น้ำน่านไม่เคยหยุดไหล แต่แพไม้ไผ่บ้านหาดผาขนหยุดไปสามปี
พิษภัยโควิดทำลายและเปลี่ยนแปลงวิถีชีวิตผู้คนมากมายจริงๆ บ้างล้มละลาย เอาคืนไม่ได้ บ้างพยายามแข็งขืน ลุกยืนขึ้น
สามปีแห่งอดีตที่ปิดไป วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคมนี้ แพไม้ไผ่ 78 ลำ จะถูกนำกลับมาสู่แม่น้ำอีกครั้ง
เช้านี้ เสวียน พันธวงค์ ขี่มอเตอร์ไซค์พ่วงคู่ชีพมาริมแม่น้ำ พร้อมเครื่องไม้เครื่องมือทำงาน เคียว มีด เลื่อย ตลับเมตร ค้อน ตะปู ไผ่ตัดมารอพร้อมแล้ว เช่นเดียวกับหญ้าคา ส่วนไม้ใหญ่ท่อนนั้นรอเลื่อยฝานเป็นแผ่น ตีแปะเป็นพื้นปูนั่ง
แพที่ต่อเสร็จแล้วลอยอยู่ห่างๆ อีกสองแพเหลือแต่มุงซุ้มหลังคา แสงแดดเดือนธันวาคมให้ความรู้สึกดี แม่น้ำไหลเอื่อยแทบมองไม่ออกว่านิ่งหรือเคลื่อนไหว ชายวัย 58 ปี ใบหน้าเยือกเย็น ทว่ายิ้มง่ายๆ มาคนเดียว ทำงานโดยลำพัง
“ทำมาแล้วถึงสิบแพมั้ย” ผมเปิดประเด็น
เขาหยุดตอกมีด-ผ่ายางมอ’ไซค์ เพื่อเอามาใช้เป็นเชือกรัดลำไผ่ แหงนหน้าสบตา
“เป็นร้อยแล้วมั้ง”
“ไม่ได้โม้นะ” เห็นๆ ตำตาว่ามีดอยู่ในมือ บางคำถามก็หลุดออกไปรอการขยายความ
คนทำแพไล่เรียงอดีตให้ฟังว่าทำมาตั้งแต่อายุสี่สิบ ปีแรกๆ ต่อ 4-5 ลำ อีกหลายปีทำเป็นสิบ ทั้งที่หาดผาขน และรับจ้างโรงแรมร้านอาหารทางท่าวังผา มีจังหวะสะดุดแค่โควิด คิดตามเร็วๆ ก็พอเห็นภาพ เวลาร่วม 20 ปี ตัวเลขบอกเล่าว่าร้อยก็ดูจะน้อยไป
เสวียนเรียน ป.7 รุ่นสุดท้ายที่เมืองจัง คล้ายคนหนุ่มหลายคนในหมู่บ้าน วัยสิบแปดฝนเคยเข้าไปแสวงโชคในกรุงเทพฯ ตามๆ เขาไป ไปแบบไม่รู้อะไร ไม่มีเป้าหมายใด สุดท้ายได้งานที่ร้านอาหารทะเลแห่งหนึ่ง เริ่มจากเสิร์ฟ ล้าง แล้วค่อยพัฒนาเป็นกุ๊ก
“ดูเขาแล้วหัดทำตาม”
จากเงินเดือนแรกเริ่ม 800 ขยับไป 1,200 ต่อมา 3,000 บาท กินฟรี อยู่ฟรี ในห้องนอนแออัด แวดล้อมด้วยคนเหนือคนอีสานซึ่งทิ้งบ้านมาขายแรงงานด้วยเงื่อนไขคล้ายๆ กัน
เคยถูกชักชวนให้ไปญี่ปุ่น แต่ไม่ไป
“ถ้าไป ป่านนี้อาจจะรวย” เขาว่า จริงหรือไม่ ไม่มีใครรู้
