the letter
the letter

จดหมายจากเกาะพะงัน no.2 วุ่นอยู่กับความว่าง

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

วันนี้ลูกเปิดเทอมวันแรก ส่งลูกเสร็จก็รู้สึกโหวงๆ เล็กน้อย เลยขี่มอเตอร์ไซค์เลียบหาดเล่นๆ ขี่ไปก็คิดว่าวันนี้จะทำอะไรดี

ตอนแรกที่มา ก็ยังพอได้คิดว่าต้องทำอะไรกับลูกบ้าง
เช่น คิดเรื่องอาหาร อ่านหนังสือให้ลูกฟัง เดินไปดูลูกเล่นกับเพื่อนๆ
พอไม่มีภาระในเรื่องนี้แล้ว หัวแม่งโล่งเลย ไปไม่เป็น
ยังดีว่าพี่บอกให้เขียนเรื่องมาเล่าบ้าง อย่างน้อยวันนี้ก็มีอะไรให้ทำสักหนึ่งอย่าง
เอ๊ะ แต่ก็ไม่แค่นี้ ตอนนี้ผมเริ่มทำตามพี่หนึ่งเรื่องซักผ้าแล้วครับ
อาจจะไม่ซักทุกวัน แต่ก็ประมาณว่าสองวันซักที

ตอนอยู่กรุงเทพฯ มีเครื่องซักผ้า ผมรอผ้าให้เต็มตะกร้าสองตะกร้า
แล้วก็เอาไปลงเครื่องซักผ้าที
แต่พออยู่ที่เกาะ การเอาเสื้อผ้าไปตู้ซักผ้าหยอดเหรียญก็ไม่ใช่ว่าจะง่าย
ยิ่งถ้าใช้มอเตอร์ไซค์แล้ว แบกไปแบกมาก็ดูจะยุ่งยากกว่าซักมือ
ก็เลยเริ่มซักผ้าเอง พอรอไว้ให้เยอะๆ ค่อยซักก็เริ่มจะลำบาก
กาละมังก็เล็ก ราวตากผ้ามีพื้นที่จำกัดจำเขี่ย
เลยได้ข้อสรุปว่าซักทีก็อย่าให้เกิน ๑๕ ตัว มันจะพอไปได้ ไหลๆ แบบสวยๆ
อะไรที่เคยรู้มาจากคนอื่น ถ้าสภาพแวดล้อมมันไม่ได้เปลี่ยนแปลง ตัวเราเองอาจจะยังไม่ได้ลองทำ
เขียนนี่เสร็จก็ว่าจะไปซักสักหนึ่งกาละมังเล็ก

 

 

the letter

ตอนนี้เริ่มรู้สึกมากขึ้นถึงความว่างแล้ว ไม่ใช่ ‘ว่าง’ ในความหมายทางพุทธนะครับ
‘ว่าง’ แบบว่าไม่รู้ว่าจะทำอะไรดี 

ตอนที่อยู่กรุงเทพฯ ช่วงหลังๆ แม้ว่าจะไม่มีอะไรต้องทำมากที่โรงพิมพ์
แต่อย่างน้อยมันก็ยังมีโต๊ะให้นั่งดูนู่นดูนี่ เกี่ยวกับงานบ้างไม่เกี่ยวบ้าง
มีโรงงานให้เราเดินดูและพูดคุยกับพนักงาน 
มีเรื่องปัญหางานให้ได้คิดแก้ไขและปรับปรุง
มีเวลาพักเที่ยงที่แน่นอน ให้เราได้ใช้เวลานั่งกินข้าวกับน้องชาย 
หมดวันก็ยังพอรู้สึกว่าตัวเองได้ทำ ได้งานอะไรไปบ้าง

จริงๆ แล้วผมเอาหนังสือที่อยากอ่านมาเยอะ แล้วก็อ่านไปได้เยอะกว่าตอนอยู่กรุงเทพฯ
ช่วงนี้อ่านแต่เรื่องความเป็นมาของมนุษย์ อาทิ ความเปลี่ยนแปลงทางสรีระและขนาดสมอง การใช้ไฟ การปรุงอาหาร การเรียนรู้ที่จะต่อสู้หรือร่วมมือกันกับผู้ล่าเผ่าพันธุ์ หรือสายพันธุ์อื่นๆ (ในทางประวัติศาสตร์แล้วมนุษย์เราเป็นผู้ล่า ผู้เบียดเบียนผู้อื่นๆ นะครับ)

