“แข็งเท่าแข็ง เงินง้าง อ่อนได้ดังถวิล”
ไม่–ไม่ใช่แน่ๆ สีของดอกกุหลาบต่างหากที่ใช่ สีนุ่มๆ หวานๆ คือใช่ อะไรก็ยอม
ที่โกรธๆ อยู่ก็หาย ไม่โกรธต่อ ก็สีสวยหวานออกปานนั้น อะไรมันจะสำคัญเท่ากับสี
ลองคิดดู ถ้าทุกอย่างในโลกนี้มีสีเดียว
ในห้องอาร์ตโรงหนังขนาดใหญ่ที่ต่างจังหวัด ช่วงยุคทองของอุตสาหกรรมภาพยนตร์ไทย น่าจะราวๆ ปี 1962-1972 คือไม่ธรรมดา cut-out โฆษณาประชาสัมพันธ์หนังเรื่องที่กำลังฉายอยู่ เขาเขียนด้วยสีน้ำมัน ส่วนโรงหนังในระดับอำเภอเขาใช้สีน้ำพลาสติกหรือสีทาบ้านนี่แหละ สังคมคนเขียนคัทเอาท์หนังกับห้องทำงาน เป็นแหล่งเรียนเขียนภาพได้อย่างวิเศษ ไม่ด้อยไปกว่าสถานที่กวดวิชาศิลปะเพื่อเข้ามหาวิทยาลัยในเมืองหลวง
โอกาสของเด็กต่างจังหวัดน่าจะได้ประมาณนี้ ในยุคที่ครูสอนกวดวิชาศิลปะตามต่างจังหวัดยังไม่มี
เตรียมถาดสีสำหรับครูช่าง
จานสีทำเองขนาดราวๆ 2×3 ฟุต ทำด้วยแผ่นไม้อัดหนา มีกระดาษไขวางรองบนแผ่นไม้ เมื่อใช้เสร็จในแต่ละวันก็จะลอกแผ่นกระดาษนี้ทิ้งไป มีก้อนแม่สี 5 สีวางเรียงกันอยู่ ข้างๆ กันเป็นกระป๋องน้ำมันลินสีด อีกด้านจะเป็นกองพู่กัน ทั้งเล็กทั้งใหญ่ ความน่าสนใจอยู่ตรงที่เราได้ปั่นสีน้ำมันใช้กันเอง ทั้งที่ยุคนี้สีหลอด สีกระป๋องก็มีขายแล้ว แต่เขียนคัทเอาท์ใหญ่ขนาดนี้ สีระดับหลอดคือไม่พอ ที่สำคัญคือ สีหลอดสารพัดสีสำหรับศิลปินราคาแพงขนาดนั้นมันไม่เหมาะแน่ๆ กับป้ายคัทเอาท์ที่เขียนเพื่อใช้งานไม่ถึงเดือนก็ต้องเปลี่ยน เพื่อเขียนรูปใหม่
ความรู้ชุดแรก จากห้องเตรียมสีที่โรงหนัง
หัวหน้าช่างเขียน หรือช่างเขียนมือหนึ่งที่เรายกให้เป็นครูบอกเราว่า การเขียนป้ายหนัง เราผสมสีใช้กันเอง ซื้อผงสีมาจากกรุงเทพฯ วัสดุต้นทางคือสีฝุ่น มีทั้งแบบนำเข้าจากจีนและเยอรมนี สีฝุ่นผสมกับน้ำก็เป็นสีน้ำ สีฝุ่นผสมน้ำมันลินสีดชนิดสกัดเย็นก็เป็นสีน้ำมัน (ก็ไม่รู้ว่าถ้าใช้ลินสีดชนิดบีบอัดด้วยความร้อนแล้วจะเป็นอย่างไร) หลักใหญ่ๆ คือมีเท่านี้
ส่วนประกอบอื่นๆ เช่น อะไรทำให้สีติดแน่นคงทน สีไม่ซีดจางง่ายจากแดด และแสงไฟ สีไม่บูด สีไม่แตกร่อน และเขียนแล้วให้สีสันเป็นมัน สีดูสดใสและมีเงางาม หรือมีคุณสมบัติอื่นๆ เขาบอกว่าเป็นความลับทางการค้าของแต่ละแหล่งผลิตสี
