ดูไทม์ไลน์การตัดสินใจออกมาท่องยุทธจักรนักสู้ของ ดา ตอร์ปิโด แล้ว ชั่วๆ ดีๆ อย่างน้อยที่สุดผมควรจะได้พูดคุยสัมภาษณ์เธอสักครั้ง
สัจจะคือไม่เคย
สิ่งที่ซ่อนอยู่ในสัจจะนั้นคือความโง่
กาลสมัยนั้น คือตั้งแต่รัฐประหาร 19 กันยายน 2006 กระทั่ง 22 กรกฎาคม 2008 ที่เธอถูกจับด้วยข้อหากระทำความผิด ม. 112 ข่าวสารและสุ้มเสียงจากพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยกำลังเรืองอำนาจ ถ้าเข้าใจไม่ผิด ผมได้ยินชื่อ ดา ตอร์ปิโด ครั้งแรกๆ ก็จากเวที ‘กู้ชาติ’ แห่งนี้
ได้ยินและคล้อยตาม ทั้งที่ไม่เคยสำรวจตรวจสอบความคิดของผู้หญิงคนนี้อย่างจริงๆ จังๆ เลย
ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ เป็นยาแรง เป็นคาถาสำเร็จรูปที่คนไทยจำนวนมากได้ยินแล้วตรรกะและการใช้เหตุผลทั้งมวลสูญสลาย ยิ่งมาผนวกกับคำว่า ‘นักการเมืองโกง’ เข้าไป (ถ้าชื่อแม้วชื่อปูด้วยแล้วละก็) คนดีที่ไร้เดียงสาพลันเข่าทรุด สมองเสื่อม ไปไม่เป็น
กว่าจะรู้ว่ารัฐประหารเป็นสิ่งเลวร้าย กว่าจะเข้าใจว่าการที่ใครสักคนออกมาต่อสู้เพื่อพรรคการเมืองเพื่อนักการเมืองที่เขารักไม่ใช่สิ่งผิดบาป เลือดก็นองถนน เสรีชนคนกล้าถูกไล่ล่า จับขังคุก
อีกบางคนล้มหายตายจากไปอย่างเงียบเหงา ทั้งที่เคยเป็นดวงดาวไฮด์ปาร์ก
ดา ตอร์ปิโด สูญสิ้นอิสรภาพทั้งสิ้น 2,958 วัน
ใช่, เพียงเพราะว่าการพูด
ออกจากเรือนจำได้ราวสี่ปี เธอก็เสียชีวิตด้วยโรคมะเร็งเมื่อวันที่ 7 พฤษภาคม 2020
กล่าวกันแบบแฟร์ๆ ถ้าการแพทย์ในมือของกรมราชทัณฑ์เจริญก้าวหน้ากว่านี้ เธอก็ไม่น่าจะต้องจากไปก่อนวัยอันควร ยิ่งถ้าไม่มีรัฐประหารและกฎหมายป่าเถื่อน ชะตากรรมของนักข่าวใจเด็ดย่อมไม่เป็นอย่างที่เห็น
ก็เดิมๆ –ตราบเท่าที่อุดมการณ์ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ยังถูกหล่อหลอมรุนแรง และกฎหมายปิดปากมนุษย์ยังทำงานอย่างบ้าคลั่ง เราต่างรู้ว่านี่ย่อมไม่ใช่เคสสุดท้ายในสังคมไทย
เข้าใจว่า มุทิตา เชื้อชั่ง แห่งสำนัก ‘ประชาไท’ (ขณะนั้น) น่าจะมีข้อมูล ดา ตอร์ปิโด มากที่สุด เธอติดตามพูดคุยสัมภาษณ์นับสิบปี ทั้งนอกและในรั้วเรือนจำ ทั้งในยามร่างกายแข็งแรงและซูบซีดผอมโซจากมะเร็งระยะสุดท้าย ซึ่งบางครั้งมุทิตาอาสาพาเข้าออกโรงพยาบาล
นอกนั้นก็มีคลิปวิดีโอจากสำนักพิมพ์อ่าน ดูแลการผลิตโดย ไอดา อรุณวงศ์
