ผ่านมาหลายวัน เดินทางหลายที่ พบเจอใครหลายคน กระนั้นก็ยังคงเป็นสัปดาห์ที่เคว้งๆ มึนๆ ยกย้ายบางสิ่งออกจากหัวไม่ได้
อากาศร้อนและถนนฝุ่นสีแดงที่น่านจางไปแล้วครับ หลังฝนกระหน่ำห่าใหญ่ ต้นไม้ใบหญ้าเขียวขึ้นมาฉับพลัน แต่นั่นก็เป็นคนละเรื่องกับอารมณ์ ความรุ่มร้อนภายในใจ จะสักกี่ร้อยพันห่าฝนมันก็ชะล้างไม่ออก เหมือนที่ผมบอกกับพี่ว่าแค้นว่าโกรธ สิ่งที่เกิดขึ้น ถ้าจะบอกว่าไม่เสียใจเลยนั่นก็โกหกกัน เพียงแต่ว่ามันรู้สึกโกรธมากกว่า
ประสาคนคิดอ่านเชื่องช้า ผมค่อยๆ ปลดวางความอ่อนแอขุ่นมัว เลือกทำสิ่งแรกที่คิดได้คือถอดเทปสัมภาษณ์ บังคับตัวเองให้นิ่งพอที่จะนั่งเขียน และเชิญชวนเพื่อนพี่น้องส่งเสียงบอกกล่าวพี่ ตลอดสัปดาห์ที่ผ่านมา nan dialogue ยกงานเขียนอื่นๆ ออกทั้งหมด มอบพื้นที่ของสำนักสื่อหน้าใหม่แห่งนี้ให้พี่คนเดียว
มีแค่ไหน ให้แค่นั้นครับ
.
20 มีนาคม 2022 ผมส่งข้อความหาลูกชายพี่
“ไงบ้าง กลับไทยยัง พ่อเป็นอย่างไร ล่าสุด”
ที่ถามก็ด้วยเป็นที่รู้กันละครับ ว่าลูกๆ ทั้งสามของพี่บินไปฝรั่งเศส หลังได้รับข่าวสารไม่สู้ดี
ตุ๋ยตอบผมว่า–กลับมาได้สองอาทิตย์แล้วครับ อาการแกขึ้นๆ ลงๆ ครับ แต่ช่วงนี้ดี มีสติพูดคุยได้ดี แย่ตรงเบื่ออาหารครับ อย่างอื่นทรงตัว รอหมออัปเดตเป็นรอบๆ ..จะบอกว่าดีขึ้นก็พูดไม่ได้เต็มปากครับ มีบางช่วงแกทรุดแทบแย่เลยก็มี แล้วก็ฟื้นตัวมาได้อีก
รุ่งขึ้น ผมตอบตุ๋ยกลับไปว่า–ติดตาม เอาใจช่วย
และพอรุ่งขึ้นอีกวันคืออังคารที่ 22 มีนาฯ ตื่นเช้ามาผมก็เห็นข่าวจากเฟซบุ๊กของเตย
.
กับความตายของหมาป่าเมื่อสองปีก่อน (หนึ่งในเพื่อนกลุ่มวรรณศิลป์ รามฯ ของพี่) ผมเคยพูดว่าไม่เสียใจ
พี่ก็รู้ ผมเป็นรุ่นน้องที่หมาป่าให้ความเมตตา เป็นต้นทาง เป็นคนบอกสอนเรื่องการทำหนังสือ เราทั้งสามเคยมีฉากชีวิตร่วมกันใต้ต้นมะม่วงที่บ้านประชาอุทิศ (ค่ำนั้นตั๊กแตนติดตามพี่มาด้วย) และอีกวัน ก่อนพี่บินไปยุโรป ผมก็ต่อสายให้พี่ทั้งสองได้พูดคุยกัน ฟังว่าก่อนหน้านั้นสักปีเศษๆ หมาป่าก็เคยข้ามโขงมาหาพี่
ด้วยรักและผูกพัน แต่หมาป่าเหนื่อยมามากแล้ว ร่างกายบอบช้ำเกินไปจนแทบไม่ฟังก์ชัน (ว่าที่จริงแกก็โกงความตายมาหลายรอบ) พูดแบบนี้ไม่ได้ดีใจนะครับ เพียงแต่แกเองก็รู้ดีว่าสังขารถูกใช้มาจนใกล้หมดเวลา และแน่นอน ถึงอีกนาทีหนึ่งสัญญาณที่ดังมานาน ถ่านไฟนั้นมันก็หมด ผมไม่ได้เป็นญาติฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดกับเจ้าชายสิทธัตถะ ไม่ใช่นักศีลธรรม ยิ่งไม่ใช่คนปลดปลงแล้วกับชีวิต ยามพรากเราย่อมอ่อนไหวเสมอ แต่จะทำอย่างไรได้ เรามีสิทธิ์ในการต่อรองหรือครับ เมื่อความตายมาเคาะประตู ไม่ว่ากระทำสิ่งใดอยู่ เราขอเลื่อน ขยับ ปรับเปลี่ยน หรือยกเลิกไม่ได้เลย