จากกุ๊ก เขาย้ายไปทำโรงกลึง ด้วยวิธีเดิมคือ–ดูเขาแล้วหัดทำตาม
อยู่นาน เชี่ยวชาญ มั่นใจ พอจะท้าทายนักเรียนสายช่างที่จบมาโดยตรงว่า ‘แข่งกันที่ไหน เมื่อไรก็ได้’
ในวัยใกล้สี่สิบ รับเงินเดือนสุดท้ายประมาณสามหมื่นเศษๆ เขาตัดสินใจบอกลาเมืองกรุง กลับน่าน
“ได้มาก็ใช้ไป กินบ้าง เที่ยวบ้าง เรามันคนมีเพื่อน ได้เท่าไรก็ไม่มีเหลือ”
ถามว่าทำอาชีพอะไร เขาตอบทำสวน แท้จริงคือทำสารพัด ทำแบบไม่มีวันว่าง ทุกวันนี้ตื่นตีสองครึ่ง ไปกาดในเวียง ซื้ออาหารสดมาขายในหมู่บ้าน แปดโมงกว่าเข้าสวนยาง ถ้ามีคนจ้าง เขารับจ็อบก่อสร้างต่อเติมบ้าน ทำแพ และเมื่อผ่านพ้นโควิด หาดผาขนกลับมาเปิดบริการได้ เขาและภรรยาช่วยกันค้าขายส้มตำ ไก่ย่าง ปลาเผา ฯลฯ
“ทำทุกอย่าง ไม่งั้นมันไม่พอส่งลูกเรียน”
หัวอกคนเป็นพ่อแม่ หัวใจวางไว้ที่การเติบโตของลูก
“ลูกเรียนอยู่ชั้นไหน”
“คนโตทำงานแล้ว คนเล็กเรียนพยาบาล ม.พะเยา มีนาฯ นี้จะจบ”
ไผ่ที่เลือกใช้ทำแพคือไผ่สีสุก คุณสมบัติคือแข็งแรง ทนทานกว่าไผ่จู แต่หนามเยอะ คม เหนียว ตัดเองไม่ไหว ต้องยอมจ่ายค่าจ้างวันละ 500 บาท
“ลำละ 30 บาท ซื้อที่เมืองจังเรานี่แหละ ซื้อเขา แต่ต้องตัดเองนะ ใครตัดไม่ไหวก็ต้องจ้าง”
แพหนึ่งใช้ไผ่ราว 35-40 ลำ ปูพื้นสองชั้น ชั้นบนอาจใช้ไม้เก่าจากปีก่อนได้ มอด ปลวก มันไม่กวนเท่าไร แต่ชั้นล่างต้องใช้ไผ่ตัดใหม่ บางทีของค้างปีจะมีรอยรั่ว ตัดใหม่ๆ ชัวร์กว่า ไผ่เมืองน่านไม่เขียม ราคาคุ้มค่าลงทุน
ด้วยตัวคนเดียว เสวียนบอกว่าถ้าของพร้อม สองวันก็ทำเสร็จ ปีนี้มีคนจองคิวจ้างเขาทำ 12 แพ คิดค่าเหนื่อยแพละ 2,500 บาท แต่ถ้าไม่มีของให้เลย ทุกอย่างเขาหามาเองหมด ทั้งค่าของค่าแรง ราคาต่อแพว่ากันที่ 6,000 บาท
ขนาดมาตรฐานที่ทำอยู่คือกว้าง 2 เมตร ยาว 6-7 เมตร ตรงกลางมีซุ้มกันแดด หัว ท้าย เปลือยรับลมฟ้า สัมผัสลำน้ำใกล้ชิด รับน้ำหนักบรรทุกได้ 8 คน
แต่ก็มีของเจ้าอื่นที่ทำเล็กกว่านี้ สอบถามได้ความว่าลูกค้าเยอะแล้วปวดหัว หลักๆ ก็วัยรุ่นนั่นแหละที่ชอบน้ำลึกๆ กระโดดเล่นโลดโผน