มีหนังสั้นจาก นัชชา ตันติวิทยาพิทักษ์ (ร่วมงานกับ มุทิตา เชื้อชั่ง และ กิตติ พันธภาค) และสำคัญอย่างยิ่งคือหนังสือเล่มนี้ ‘บันทึกการต่อสู้ครั้งสุดท้าย ของ ดา ตอร์ปิโด’ ซึ่งเธอเป็นคนเขียนเล่าเอง บวกกับอีกส่วนเสริมจากบันทึกของญาติมิตร และข่าวสารคดีความ
หนังสือหนา 166 หน้า ผมสรุปด้วยคำที่สั้นที่สุดคือ คุกกับโรงพยาบาล
ฉากและชีวิตของ ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล ดูเหมือนจะมีอยู่เท่านั้นจริงๆ
เป็นผู้ถูกกระทำตลอดเวลา เป็นจำเลยที่ไม่เคยได้รับความเป็นธรรมจากสังคม
ที่เป็นเช่นนี้ก็หาใช่เพราะเธอมี ‘กรรมหนัก’ ที่เป็นเช่นนี้หาใช่ด้วยความปากไม่ดี หากแต่ที่มันเป็นเช่นนี้ก็เพราะโครงสร้างชนชั้นของสังคมไทย รัฐประหาร และกฎหมายอำมหิต กำหนดอัตราโทษเกินสัดส่วนความผิดในระดับที่นานาชาติยอมรับไม่ได้
และที่มันเป็นเช่นนี้เพราะ ดา ตอร์ปิโด เป็นมนุษย์ผู้ไม่ยอมก้มหัวให้ปีศาจซาตาน
28 กรกฎาคม 2009 ไม้หนึ่ง ก.กุนที ให้สัมภาษณ์ ‘ประชาไท’ ที่หน้าห้องพิจารณาคดีลับว่า
“การมาให้กำลังใจดารณีในวันนี้ถือเป็นการต่อสู้เพื่อตัวเราเองเหมือนกัน เพราะความผิดปกติของกฎหมายนี้มันหาเหยื่อได้ง่ายมาก ความรู้สึกผม เหมือนในสังคมมีการต่อสู้ปกป้องสิทธิประโยชน์ส่วนตัว แต่มีน้อยมากที่การปกป้องสิทธิส่วนตัวจะเป็นการปกป้องสิทธิส่วนรวมด้วย กรณีของดารณีเป็นตัวอย่างหนึ่ง”
นอกจากให้สัมภาษณ์ ไม้หนึ่งจดบันทึกอารมณ์ความรู้สึกไว้ด้วยบทกวีชิ้นนี้
คุณไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียว
ยังมีสหาย ยังมีเสี่ยว ร่วมต่อสู้
แต่เพราะอำนาจของศัตรู
เขากีดกันให้เราอยู่ห่างกัน
เพื่อนเอ๋ย อุดมการณ์นั้นยาวนาน
ชีวิตคนสุกสกาวช่วงสั้นๆ
นักสู้จักบรรจุลงตำนาน
ลูกหลานจะเล่าขานสืบต่อไป
และพอวันที่ 6 สิงหาคม ไม้หนึ่ง ก็เขียนถึง ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล แบบเต็มๆ อีกครั้ง
คุณคือดอกไม้เหล็กสีแดงสด
ผลิแย้ม พร้อมบทเพลงต่อสู้
ขับร้อง ก้องท้า ทุกฤดู
ขึ้นอยู่ ในใจ เสรีชน
.
คุณคือดอกไม้เหล็ก สดแดงฉาน
อีกไม่นาน เกสรซื่อจะสืบผล
สื่อสารสู่ทุกหมู่บ้านถิ่นตำบล
ปลุกผู้คนรู้ค่าของความเท่าเทียม
.
แกร่งดอกไม้ อมตะ ไม่กลัวช้ำ
เชิดหน้าโต้ชะตากรรมอันโหดเหี้ยม
กี่ฟ้าแผดแดดเผาให้ไหม้เกรียม
เย้ยจารีตธรรมเนียมไม่ชอบธรรม
.
คุณไม่ได้ต่อสู้อยู่คนเดียว
เหมือนมืดทึบเส้นทางเปลี่ยนในเถื่อนถ้ำ
กาฬปักษ์ดักดานแม้มืดดำ
มหาชนจะร่วมกุมกำมือคุณ
.
เสียงส่วนใหญ่หยัดยืนแข็งขืนสู้
เขาจะรู้ ว่าเราเลิกยอมเป็นฝุ่น
ยิ่งไล่ล่ายิ่งทำลายยิ่งทารุณ
ยิ่งเร่งให้ร่มเงาบุญเหี่ยวเฉาเร็ว.