เหนืออื่นใด ผมเห็นกับตามาแล้วว่าตลอดทั้งชีวิตหมาป่าได้ทำหน้าที่สูงสุดแล้ว ทั้งในฐานะนักเขียน เพื่อนพี่น้อง และในนามมนุษย์คนหนึ่ง
ข้อด่างพร้อยหรือร่องรอยตำหนิอยู่ตรงไหน พยายามเอาปากกามาวาง หาไม่เจอครับ
กับผู้คนชนิดนี้ กับบุรุษที่ยินดีเรียกขานตัวเองว่าหมาป่า เมื่อพบเจอหน้าเราทำได้อย่างเดียวเท่านั้น คือก้มกราบ
ด้วยความเคารพนะครับ กับพี่ ผมก็เห็นเช่นกัน
อายุ 67 ปี นี่ไม่เยอะนะครับ (เท่าหมาป่าพอดีเป๊ะ) ยังอยู่ได้อีกนาน ยังสร้างประโยชน์นานัปการได้อีกมาก แต่ร่างกายพี่ไม่ไหวแล้วจริงๆ แม้อยู่ใกล้หมอในประเทศที่เทคโนโลยีการแพทย์เจริญมากที่สุดประเทศหนึ่งของโลก ข้อนี้แหละที่ผมบอกว่าโกรธ
ไม่ได้โกรธแพทย์พยาบาล นั่นมีแต่ต้องขอบคุณร้อยพันครั้ง ผมโกรธรัฐไทย (เรียกชัดๆ ก็รัฐเจ้า รัฐทหาร หรือ ‘เผด็จการเทวราช’ คำของพี่นั่นแหละครับ) ที่ขับไล่พี่ออกไป ที่ทำให้พี่ไกลบ้าน ไกลครอบครัว คนรัก ซึ่งเป็นที่มาของความป่วยไข้ทั้งปวง
พี่ชอบดื่ม นี่เป็นสัจจะ อยู่เมืองไทยพี่ก็ดื่มเป็นกิจวัตร แต่อีกสัจจะหนึ่ง โดยธรรมชาติพี่เป็นนักกีฬา เป็นคนชอบออกกำลังกาย อยู่ท่าเสา ตื่นเช้ามาก็ออกวิ่ง อยู่แคมป์เนินลมโชย แม้หลบหนีลี้ภัย ก็หมั่นขยันเดินขึ้นป่าเขา เอาเหงื่อให้ชุ่มหลังไหล่ทุกเมื่อเชื่อวัน แข้งขามือแขนของพี่ไม่ใช่ผู้ชายนิ่มนุ่มแบบหนุ่มกรุง หากมันอุดมไปด้วยมัดกล้ามเนื้อแบบไอ้หนุ่มลูกทุ่งผู้ใช้แรงงาน ยังจำได้ สมัยที่ขับรถส่งวัสดุก่อสร้าง พี่เคยคุยเขื่องถึงร่างกายกำยำ เพราะแบกอิฐแบกปูนทุกวัน ยังไม่นับจิตใจปลอดโปร่งเนื่องจากรายได้ดี ก้าวหนีสนามแข่งขันรางวัลวรรณกรรมแบบหลุดพ้น
หนักมานาน เครียดมานาน พอหลุดแล้วตัวเบา หัวเราะเสียงดังเท่าไอ้แผน
ถ้าไม่เจอเผด็จการเทวราชไล่บดขยี้ ร่างกายพี่ย่อมไม่ใช่แบบนี้ พี่ไม่มีทางป่วยด้วยวัยแค่หกสิบเจ็ด
คงไม่ฟิตระดับจะขึ้นชกกับ ศรีสะเกษ นครหลวงโปรโมชัน ได้ แต่พี่เป็นคนร่างกายแข็งแรง เอางี้ละกัน อย่าหาว่าไม่รู้ที่ต่ำที่สูง ให้ดวลกันตัวต่อตัว ผมก็ไม่เอาว่ะ เห็นๆ กันอยู่ในริ้วรอยชรา มือขาพี่แกร่งกร้าน สายตาและการอ่านเกมไม่เป็นสองรองเซียนสำนักไหน
ถ้าประเทศของเราปกติ ถ้าพูดปาวๆ ว่าปกครองด้วยระบอบประชาธิปไตยก็ปฏิบัติด้วยกติกาประชาธิปไตย พี่ย่อมไม่ป่วย พี่ย่อมไม่ต้องเร่ร่อนลี้ภัย สมญาวัฒน์ ท่าเสา ก็ต้องอยู่ท่าเสา กาญจนบุรี
แต่พวกมันเหี้ยไงพี่ พวกมันเถื่อนไง
เลือกตั้งแพ้ ก็ขับรถถังออกมารัฐประหาร
ผมโกรธแค้นคนพวกนี้ ทั้งคนอยู่เบื้องหน้าและเบื้องหลัง และที่โกรธมากๆ ไม่แพ้กันก็คือวงการนักคิดนักเขียนของพวกเรา คนใกล้ๆ ตัวทั้งนั้น หันไปทางไหนก็เจอ แม่งเต็มไปด้วยพวกไทยเฉย อันมีศาสนา ‘เอาตัวรอด’ เป็นธงนำกำกับชีวิต