“8 คน เปรียบไปก็ประมาณบิ๊กไบค์ ของผมขอแค่สี่พอ บิ๊กไบค์รับไม่ไหว” ไม่ใช่กวี แต่พี่เขาพูดเห็นภาพ
แพไม้ไผ่หมู่บ้านหาดผาขนเปิดบริการมาแล้วราว 30 ปี
แห่งเดียวในโลก–สล่าสตรีคุยซ้ำๆ ขณะกรีดเลื่อยลำไผ่
เธอหมายถึงแพไผ่ ใช้แรงคนลาก ไปหาจุดทอดสมอที่พึงพอใจ แน่ละ ราคาก็ว่าตามระยะใกล้ไกล ปกติค่าเช่าแพจะอยู่ที่ 300 บาท ต่อ 2 ชม. (ถ้าลูกค้าน้อยเขาก็ปล่อยไหลยาวๆ ไม่ซีเรียส หรือเป๊ะเว่อร์เรื่องเวลาขนาดนั้น) ส่วนใครใคร่ปลีกวิเวก อยากมีโลกส่วนตัวก็ตกลงกับผู้ให้บริการว่าจะใช้แรงลากไปจุดไหน ไกลก็อาจจะต้องจ่าย 400-500 บาท ตามกลไกทุนและแรงงานนิยม
ลากไกลแปลว่าตอนแบกถาดข้าวปลา ลากขาแช่น้ำเดินส่งอาหาร-เครื่องดื่ม ก็ไกล เข้าใจตรงกันนะ
แห่งเดียวในโลกเลยมั้ย–คงไม่ใช่หรอก แต่แห่งเดียวในจังหวัดน่านก็ไม่น่าผิดเพี้ยนความจริง ที่อื่นอาจมีแพ เช่น ที่เชียงกลาง ท่าวังผา นาน้อย แต่แคแรกเตอร์ก็แตกต่าง และส่วนใหญ่ลอยน้ำนิ่งๆ วัสดุก่อสร้างผสมปูนเหล็กสมัยใหม่ ไม่มีอารมณ์ดิบเดิมบรรพชนวิถีเหมือนที่หาดผาขน
ขนอะไร.. ขนหมา ขนแมวหรือเปล่า เคยมีบางเราสงสัย
คำตอบคือขนข้าวของสินค้า ด้วยว่าการจราจรโบราณใช้เรือ ถึงผานี้เรือใหญ่ไปไม่ได้ ต้องลำเลียงขนลงเรือลำเล็ก
หมู่บ้านนี้เป็นพื้นที่ดอน ประชากรส่วนใหญ่สร้างบ้านอยู่ริมแม่น้ำ วัฒนธรรมเรือและแพอยู่ในสายเลือด เรียกว่าหนุ่มๆ ทุกคนแทบจะต่อแพได้ ใช้เรือเป็น
เมื่อถนนและสังคมลูกล้อเจริญ บ้านเรือนที่เคยหันหน้าเข้าหาแม่น้ำค่อยเคลื่อนเปลี่ยนทิศทาง รากบางอย่างลอยหาย ฟังว่าละอ่อนพอพายเรือได้ แต่ความรู้เรื่องแพก็เริ่มขาดตอน มองหาคนรับช่วงยากขึ้น
จะไปดุเด็กก็ไม่ถูก โลกสมัยใหม่เงินมันไม่ได้อยู่ในน้ำในสวนซึ่งมีพื้นที่จำกัด อากาศต่างหากที่เป็นคำตอบ เงินทุกวันนี้ล่องลอยอยู่ในอากาศ คำถามก็คือความรู้ในหัวกุลบุตรกุลธิดาของเราเพียงพอไหมกับการไขว่คว้า หามันใส่กระเป๋า เท่าทันหรือเปล่ากับความเปลี่ยนแปลง ในเมื่อก็เห็นๆ อยู่ว่าบุพการีร้อยทั้งร้อยอาบเหงื่อต่างน้ำ วิ่งหาทุนส่งลูกเรียน