อย่างที่บอก ว่าดูไทม์ไลน์แล้วผมควรจะได้พบปะแลกเปลี่ยนกับ ดา ตอร์ปิโด เพราะเดินวนเวียนเข้าออกในม็อบสนามหลวงบ่อยครั้ง ยังไม่นับว่าไม้หนึ่งเองก็ขยันหมั่นเลกเชอร์ประวัติศาสตร์การเมืองการปกครองไทยอยู่แทบทุกครั้งที่พบเจอ อีกทั้งยังโอ้โลมโน้มน้าวให้ไปขึ้นเวทีร่วมอ่านบทกวี
ชั่วโมงนั้น จริตแบบชนชั้นกลางแรงจริง ภาพลักษณ์ปัญญาชนของมหาวิทยาลัยราชดำเนินของคนเสื้อเหลืองก็ดูดีกว่าจริงๆ มันเทียบไม่ได้เลยกับ ‘คนเสื้อแดงมอมแมมแสนฝืดเคือง’ ไม่มีราคา ไม่มีอะไรไปสู้ ทั้งที่เมื่อ ‘ตาสว่าง’ และอ่าน ‘หลักการ’ แล้ว เรากลับพบว่าแท้จริงไพร่พวกนี้ต่างหากที่อารยะ และเคารพกติกาสากล
หาใช่งมงายมัวเมาอุดมการณ์จอมปลอมแบบที่ชนชั้นกลางโดนเขาหลอกลวง
คำถามก็คือ กว่าจะตาสว่าง กว่าจะรู้ –นักสู้ธุลีดินจะสูญสิ้นไปอีกเท่าไร
ราคาที่ต้องจ่ายมันสูงเหลือเกินสำหรับรัฐประหาร และกฎหมายอาญามาตรา 112
จาก ดา ตอร์ปิโด ถึง สมยศ พฤกษาเกษมสุข และ ‘อากง’ อำพล ตั้งนพกุล ไล่เรียงมาถึงรุ่น ไผ่ ไมค์ อานนท์ เพนกวิน ฯ สามัญชนที่เอ่ยนามมาทั้งหมดนี้ล้วนถูกกฎหมายทำร้ายทำลายชีวิต เขาและเธอไม่สมควรต้องรับโทษทัณฑ์ขนาดนั้น (หลายเคสจับขัง ทั้งที่ยังไม่พิพากษา) กล่าวตรงไปตรงมาเลยก็คือเขาและเธอไม่ได้กระทำความผิด กฎหมายต่างหากที่ผิด
แล้วใจคอเราจะดูดาย ปล่อยให้กฎหมายทำร้ายผู้บริสุทธิ์ต่อไปเช่นนี้หรือ
กว่าจะรู้..
ก้มมองตัวเอง ผมใช้เวลาอย่างน้อยก็สองสามปี ให้หลังรัฐประหาร 19 กันยายน 2006
มันเป็นรอยแผล เป็นตราบาป ที่เคยมอง ‘ผู้พูดความจริง’ หรือ ‘นักโทษทางความคิด’ ว่าสมควรแล้ว อยู่ดีไม่ว่าดี แกว่งเท้าหาเสี้ยน ไม่รู้จักที่ต่ำที่สูง ฯ
กว่าจะรู้..
กว่าจะเข้าใจหลักสิทธิเสรีภาพ และคำว่า freedom of speech
คำถามก็คือ อีกนานเท่าไรสังคมไทยจะมีฉันทามติในเรื่องนี้ นานเท่าไรที่จะแจ่มกระจ่างในโครงสร้างปรสิต
ผมคิดว่าหนังสือเล็กๆ เล่มนี้ดีพอที่จะหยิบอ่าน อิฐก้อนแรกๆ แตกแล้วสานต่อเอาคืนกลับมามีชีวิตใหม่ไม่ได้ แต่สมควรถูกวางรากฐานเป็นถนน เป็นสะพานสู่ความเป็นโลกสมัยใหม่ โลกแห่งประชาธิปไตย
ไม่ใช่แตกแล้วคนรุ่นหลังเดินเหยียบ ทว่ายังไม่รู้สึก
ทั้งที่เลือดตัวเองไหลนองพื้นถนน.
หมายเหตุ : หนังสือ ‘บันทึกการต่อสู้ครั้งสุดท้าย’ (ก่อนลาลับ)
เขียนโดย ดารณี ชาญเชิงศิลปกุล หรือ ดา ตอร์ปิโด
พิมพ์ครั้งแรก เมษายน 2020 จำนวน 500 เล่ม
พิมพ์ครั้งที่สอง พฤษภาคม 2020 จำนวน 1,000 เล่ม
เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์