ส่วนของเราใช้เท่าที่มี แค่ทำให้ดีจากสิ่งที่เรามี
ในห้องอาร์ต เป็นพื้นที่เตรียมสีและอุปกรณ์เขียนคัทเอาท์ เรามีหน้าที่ตักผงแม่สี คือเหลือง แดง น้ำเงิน ขาว ดำ ตักใส่แต่ละกระปุกแล้วผสมด้วยน้ำมันลินสิดที่มาเป็นปี๊บ ทำทีละสี คือต้องปั่นด้วยมือ ตีให้สีฝุ่นกับน้ำมันลินสีดเข้ากันจนเนียนเป็นเนื้อเดียว ปริมาณลินสีดกับสีฝุ่นให้พอดี ไม่ใสหรือข้นจนเกินไป สีต้องเหนียวแบบลื่นๆ เหมือนเนย ความพอดีอยู่ตรงไหน ถ้าได้ลงมือแล้วจะรู้ บนถาดมีแค่ 5 สี ที่เหลือก็คือฝีมือล้วนๆ ที่จะเนรมิตสีขั้นที่สองและสีขั้นที่สาม
หลังเลิกเรียน เราไปอยู่โรงหนังเป็นความสมัครใจ เต็มใจไปเพื่อรอเก็บกวาดจานสีและล้างพู่กัน เพื่อเตรียมอุปกรณ์สีไว้สำหรับช่างเขียนในวันต่อไป งานง่ายๆ ไม่ยาก เพราะอยากทำ มีใจให้ทุกวันๆ หากระป๋องสะอาดๆ และทนทาน
ความสนุกอยู่ที่เราได้ลองจับแปรงเล็กแปรงน้อยแล้วป้ายๆ ตอนปั่นคลุกผงสีกับน้ำมันลินสีดให้เข้ากัน สีมันก็มีหกเลอะเทอะบ้าง แล้วสีโน่นนี่ก็ผสมกันไปผสมกันมา การเรียนรู้มันเกิดตรงนี้เอง ประสบการณ์เห็นสีแปลกๆ สวยงามสร้างผลกระทบต่อความรู้สึกแน่ๆ โอยย ทำไมมันสวยขนาดนี้ บางจุดดูเป็นเหมือนสีท้องฟ้ายามตะวันตกดิน บางช่วงขอบเขตของสีทำให้มองเห็นเป็นรูปร่างต่างๆ นานา ก็เป็นไปตามใจนึกตามอารมณ์ตอนนั้น
จุดสำคัญคือสนุก สนุกที่เกิดร่องรอยชวนคิด เห็นแล้วมันก็คิดอะไรไปได้ร้อยแปด ประสบการณ์ความงามแบบนี้น่าจะเป็นทุนของคนเขียนรูป สั่งสมทบเท่าทวีคูณ
คุณภาพของสี
เมื่อหนังออกจากโรงไปแล้ว ป้ายคัทเอาท์นั้นจะถูกลบทิ้งด้วยการทาสีขาวปิดทับเพื่อเขียนรูปเรื่องใหม่ เขาจะทำซ้ำๆ แบบนี้ราว 7-8 เรื่อง จนสีพอกตัวหนาขึ้น จนผ้าใบที่รองรับขาด ป้ายไม่ได้ถูกเก็บสะสมไว้แรมเดือนแรมปี จึงยังสรุปไม่ได้ว่าวิธีผสมสีฝุ่นกับปริมาณลินสีดที่เราทำกันเอง เมื่อวาดเสร็จแล้ว วันแรกๆ ก็ดูสวยงามนั้นจะทนแดดทนฝนได้แค่ไหน ที่รู้คือสีไม่ฉ่ำสวยระดับสีโอลด์ฮอลแลนด์แน่ๆ เอาแค่ใกล้เคียงก็ยังไม่ได้ แต่ไม่เป็นไร เราเลือกใช้วัสดุอุปกรณ์ที่พอเหมาะกับงาน อย่างน้อยประสบการณ์พิจารณาจิตวิทยาของสีที่ยังฝังอยู่ในความจำก็สร้างฐานมั่นคงให้ไปต่อ สีเบสิค 5 สีของครู
