้ว) เกลียดประเทศตัวเอง พวกคุณยังพอจะอพยพขยับขยายไปประเทศอื่นได้ ส่วนหนึ่งคือความแตกต่างทางเศรษฐกิจและค่าเงิน อีกส่วนคือความกล้าหาญที่จะเดินทางของพวกเขา มิร่าบอกว่าตั้งแต่ยุติอาชีพการแสดงเธอและครอบครัวก็เดินทางไปหลายๆ ที่ทั่วโลกเพื่อหาบ้านที่แท้จริง ไม่ว่าพวกเขาจะเกลียดประเทศตัวเองแค่ไหน แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าประเทศเหล่านี้นั้นให้ทุนทั้งทางเศรษฐกิจและวัฒนธรรมกับคนประเทศตัวเองพอที่จะเดินทางแสวงหาความสุขตามทางของแต่ละคน 

แล้วดูพวกเราสิ (ตัวผมเองด้วย) เกลียดประเทศไทยแค่ไหนก็ยังไม่มีความสามารถหนีไปให้พ้น ประเทศที่กดค่าแรงและขูดรีดจากประชาชนขนาดนี้ ทั้งยังทำตัวไม่น่าเชื่อถือในสังคมโลก คนในประเทศจะไปไหนทีต้องขอวีซ่าแทบทุกครั้งซึ่งวุ่นวายและต้นทุนสูงเหลือเกิน จึงเสมือนเป็นคุกอยู่กลายๆ 

หลังๆ มานี้เฟซบุ๊กภาคภาษาไทยเริ่มมีโฆษณามากขึ้นให้ไปลงทุนในบางประเทศเพื่อได้สัญชาติและพาสปอร์ตเดินทางได้ทั่วโลกเป็นของแถม ผมว่าก็ไม่เลวนะครับ ถ้าใครมีทุนทำได้นี่ย้ายสัญชาติเลยดีกว่า แล้วจะย้ายไปอยู่ที่ไหนค่อยว่ากัน อยากจะด่าใครก็ไม่ต้องคอยเซ็นเซอร์ตัวเอง เพราะกังวลว่าจะไม่มีแผ่นดินอยู่ 

รักและขออภัยที่ส่งจดหมายมาให้ช้า (อีกแล้ว)

จ๊อก

ปล. มีเรื่องขำๆ ไม่แน่ใจว่าเคยเล่าให้พี่ฟังรึยังว่า เกาะพะงัน กับ โคเปนเฮเก้น นั้นคงออกเสียงคล้ายๆ กัน เวลาผมอยากอ่านเรื่องในภาษาฮิบรูที่เพื่อนอิสราเอลเขียนผ่านกูเกิ้ลทรานสเลชั่นนั้น ผมต้องคอยเตือนตัวเองไม่ให้งงเสมอว่า Copenhagen ในบทความของเพื่อนเรานั้น คือ Koh Phangan ที่รักของเรานั่นเอง 55

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

คุณนี่ก็ช่างหาคนคุยใหม่ๆ ได้ตลอดเลย (คำชม) เรากับมิร่า ว่าไปมีส่วนคล้ายกันอยู่บ้างนะ เช่น เราเกิดที่บ้าน ไม่ได้เกิดโรงพยาบาล ไอเดียของแม่ไม่น่าจะเหมือนมิร่าหรอก คงเป็นเรื่องทำเลที่ตั้งห้องหอพ่อกับแม่ห่างไกลความเจริญมากกว่า ก็เลยบริหารเงื่อนไข ทำไปตามมีตามเกิด ซึ่งโชคดีว่าก็รอดมาได้ดีอยู่ (เท่าที่คุณเห็นนั่นแหละ) ข้อดีของการเกิดที่บ้านคือเรามั่นใจได้แน่ๆ ว่าแพทย์พยาบาลไม่ได้หยิบผิด

อย่าทำเป็นเล่นไป เรื่องแบบนี้เคยเกิดขึ้นมาแล้ว คุณได้อ่านข่าวมั้ย ไม่รู้ มันมีอยู่เคสหนึ่ง (จำไม่ได้แล้วว่าในเมืองไทยหรือเปล่า) เมื่อเด็กโตๆ ขึ้นมา พ่อเด็กคิดว่าลูกที่เขาเลี้ยงดูอุ้มชูมานั้นไม่น่าจะใช่ลูกของเขา มันคงห่างไกลไปหน่อยน่ะ ไม่มีอะไรเชื่อมโยงเลย เขาระแวงว่าหรือแท้จริงภรรยามีชู้ เลยชักชวนกันไปตรวจดีเอ็นเอ ฝ่ายภรรยาก็โอเค เธอยินดีพิสูจน์มาก เพราะรู้อยู่แก่ใจว่าไม่มีใครอื่น ผลออกมาก็เล่นเอาเหวอกันทุกฝ่าย คือเด็กเป็นลูกใครก็ไม่รู้