พระเอกหนังไทยหน้าไม่เปื้อนโคลน–ผมจำคำของพี่ได้แม่น
วรรคเดียวเอาอยู่ ส่องฉายให้เห็นสันดานชัดเจนทั้งหัวดำหัวหงอก
ก็นั่นแหละ เราอยู่กันมาแบบนั้น บางความตายจึงมีค่าเท่ากับกลอนบทเดียว
น่าเบื่อใช่มั้ย คุยเรื่องอื่นดีกว่านะพี่
ใกล้ๆ ห้าทศวรรษที่พี่ทำงานมา ทั้งนวนิยาย เรื่องสั้น สารคดี บทกวี บทความ เพลง ผมคิดว่าผมได้รับ ‘เสียงและสาร’ เหล่านั้นแล้ว
ไม่ครบถ้วนหรอกครับ ปริมาณงานเขียนกองสูงเป็นภูเขาเลากาแบบนั้น ใครจะไปเสพรับได้หมด
เอาว่าทั้งหลายทั้งปวงที่พี่บอกเล่ามา ผมฟังด้วยสติ สมาธิ เช่นเดียวกับ ‘สปิริต’ ที่พี่คัดสรร สมาทานและส่งต่อ ผมภาคภูมิใจที่จะบอกว่าได้รับแล้ว มันเป็นของขวัญล้ำค่าแห่งชีวิตที่ประเมินประมาณหาที่สุดมิได้
ไม่อยู่เฉยๆ หรอกครับ ได้รับแล้วก็จะทำหน้าที่ ‘ส่งต่อ’ เช่นที่พี่ทำมา
ครับ–ในหมู่พี่น้องเรา ทุกคนตระหนักดีว่าพี่ทำมาเยอะ ทำมานาน ทำมาอย่างเข้มข้น และสละแลกด้วยเลือดเนื้อ ชีวิต
ในนามของผู้ให้ ผมคิดว่าพี่ได้รับกลับคืนน้อยเกินไป (รัฐไทยไม่เคยมอบสิ่งใดตอบแทนพี่เลย ..แม่งโคตรใจดำ) เทียบกับเพื่อนๆ นักเขียนศิลปินรุ่นเดียวกัน พี่น่าจะอยู่ลำดับท้ายสุด เป็นคนที่ผลประโยชน์ตกถึงมือน้อยเหลือเกิน แต่เชื่อมั้ยพี่ มีแต่สินจ้างรางวัลเท่านั้นหรอกที่ผมบอกว่าน้อย มองภาพรวมในทุกมิติ โดยเฉพาะกับมวลชนคนเสื้อแดง นักอ่านเก่าใหม่ และนักเขียนหนุ่มสาวฝ่ายก้าวหน้า ผมคิดว่าพวกเขาและเธอเทหัวใจให้พี่หมดทั้งดวง มีเท่าไรให้เท่านั้น เอาไปเลย ยอม ยอมจริงๆ ใครจะปฏิเสธเทือกหิมาลัยแห่งวรรณกรรมนั้นได้ลงละครับ
เมื่อเปิดอ่าน ทุกคนย่อมค้นพบ และโค้งคารวะ
คำกล่าวว่าน้อยแต่แรกจึงอาจไม่ตรงนัก และผมคิดว่าเพื่อนคนดังของพี่หลายๆ คนก็ไม่ได้รับ ‘นามธรรม’ นี้ มากเท่านี้ กระทั่งบางทีนานวันผ่านไป ความรักเคารพในหัวใจคนอ่านยังกลับจะค่อยผุกร่อนลดทอนจนเหลือแต่อดีตที่ไม่มีค่าราคาพอจะจดจำ
ถึงที่สุด รัฐไทย กระทรวง หรือสมาคมนั่นนี่ ก็เทียบไม่ได้หรอกกับหัวใจสดุดีของนักอ่าน
นักเขียนที่แท้กับนักอ่านเสมือนท้องฟ้ากับดวงดาว
เมื่อพี่ทุ่มอุทิศขีดเขียนสุดตัวสุดใจ ดวงดาวย่อมสว่างไสวเคียงข้าง
มองแง่นี้ จะว่าไปมันก็แฟร์อยู่เหมือนกันนะครับ และถ้าจะเชื่อผมสักครั้ง ผมเห็นว่าพี่ได้รับไปเต็มๆ สองมือ และจะได้รับไปอีกนาน
พูดแบบนี้ก็ควรแสดงหลักฐานใช่มั้ย อย่างน้อยก็สักหนึ่ง
ด้วยฟากฟ้าฝรั่งเศสอยู่ไกล เสียงแผ่วเบาของผมอาจส่งไปไม่ถึง แต่บางวันในระหว่างเวลาไวน์ พี่มองมาที่จังหวัดน่านนะ
มองลงมาที่นักเขียนรุ่นน้องคนนี้
.