ทุนต่ำ มันก็ยากที่จะส่งเสียให้เรียนสูงๆ
สามีภรรยาคู่นี้เคยมีลูกสาวช่วยงาน
“จบวิทยาศาสตร์ แต่พูดได้ 4 ภาษา เป็นเด็กคนเดียวของตำบลนี้ที่เรียนธรรมศาสตร์” คนเป็นแม่พูดถึงลูก
“ฝรั่งมาเที่ยวที่นี่เยอะ ยุคทักษิณ” ชื่อนี้มาอีกแล้ว คุยกับชาวบ้านทีไรก็ได้ยินอยู่เรื่อย
“ผมก็สปีกอิงลิชนะ จบ ป.7” ฝ่ายชายเล่าบ้าง “เปิดดิกฯ ฝึกเอาเอง ฝึกจากลูกด้วย”
บ้านหาดผาขนมีกลุ่มชาวบ้านรวมตัวกันทำโฮมสเตย์ มีไกด์ นักเล่าเรื่องท้องถิ่น พาเดินป่า กินอาหาร ชมงานฝีมือ และฟังดนตรีพื้นเมือง
ช่วงปีใหม่และสงกรานต์ รับลูกค้าไม่หวาดไม่ไหว ต้องต่อคิว
“คนเยอะจริงๆ เมื่อก่อนสนุก หาเงินง่าย ตั้งแต่ประยุทธ์มา นักท่องเที่ยวหายหมด ไม่เจอฝรั่งนานแล้ว นานจริงๆ”
16 ปี เป็นเวลาที่ยาวนานอีกเช่นกัน แต่มันก็เหมือนเพิ่งเกิดขึ้น เมื่อเขาและเธอพูดถึงลูกสาวที่จากไปในวัยยี่สิบหก
กติกาของชาวหาดผาขนคือ แต่ละบ้านทำแพมาเปิดให้บริการขายของได้สองลำ ลูกค้ามาถึงใช้วิธีเวียนไปตามคิวเหมือนวินมอเตอร์ไซค์ เลือกที่รัก มักที่แพไหนไม่ได้ สมมุติค่ำนี้จบที่แพ 34 พรุ่งนี้เช้า ว่ากันต่อที่แพหมายเลข 35
สามปีที่แล้วช่วงก่อนโควิด มีแพทั้งหมด 76 ลำ ปีนี้มีมติตกลงกันว่าขยายเพิ่มอีกสอง รวมเป็น 78 ลำ เสวียน พันธวงค์ ทำของตัวเองเสร็จแล้วรับจ้าง เพราะหลายคนก็ไม่ว่าง บ้างห่างเหินวงการไปนานจนไม่มั่นใจ
“ยากตรงไหน ทำแพ” นักข่าวช่างสงสัย
“ถามผม มันก็ไม่ยาก”
ก็จริง ยืนดูเขาผ่ายาง ยกย้าย ใส่พื้นแพ ทุกอย่างมันช่างง่ายดายเหมือนกินข้าว อาบน้ำ ใบหน้าเรียบเย็นเป็นปกติ สังเกตว่าคนตกปลาก็มีสีหน้าแววตาแบบนี้ คนอยู่กับน้ำมักไม่ค่อยเร่งรีบ
คงเคยรีบมาบ้าง แต่รีบยังไงมันก็เร็วช้าคือเก่า ผลผลิตเท่าเดิม
“คนทำใหม่ๆ มันจะเอียง” เขาเฉลย
“แพไม้ไผ่ไม่จมหรอก แต่มันเอียง สมดุลเสียนิดเดียว พังเลย”
“แล้วทีแรกทำไมทำเป็น”
ดูเขาแล้วหัดทำเอง–เขาใช้คำเดิม คำเดียวกับตอนที่ฝึกทำอาหาร ตอนที่เข้าวงการโรงกลึง พื้นเพความถนัดคงมาสายนี้ เรียนรู้ไวในเชิงช่าง