เรื่องบ้าบอมหัศจรรย์เช่นนี้คงไม่ใช่สาเหตุ ไม่มีน้ำหนักว่าทุกคู่รักต้องระแวดระวังให้ดี ไอ้ที่อุ้มอยู่นั้นใช่ลูกตัวเองหรือเปล่า มันเป็นเรื่องหนึ่งในล้านที่ไม่มีใครต้องกังวลหรอก (เพียงแต่ตอนเกิดขึ้นมันก็แย่เหมือนกัน แย่กันทุกฝ่าย ด้วยเพราะความสะเพร่าของใครบางคน) ตั้งครรภ์ก็ไปฝากครรภ์กันที่โรงพยาบาลเหมือนเดิมนั่นแหละ ดีที่สุด ปลอดภัยที่สุดแล้ว ส่วนใครจะใช้นโยบายมิร่าก็สุดแล้วแต่ ท้องใครท้องมัน เราไม่ก้าวก่าย เอาว่าขนาดเราเกิดที่บ้าน เชื่อมั้ย มันก็มีคนปากไม่ดีชอบล้อว่าเราไม่ใช่ลูกของพ่อแม่หรอก เพราะหน้าตาไม่เห็นเหมือนใครเลย (จริงๆ เหมือนแบบได้ส่วนด้อยมาน่ะ) ซึ่งเราเข้าใจว่าเป็นเรื่องล้อเล่น และไม่ถือสาหาความ

คุณน่าจะไม่เคยรู้ว่าเราก็เป็นนักละครเวที ไม่ได้เอาจริงเอาจังหรือเป็นมืออาชีพเช่นมิร่า เราเล่นละคร thesis 3 เรื่อง (ก็ไม่น้อยนะ) เล่นเพราะเพื่อนมาชวนให้ลอง ก็ลองๆ ไป แต่เชื่อมั้ย บางสิ่งที่เราอาจไม่เคยสนใจเลย ไม่รู้จักเลย พอได้เดินเข้าไปในเกมนั้นกลับเป็นสิ่งที่น่าหลงใหลมาก จากวันนั้นถึงวันนี้ พูดได้เลยว่าเราเป็นคนที่สนใจศาสตร์ละครเวที มันคือศิลปะที่นักแสดงกับผู้ชมใกล้ชิดกันมาก ยิ่งละครโรงเล็ก ไม่มีเครื่องขยายเสียง เรียกว่าผู้ชมมองเห็นดวงตาและสัมผัสทุกสุ้มเสียงโดยตรง นั่นทำให้นักแสดงต้องยิ่งตระหนักและละเอียดในเนื้องาน สำหรับเรา ละครเวทีเป็นที่รวมของความรู้หลากหลายสาขา ไม่ว่าวรรณกรรม ดนตรี การแสดง แสงสี เสื้อผ้า ภาพ ฉาก จิตรกรรม ฯ เข้าไปทีเดียว เราได้เรียนรู้ศิลปะระยะประชิดครบรส และลงลึก เพราะละครแต่ละเรื่อง ชั่วๆ ดีๆ ก็ใช้เวลาเป็นเดือน กินอยู่ด้วยกัน ซักซ้อมบท เตรียมนั่นนี่สารพัด

เราเล่นละครครั้งแรกตอนเรียนมหาลัยปี 3 โปรดักชันนั้นมีนักศึกษาแทบทุกคณะ (ต้องยอมรับว่าผู้กำกับมีวิชันมาก) เข้าไปเล่นก็ได้เพื่อนใหม่ ต่างคณะวิชา ผ่านมาสามสิบกว่าปี สองในสิบกว่าคนนั้นยังพูดคุยคบหากับเราอยู่จนทุกวันนี้ คือเพื่อนในคณะ เพื่อนร่วมรุ่นซึ่งมีเกือบสองร้อยคนยังไม่สนิทเท่านี้ เออ มันก็เป็นโอกาสดีที่เราได้มองออกไปจากห้องเรียนและเรื่องเล่าเดิมๆ คิดถึงวันเวลาในคณะละครนั้นขึ้นมาเมื่อไร ยังเห็นภาพสายหมอกดอกไม้ และความหวานของวัย เพลงที่นั่งเล่นกีตาร์กัน มุขตลกบางอย่าง ความผิดพลาด ความหนาวเย็นอันอบอุ่น มันยังอยู่ในเนื้อตัวเรา