ไอ้ที่บอกว่าโดยเนื้อแท้แล้วมนุษย์เป็นคนดี ถ้าจะจริงก็คือ ดีแต่กับพวกตัวเอง
หรือถ้าจะบอกว่าเป็นคนบาป นั่นก็เป็นที่มาของอารยธรรมและศาสนา ถ้าไม่มีการล่าการเบียดเบียนสิ่งมีชีวิตอื่นๆ มนุษย์เราคงไม่มีเวลาหรือพลังงานเหลือมาให้นั่งคิดหาสาระอะไรกับชีวิตหรอก 

สัตว์พวกที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นผู้ให้ก็คือสัตว์กินพืช อาทิ กวาง วัว ควาย
พวกนี้นี่แค่การตระเวนหาแหล่งอาหาร และย่อยอาหารที่มีกากใยสูงก็ทำให้มันใช้พลังงานส่วนใหญ่ในชีวิตไปหมดแล้ว ฮาฮ่า
อ่านหนังสือพวกนี้ก็สนุกดี แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมด บางเวลาขี้เกียจ ไม่อยากอ่านอยู่เหมือนกัน

ผมเพิ่งยุติงานอาสาทำความสะอาดสระว่ายน้ำไป เพราะช่วงเช้าต้องส่งลูกไปโรงเรียน 
แต่รู้สึกโชคดีที่ได้ลองทำ คือมันมีความสุขนะครับเวลาเห็นสระสะอาดๆ 
การได้ทำงานออกแรงอะไรแบบนี้ มันทำให้เราสนใจกับสิ่งที่อยู่ตรงหน้าจริงๆ
ใบไม้ที่ต้องตักขึ้นมา ฝุ่นตะกอนใต้สระที่ต้องดูด ถุงกรองที่ต้องล้างคราบตะไคร่ออกให้หมด 
รู้สึกดีที่ได้เหงื่อออกแล้วมีประโยชน์กับใครบ้าง ไม่ใช่แค่เหงื่อออกแล้วแค่รู้สึกดีกับตัวเอง (แซวพวกที่ชอบเข้าฟิตเนสเพื่อให้รูปร่างตัวเองดูดีน่ะครับ)

 

the letter

รู้สึกว่างๆ แบบนี้ก็เลยนึกถึงอีตอนที่คุยกับอาจารย์ธเนศ (วงศ์) เมื่อหลายเดือนก่อน ว่าจะไปอยู่เมืองนอก
แกถามผมว่า ไปอยู่แล้วจะทำอะไร ผมก็ตอบว่าไม่ทำอะไร น่าจะอ่านหนังสือและดูแลบ้าน
แกพูดกับผมจริงจังว่าต้องหาอะไรทำนะ ไปลงเรียน หรือหางานอาสาสมัครทำก็ได้
อย่างน้อยก็อาจจะได้สังคม ได้เพื่อน และไม่เหงา
เรื่องพวกนี้ฟังไปก็อาจไม่เข้าใจ ถ้าไม่ได้เจอกับตัวเองจริงๆ 

คนที่รีสอร์ทก็มีหลายคน หลากเชื้อชาติหลายพื้นเพอยู่ จะไปนั่งคุยด้วยก็ได้ สนุกช่วงแรกๆ ที่ได้รู้จักว่าพวกเขาทำอะไร แต่มันก็ไม่เหมือนกับการได้คุยกับคนที่มีจุดมุ่งหมายเดียวกัน หรือมีอะไรพื้นฐานบางอย่างร่วมกัน มนุษย์นี่น่าจะเป็นสัตว์ฝูงนะครับ ในความรู้สึกของผมตอนนี้ 

การต้องทำอะไรคนเดียวแบบไม่มีทีมนี่เหงาพิลึก 
พูดแล้วก็นับถือบรรดานักบวช หรือนักเขียนที่ปลีกวิเวกอยู่กับตัวเองได้นานๆ 

มาอยู่เกาะก็เลยเป็นฝ่ายโทรฯ หาเพื่อนฝูง ญาติพี่น้อง บ่อยกว่าพวกเค้าโทรฯ มาหาผม
เมื่อวานโทรฯ หารุ่นพี่คนหนึ่ง แกก็ถามว่า เหงาเหรอ ฮึฮึ

อีกไม่กี่วัน ภรรยาก็จะอพยพมาอยู่ด้วยแล้ว คงได้ออกไปทำกิจกรรมแบบสัตว์ฝูงกับเธอบ้าง
(เริ่มจากฝูงเล็กๆ ก่อนน่ะครับ) คิดว่าน่าจะมีเรื่องอะไรมาเล่ามากกว่านี้