ปรัชญาของคนทำแพคือความสมดุล คล้ายนั่งเรือ ซ้ายหรือขวาหนักไปมันก็เอียง ไผ่เล็กใหญ่ลำไม่เท่ากัน เวลาจับใส่ต้องเลือก สลับ คำนวณน้ำหนัก
“เมียผมก็บอกให้หามาช่วย ผมไม่เอา ทำคนเดียวสบายใจกว่า ยิ่งถ้าเตรียมของพร้อมแล้ว จับใส่ๆ ไม่มีอะไรยาก หาคนมาช่วยมันไม่ใช่ง่าย ไม่รู้ใจกันก็รำคาญเปล่าๆ”
“คนนี้เขาขี้เหนียว” เพื่อนแพข้างเคียงตะโกนแซว
เสวียนยิ้ม ก้มเลือกไผ่ ยกวางๆ บางนาทีพยักพะเยิดให้ดูแพเพื่อน
“ต่างกันเป็นซาวเซ็นฯ เลยมั้งหลังคานั่นน่ะ”
ผมมองตามสายตาเขา มันเป็นเช่นนั้นจริงๆ
“พูดไป เขาก็หาว่าเราติ ดูและอยู่เฉยๆ ดีกว่า .. 31 นี้ว่างมั้ย ลองมาดู คนเต็มหาดนี่ พิธีเปิดเริ่มตั้งแต่สายๆ มีแข่งเรือด้วย”
เปิดปีใหม่ ให้บริการทุกวันไปจนถึงราวพฤษภาคม ช้าเร็วกว่านั้นขึ้นอยู่กับฝนและปริมาณน้ำไหลหลาก ตีตัวเลขกลมๆ ก็มีเวลาทำกินในราว 5 เดือน น้ำมาก็เป็นอันว่าจบ ต้องรีบกู้คืน แพใคร แพมัน ทิ้งไว้ให้เป็นขยะไม่ได้ กรมเจ้าท่าจะเล่นงาน
ผมยังจำภาพเมื่อสามปีก่อนได้ดี ชาวบ้านสบยาวเพิ่งทำซุ้มเสร็จ เตรียมพร้อมขายของ โควิดมาโครม จบข่าว ตอนมาใหม่ๆ หลายคนยังมองโลกแง่ดีว่าคงไม่นาน เขาใช้เชือกล้อมรั้วหลวมๆ ไว้ในทำนองว่าพักชั่วคราวก่อน สถานการณ์ดีขึ้นเมื่อไรค่อยเปิด รอบแรกผ่านไป รอบสองมาซ้ำ รอบสามตามมาอีก ซุ้มนับร้อยเหล่านั้นว่างเปล่า
ลงทุน และไม่มีโอกาสคืนทุน
รอบนี้หลายคนก็ยังกังวลกับบางเรื่อง เรื่องที่รัฐบาลที่สืบทอดจากรัฐประหารบอกให้หลายหน่วยงานสวดมนต์
ตูมตาม เอิร์ธ เฟม และนิ ไม่ได้สวดมนต์ เขาและเธอมาเล่นน้ำ ป่ายปีนเรือนแพที่ยังสร้างไม่เสร็จ กระโดดน้ำ หยอกล้อ วิ่งขึ้นฝั่ง วิ่งลงน้ำ
“มาเที่ยวกันเหรอครับ ขอให้เดินทางปลอดภัย” ฟังเขาว่า
เด็กหญิงยกมือไหว้ ย่อเข่า
“ชื่อนิดาค่ะ เรียกนิเฉยๆ ก็ได้” ฟังเธอว่า
พลันวิ่งว่ายชุลมุน
“ระวังนะ ตรงนั้นน้ำลึก” ใครสักคนตะโกนบอก นิ เพื่อนหญิงคนเดียวในกลุ่ม
“ไม่เป็นไร พี่โตแล้ว ดูแลตัวเองได้”
ผมทวนคำนั้นในใจ–พี่โตแล้ว ดูแลตัวเองได้