น่าแปลกใจที่จุดกำเนิดของสีน้ำมันที่ว่ากันตามบันทึกบอกว่า มีใช้ตั้งแต่คริสต์ศักราชที่ 7 แล้ว เขาใช้เขียนรูปพระในโบสถ์วิหารในประเทศปากีสถาน แล้วทำไมหายไปจากเอเชีย จนคริสต์ศักราชที่ 12 มีคนนำสีน้ำมันนี้ไปเผยแพร่ในยุโรป แต่ก็ยังไม่เป็นที่นิยม (ช่วงนั้นน่าจะยังเป็นยุคกลางที่เขียนรูปแบนๆ ไม่ไล่แสงเงา) จนถึงคริสต์ศักราชที่ 15 จึงพัฒนาคุณภาพของสีให้มีคุณภาพสูงขึ้น มีช่างเริ่มเอาสีน้ำมันมาใช้ในงานตกแต่งบ้าน วิหาร รถเรือ แล้วก็ถึงมือศิลปินในที่สุด
สีของช่างเขียนรูปในโรงหนังคุณภาพไม่เท่าเทียมสีของนักวิทยาศาสตร์ แต่การได้ลงมือทดลองผสมสีขั้นที่สองและสีขั้นที่สาม สิ่งนี้กลายเป็นพื้นฐานของความเข้าใจจิตวิทยาสีและรู้วิธีผสมสีให้ได้ตามที่ใจต้องการ รูปรอยสีที่หกเลอะเทอะที่เกิดขึ้นอย่างบังเอิญ กระทบความคิดและกระตุ้นจินตนาการ มันคือฐานของการเกิดภาพขึ้นในใจ บางภาวะที่ต้องการสื่อสารผ่านรูปรอยอย่างนามธรรม ภาพที่เคยผ่านพบในความคิดจะพรั่งพรู
นักวิทยาศาสตร์ในอีกซีกโลกเขาก็คิดและพัฒนาคุณภาพของสีมาโดยตลอด ปฏิกิริยาของสีกระทบความรู้สึกแล้วเป็นอย่างไร ก็ลองไปดูรูปที่ศิลปินระดับโลกเขาใช้กัน สีระดับอายุเกินร้อยปีอย่างชมิงเคอ (Schmincke ชาวเยอรมันบอกให้ออกเสียงอย่างนี้) เขาทำสีให้ศิลปิน Emilde Nolde เขียนสีอย่างจัดจ้านมาก และ Oskar Kokoschka ใครที่ชอบงานนาอีฟลองไปหาดูรูป The Dreaming Boy
คุณภาพของสีระดับอายุเกินสามร้อยปีอย่างโอลด์ฮอลแลนด์ (Oldhollands) เขาทำสีให้ Rembrandt Van Rijn และ Johannes Vermeer และ Frans Hals คงเคยเห็นแล้วว่างานของเรมบลังค์, เวอร์เมียร์ และฟราน ฮันส์ มหัศจรรย์แค่ไหน
คุณภาพของสีอายุ 190 ปีอย่างวินเซอร์นิวตัน (Winsor & Newton) William Winsor นักวิทยาศาสตร์ร่วมมือกับศิลปิน Henry Newton เขาทำสีให้เพนท์เตอร์ Winslow Homer งานโฮเมอร์สวยลึกล้ำแค่ไหน ก็ลองไปไล่ดู