รักและคิดถึง

จ๊อก

๑ กันยายน ๒๐๒๑

ปล. ที่ใช้เลขไทยนี่ไม่ใช่ว่าจะอนุรักษ์วัฒนธรรมอะไรหรอกนะครับ
เพียงแต่เวลาพิมพ์ในเครื่องแมคอินทอชเนี่ย เวลาเปลี่ยนภาษามันยุ่งยากกว่าเครื่องพีซี
ก็เลยพิมพ์เลขไทยไปเลย สะดวกกว่า

nandialogue

ตอบ จอห์น จ๊อก

1 ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงการซักผ้าด้วยมือ ว่าแต่ทำไมคุณช่างพลังล้นเหลือเสียจริง ซักเข้าไปได้ยังไง 15 ชิ้น ของเราช่วงพีกๆ น่าจะทำได้สูงสุดราวสัก 7-8 ชิ้น แต่ตอนนี้แค่สามหรือสี่ นี่ก็เป็นอันว่าเลิกแล้วต่อกัน ปกติจะอยู่ที่หนึ่งหรือสองด้วยซ้ำ มากกว่านั้นนับว่าเป็นบาป ยิ่งหน้าฝนแบบนี้ด้วย เช้ามาวันไหนเห็นแดดนี่เหมือนเห็นสรวงสวรรค์ มือไม้สั่นอยากซัก แต่ก็อีกแหละ อยู่ป่ามาหลายปีก็ทำใจ เข้าใจแล้วว่าอย่าไปหวังอะไรกับดินกับฟ้า เพราะแดดมาดีๆ เดี๋ยวก็อาจจะมีฝน กิจกรรมซักผ้าหน้านี้ ห้ามมีธุระออกไปไหนเด็ดขาด ประมาทเลินเล่อไม่ได้ เจ็บปวดมาเยอะแล้ว โคตรเซ็ง ที่ผ้าหอมๆ กำลังจะแห้งแม่งกลับมาชื้นอีก

2 คล้ายๆ ประเด็นมนุษย์เป็นสัตว์กินพืชหรือกินเนื้อ เราว่ามันปนๆ กันอยู่ ระหว่างสัตว์โทนกับสัตว์ฝูง อันนี้พูดในความหมายส่วนตัวนะ คือชอบทั้งสองอย่าง ดีคนละแบบ เพียงแต่มีวงเล็บว่าในเวลาที่เหมาะสม เวลาที่ปรารถนา ปัญหาก็คือขณะที่คนเราอยากสลับ อยากได้ทั้งสองอย่าง ‘ในเวลาที่เหมาะสม เวลาที่ปรารถนา’ แล้วมันไม่ได้ ไม่มี ไม่ลงตัว ซึ่งนั่นก็เป็นที่มาของความทุกข์ทั้งปวง

ฟูลมูนวันไหนคุณจอห์นนั่งดื่มเบียร์ริมทะเลพอครึ้มเคลิ้มแล้วเกิด enlightenment หรือค้นพบเคล็ดลับสัจธรรมใดในการมีชีวิตอยู่ ก็บอกกันบ้าง

จดหมงจดหมายนี่ไม่ต้องเลยนะ โทรฯ มาให้ไว

3 เคยมีพรรคพวกโทรฯ มาถามว่าทำอะไรอยู่ ยุ่งมั้ย
เราบอกว่า–กำลังวุ่นอยู่กับความว่าง

พูดให้น่าหมั่นไส้ไปอย่างนั้นเอง ความจริงอาชีพที่ทำอยู่จะบอกว่าว่างมันก็ไม่ตรงนักหรอก เพราะไอ้ที่ว่าว่างๆ ในหัวก็วิ่งไม่หยุด ไม่มีเสาร์อาทิตย์ และไม่เป็นเวล่ำเวลาเหมือนชาวบ้านชาวช่องเขา เหมือนถูกสาปหรือผีสิงอะไรทำนองนั้น เดินเข้ามาแล้วหาทางออกไม่เจอ ว่างกับไม่ว่างพัวพัน สับสน แยกไม่ออก

แต่นั่นเป็นเรื่องของเมื่อก่อน ให้นึกตอนนี้นึกไม่ออกแล้ว ยิ่งตั้งแต่พลั้งตัวเผลอใจมาทำ nan dialogue นี่แบบ.. ว่างคืออะไรเหรอ เหงาแปลว่าอะไร ไม่รู้จัก.

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...