กวีกัญชญาคว้าปากกา หันมามอง ยิ้มในไดอะล็อก
วิ่งเหนื่อย เด็กๆ นั่งห้อยเท้า ไหล่เบียดไหล่ บางถ้อยคำเล็ดรอดมาถึงเรา
“ใกล้ปีใหม่แล้ว แต่เมืองไทยไม่มีซานต้าหรอก”
“ทำไมถึงไม่มี”
“ก็ เมืองไทยไม่มีหิมะ”
กวีคว้าปากกาอีกครั้ง จดสิจด
ไกลออกไปกลางสายน้ำ คนหนุ่ม 6 ฝีพาย ซ้อมรอวันแข่งเรือ นอกจากสนามประลองของจังหวัด นี่เป็นเวทีที่พวกเขารอคอย
เด็กทั้งสี่วิ่งวน กระโจนลงน้ำ ป่ายปีน บางจังหวะเขาคนหนึ่งเกาะแพ เอาเท้าแช่น้ำ ครั้นจะปีนขึ้นกลับทำไม่ได้ จะลงน้ำ ขาก็คงไม่ถึงพื้น
“รีบมาช่วยซี มาช่วยเร็วๆ”
หน้าเขาซีดเผือด ความทะโมนเมื่อครู่สูญสลาย
อ้าว ไอ้หนู ไหนเอ็งบอกว่ายน้ำเก่ง
จากสังเกตการณ์ อ้อยอิ่ง ผมลุกพรวด วิ่งไปอุ้มขึ้นมา เขาเอ่ยขอบคุณ และหาเกมใหม่ๆ เล่นต่อไป ชีวิตคนริมน้ำกับอุบัติเหตุแยกกันยาก ระวังแค่ไหนก็ไม่ได้แปลว่าจะไม่พลาด โดยสถิติ ความตายที่เคยเกิดขึ้นไม่ใช่การปล่อยให้เด็กๆ เล่นน้ำตามลำพัง หากเป็นผู้ใหญ่เมา ใช่, เมาสุราก็ไม่ต่างจากเมาโลภ เมารัก หรือลุ่มหลงอคติ เมามากๆ แล้วสมดุลมันเสีย เอียง ล่ม เหมือนเรือจมทะเล
ทะเลและแม่น้ำไม่ผิด เงินและความรักก็ไม่ใช่จำเลย เรานั่นแหละวางสถานะของมันอย่างไร ประคอง โอบกอด ก้มกราบ หรือกระทืบ ทิ้งขว้าง
เท่าที่ฟัง จุดท่องเที่ยว ‘ผาตีนเสือ’ ทางกลุ่มชาวบ้านห้วยยื่นยังไม่พร้อมเปิดให้บริการ วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคมนี้จะมีเฉพาะแพบ้านหาดผาขน กับบ้านสบยาว เวลาสามปีที่หายไป เงินหายไปจำนวนมาก โอกาสและความหวังต่างๆ สูญหาย พังยับ การกลับมาของแพไม้ไผ่จึงเป็นดวงไฟแห่งโอกาสและความหวังใหม่ของชุมชนริมน้ำ
อย่างที่รู้ ขณะที่หัวใจใครต่อใครเต้นระริกด้วยความคาดหวัง เราต่างก็กังวลลึกๆ ลุ้นระทึกว่าความหวังขั้นพื้นฐานนี้จะบรรลุผลหรือเปล่า ก็อย่างที่รู้ ความป่วยไข้ กระทั่งความเป็นความตายของใครบางคนมันส่งผลรุนแรงเหลือเชื่อ
ผลที่ไม่ควรจะมีผล ผลที่พิจารณาโดยสติอันรอบคอบรัดกุมแล้วว่าไม่ส่งผลใดๆ ต่อการทำให้รัก.
เรื่องและภาพ วรพจน์ พันธุ์พงศ์