พูดแล้วก็อยากคุยเขื่องอีกหน่อย ละครเวทีเรื่องที่สอง เราเล่นเป็นนักเขียนนะ เพื่อนที่เป็นผู้กำกับมาชวนด้วยคำพูดสั้นๆ –เราว่าหนึ่งเล่นได้ ตอนนั้นเราไม่ชอบอ่านหนังสือเลย ไม่เคยสนใจฝันใฝ่จะเป็นนักเขียน ทำไมเพื่อนเห็น ทำไมเพื่อนเชื่อ เราก็ไม่รู้เธอมองเธอเห็นจากสิ่งใด คุณอาจจะเคยได้ยินมั้ง ละครที่ว่าดัดแปลงมาจากบทประพันธ์ชื่อ Misery ของ Stephen King ซึ่งเรื่องทั้งเรื่องแม่งเล่นกันอยู่สองคน พระเอกกับนางเอก บทพูดนี่แบบ..หนาปึ้ก คิดแล้วก็งงตัวเอง ไม่รู้ทำไปได้ยังไง ทำไปด้วยความสนุกเลยนะ รู้สึกถึงการค้นพบว่าเราหลงใหลในศาสตร์นี้ และดูสิ ถึงวันนี้ก็ทำเป็นอยู่อาชีพเดียว

เกี่ยวกับมิร่า ที่เธอบอกว่าไม่ชอบบ้านเกิด ‘อัมสเตอร์ดัม’ เราก็ไม่ชอบบ้านเกิดโคราช (ใช้ชีวิตที่นั่น 15 ปี) ไม่ชอบกรุงเทพฯ (อยู่ที่นั่น 25 ปี) กรุงเทพฯ เหมาะกับการท่องเที่ยว ไม่ใช่อยู่อาศัย ทุกอย่างกระจุกยัดกันอยู่แน่นเอี้ยดแบบนั้น อีกร้อยผู้ว่าฯ ก็แก้ปัญหาน้ำท่วมไม่ได้ มันไม่ใช่ใครอ่อน ใครแข็ง ใครขยันหรือขี้เกียจ แต่โครงสร้างและอดีตกระจุก กอดทุกสิ่งทุกอย่างไว้ในอก ทำให้กรุงเทพฯ กอดทุกปัญหาไว้เช่นกัน ทางแก้เดียวคือยกออก กระจาย ย้ายและทำให้เบาบาง ไม่งั้นกรุงเทพฯ ก็วนเวียนอยู่เท่านี้ ฝนมาทีก็นอนสั่น ทั้งที่อยู่คอนโดฯ ชั้นสิบ

ในนามของการอยู่อาศัย เราไม่ชอบ เมื่อไม่ชอบ ไม่พอดี ก็หาที่ใหม่ พยายามสร้างโลกใบใหม่ตามเงื่อนไขและกำลังที่พอจะทำได้ อย่างที่คุณได้ข่าว อีกสองสามวันนี้เราทำค่ายฝึกเขียน nan dialogue ทำเวทีพูดคุยเรื่องพี่และเพื่อนผู้จากไป สิ่งต่างๆ เหล่านี้คือโลกของเรา โลกที่พยายามสร้างขึ้นมา ทำไงได้ ในเมื่อเราอยู่ในรัฐพิกลพิการ หน้าที่มีพี่เขาไม่ทำ ถ้าเรากอดเข่ายอมจำนน ยอมจมอยู่ในค่าเฉลี่ยของสังคมด้อยพัฒนา เบื้องหน้ามันก็มีแต่สุสาน

ไม่เอา ไม่ชอบ ไม่ยอมรับ แน่นอนว่าเมื่อไม่ชอบ ไม่ยอมรับ ก็ต้องลงแรงสร้างโลกใบใหม่

ขอบคุณสำหรับเรื่องเล่า เราฟังมุมมองความคิดมิร่าด้วยความสนใจ อวยพรให้เธอและมะลิมีชีวิตที่ดี.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...