โดยทั่วไปส่วนประกอบของงานศิลปะจะประกอบด้วยแนวคิดและเนื้อหา (Concept & Content) หลักๆ คือมีสองอย่างนี้ มีศิลปินฝั่งตะวันตกกลุ่มหนึ่งที่เชื่อและศรัทธาในปฏิกิริยาของสี พวกเขากำหนดให้ปฏิกิริยาของสีเป็นเนื้อหาของงาน ในภาพมีแต่สีล้วนๆ คือสีจากความรู้สึกของศิลปิน แล้วนักวิชาการศิลปะก็เรียกงานแบบนี้ว่า Colour Field
ราวต้นปี 1940 Clement Greeberg เป็นคนเริ่มงานแบบนี้ก่อน ต่อมาราวสิบปีให้หลัง Mark Rothko และ Hans Hartung สองศิลปินที่ชอบอะไรเหมือนๆ กัน ก็มาจัดแสดงงานชุดสนามสีที่ปารีส แนวคิดนี้ก็ขยายตัวออกไป Clement Greeberg ผู้ให้กำเนิดสนามสียังชื่นชม Hans Hartung ว่าเขาคือต้นแบบของศิลปะแนวคิดนี้ ส่วนเรามองว่าเป้าหมายของศิลปินที่ต้องการสื่อสารเนื้อหานามธรรมด้วยวิธีใช้สนามสี จุดสูงสุดของเขาน่าจะอยากให้สีที่เขาผสมแล้วนำมาใช้สามารถหัวเราะและร้องไห้แทนเขาได้ คงไม่ได้ต้องการแค่ใช้สีเป็นตัวแทนของวัตถุสิ่งใดสิ่งหนึ่ง อันนี้คิดไปเองถูกผิดก็ไม่รู้
เพนท์เตอร์จะเขียนรูปให้ดีได้อย่างไร ถ้าไม่เข้าใจเรื่องสี สีมีอิทธิพลต่อความรู้สึกแน่ๆ ไม่มีวัตถุใดๆ เป็นสีเดียวโดดๆ สิ่งต่างๆ ที่วางประกอบกันอยู่รอบตัวเรา ล้วนเกี่ยวข้องสัมพันธ์กัน อย่างน้อยที่สุดสิ่งนั้นก็มีบรรยากาศห่อหุ้มอยู่
ถ้าไม่รู้ตรงนี้ เวลาใช้สี เราก็จะบีบสีออกมาจากหลอด เขียนต้นไม้ใบหญ้า ท้องฟ้า ก้อนเมฆ ล้วนเป็นสีดิบที่ออกมาจากหลอดสี ทั้งที่เวลาเลื่อนผ่านทุกนาทีที่เขียนภาพนั้น แดดที่จัดจ้าอยู่ก็อ่อนลง ใบไม้ก็เปลี่ยนสี ถ้ามองใหม่ ดูให้ละเอียด ดูให้เห็นการเคลื่อนผ่านของเวลา สีของวัตถุที่เราเห็นอยู่ตรงหน้าล้วนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา
ที่ร้อนอยู่ก็เย็นลง มองให้ละเอียดเพื่อผสมสีแห้งแล้ง ชุ่มฉ่ำ ขมขื่นหรือหอมหวานได้ดังใจ
ปฏิกิริยาของสีนุ่มๆ หวานๆ คือใช่ อะไรก็ยอม
เขาอุตส่าห์หอบกุหลาบสีหวานประมาณ English Rose มาอยู่ตรงหน้า โกรธๆ อยู่ถ้าไม่หาย ก็ดูจะใจร้ายเกินไปปะ.
เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม
(งานใหม่ เขียนปี 2022
เทคนิค รูปที่ 1 อะคริลิคบนกระดาษ 11×22 นิ้ว
รูปที่ 2-5 สีน้ำบนกระดาษ 8×11 นิ้ว
รูปที่ 6 สีน้ำบนกระดาษ 16×20 นิ้ว
รูปที่ 7 สีอะคริลิคบนกระดาษ 11×15 นิ้ว)
เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’