เวลาพูดถึงงานของพี่ ใครหลายคนชื่นชม ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ กับ ‘ฉากและชีวิต’ ยกย่องให้เป็นมาสเตอร์พีซ
ผมมองไปอีกมุมนะ และเห็นพ้องกับ เป็นเอก รัตนเรือง คือหลงใหลเล่ม ‘คือรักและหวัง’ มากกว่า เป็นเอกบอกผมว่าแรกทีเดียวเขาอยากเอางานชิ้นนี้มาทำหนัง แต่ตัวละครคนแก่กับเด็กมันขายยาก เขาไม่รู้จะไปหาเงินที่ไหนมาทำ สุดท้ายจึงเลือก ‘มนต์รักทรานซิสเตอร์’ ด้วยว่ามันมีสีสันฉูดฉาดกว่า
ผมน่าจะยังไม่เคยบอกพี่ว่า ‘บนเส้นลวด’ คือหนึ่งในหนังสือเล่มที่มีอิทธิพลต่อชีวิตมาก เป็นครั้งแรกที่ผมรู้จักชื่อพี่ และเป็นแรงผลักแรกๆ ให้ผมก้าวเดินบนถนนนักเขียน ส่วนงานรีเสิร์ชอย่าง ‘คีตกวีลูกทุ่ง ไพบูลย์ บุตรขัน’ นั้นคงไม่ต้องพูดซ้ำๆ ว่ามันเป็นต้นทางของสารคดีชีวิต และงานหลังๆ อย่าง ‘กวีปราบกบฎ’ นั้นถือเป็นคู่มือของคอกวี ศักดิ์ศรีของมันคู่ควรอย่างยิ่งกับคำว่า ‘หนังสือสามัญประจำบ้าน’
.
เจ็ดโมงหนึ่งนาที วันอังคารที่ 22 มีนาคม 2022
หลังอ่านข่าวร้ายในเฟซบุ๊กเตย ผมส่งข้อความไปหาตุ๋ย ลูกชายพี่ที่ผมเคยไปร่วมงานแต่งที่ระยอง (เขาบอกว่า–พี่มานะ เหลือแต่พี่นี่แหละ พ่อผมมาไม่ได้) ลูกชายพี่ที่ผมชวนมาร่วมงาน ‘น่านโปเอซี’ ทั้งสองครั้ง และทุกครั้งที่เห็นเขา คุยกับเขา มันก็มักมีเงาของพี่ทับทาบ ตัดไม่ขาด และไม่จำเป็นต้องตัด ร่องรอยสปิริตของพี่ติดอยู่ในคนนั้นคนนี้ ที่นั่นที่นี่ หลับตาก็เห็น ลบลืมไม่ได้ มันฝังลึกลงไปแล้วในเนื้อตัวเสรีชน ผองคนผู้มีกระดูกสันหลังตั้งตรง
“เพิ่งเห็นข่าว / เข้มแข็งนะ / พี่อยู่กับพวกเราเหมือนเดิม” ผมบอกตุ๋ย
เขาอ่านแล้วกดโทรศัพท์มาคุย เล่าเรื่องพี่สักพักก็ร้องไห้
ผ่านมาหลายวัน เดินทางหลายที่ พบเจอใครหลายคน กระนั้นก็ยังคงเป็นสัปดาห์ที่ผมเคว้งๆ มึนๆ ยกย้ายบางสิ่งออกจากหัวไม่ได้
ทีแรกอึดอัดนะครับ เคียดแค้น อยากเอาออก ตอนหลังเปลี่ยนใจ เก็บเอาไว้แบบนี้แหละพี่ ทุกความโกรธแค้นที่มีต้องจำ เจ็บแล้วต้องจดจำ
จนกว่ามันจะถูกล้าง ชำระ.
วรพจน์ พันธุ์พงศ์
01.04.2022