the letter
the letter

การเมืองในเกมหมากรุก

ชาโลมครับมองซิเออร์หนึ่ง

 

สัปดาห์ที่ผ่านมาผมมีเพื่อนบ้านครอบครัวใหม่ที่เพิ่งย้ายมาอยู่ข้างๆ ซึ่งก็เป็นครอบครัวชาวอิสราเอลอีกแล้วครับ
ครอบครัวนี้ประกอบด้วยพ่อ แม่ และลูกชายอีกสองคน พวกเค้ามาสำรวจที่พักตั้งแต่เดือนก่อน จนห้องที่พวกเขาสนใจว่างลง จึงได้เข้ามาพักอยู่ข้างๆ กัน

ไปๆ มาๆ ในบรรดาแขกที่พักในรีสอร์ท ก็น่าจะเป็นผมกับลูกชายที่แก่พรรษาที่สุดแล้ว จำนวนพรรษาจนถึงปัจจุบันคือ 3 เดือนเต็ม รีสอร์ทไม่ใช่วัดอ่ะครับ จำรีสอร์ทได้ 3 เดือนก็กลายเป็นแขกอาวุโสแล้ว ฮาฮ่า

บ่ายแก่ๆ ของวันแรกที่ครอบครัวนี้เข้ามาพัก ขณะที่ผมนั่งเล่มหมากรุกอยู่กับลูกชาย เดวิด ผู้พ่อ เดินมาถามผมว่าจะติดต่อสต๊าฟในรีสอร์ทได้อย่างไร เพื่อให้มาดูเตาแก๊ซในบ้านพัก ความที่ผมเคยอยู่บ้านหลังนั้นมาก่อน ก็เลยตัดสินใจไปลองดูให้แทน ไปถึงก็ไม่มีอะไรมาก แค่เปิดวาร์ลถังแก๊ซที่อยู่ใต้เตา ก็เป็นอันใช้ได้ จุดไฟติดแล้ว เดวิดเอ่ยปากขอบคุณ และถามว่าคุณเล่นหมากรุกด้วยหรือ มาเล่นด้วยกันบ้างไหม

 

the letter

 

สายๆ วันรุ่งขึ้นผมจึงมีโอกาสได้เล่นกับแก พวกเราเอาตัวหมากรุกมาตั้งกระดานบนโต๊ะตัวเล็กๆ แล้วนั่งกันบนเก้าอี้สนาม ทั้งหมดนี้เราจัดวางมันอยู่ริมสนามหญ้าเล็กๆ ที่คั่นระหว่างสระว่ายน้ำกับชายหาด เสียเวลาย้ายของและจัดที่จัดทางเล็กน้อย ก็ช่วยให้บรรยากาสดีขึ้นเยอะครับ

นอกจากนี้ยังบรรเทาความตึงเครียดของเกมหมากรุกได้โขอยู่ ลูกพี่เดวิดไม่อ่อนข้อให้ผมเลยครับ ทั้งๆ ที่ผมก็บอกแกแล้วว่าครอบครัวเราเพิ่งเริ่มหัดเล่น นอกจากนี้ยังช่วยแก้ความเข้าใจผิดในบางกติกาให้ผมอีกด้วย

หมากรุกฝรั่งนั้นมีกติกาและข้อยกเว้นที่แตกต่างไปจากหมากรุกไทยที่ผมเคยเล่น ตอนที่ผมเริ่มเล่นกับลูกและภรรยา เราก็จับเอากติกาและการเดินแบบจำมาเลาๆ จากเพื่อนและอินเทอร์เน็ต อาจเรียกได้ว่าใช้เป็น house rule ของครอบครัวเรา ซึ่งก็ใช้ได้ครับถ้าจะเล่นกันสามคน แต่พอมาเล่นกับคนอื่นแล้ว การยึดกับกติกาสากลที่คนทั่วโลกยึดถือก็เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

ไม่งั้นแทนที่จะได้เล่นก็คงต้องมานั่งเถียงเรื่องกติกากันตายเลย

ในบรรดากติกาที่คนเล่นหมากรุกฝรั่งรู้ แต่ผมไม่รู้นั้นอาจมีประมาณนี้ครับ

ผู้เล่นฝั่งสีขาวเป็นผู้เริ่มเดินก่อน อันนี้ไปค้นมาก็ได้คำตอบว่าสิ่งนี้เพิ่งเป็นกติกาสากลเอาก็ตอนศตวรรษที่ 18 บ้างว่าอาจได้รับอิทธิพลมาจากโลกทรรศน์นักล่าอาณานิคมที่มองว่าคนผิวขาวเหนือกว่า และควรจะมีสิทธิมากกว่าคนผิวสีอื่นๆ (White Supremecy) นี่เป็นเรื่องที่เถียงไม่จบสิ้นนะครับ

มีกระทั่งความเคลื่อนไหวที่เรียกร้องให้แก้ไขกติกาเพื่อต่อต้านการที่ตัวสีขาวได้เดินก่อนในชื่อ Move For Equality เซียนหมากรุกของโลก (Grand Master) ในปัจจุบันหลายๆ คนก็อยู่ในขบวนการเคลื่อนไหวนี้ บางคนก็บอกว่าคิดกันมากไป จริงๆ แล้วมันมีเพื่อให้การสร้างองค์ความรู้เกี่ยวกับแผนผังการเดินต่างๆ ในเกมหมากรุกทำได้ง่ายและเป็นระบบมากกว่า การเดินก่อนหรือทีหลังมีผลต่อเกมพอสมควร

หากเรารู้กฏที่แน่นอนแล้ว บรรดาเซียนหรือนักเขียนเรื่องหมากรุก ก็จะรู้จุดเริ่มต้นที่แน่นอนในเกม ทำให้พวกเขาสามารถสอนหรือเริ่มบทเรียนได้อย่างมั่นคง บรรดาลูกศิษย์หรือผู้เล่นหน้าใหม่เองก็จะเรียนรู้ได้รวดเร็วกว่า

ควีนเริ่มต้นในช่องสีเดียวกับสีของหมาก ควีนขาวอยู่ในช่องตารางสีขาว ควีนดำอยู่ในช่องตารางสีดำ ทั้งนี้เวลาตั้งบอร์ด ในแถวล่างสุดให้ตารางสีขาวอยู่ทางฝั่งขวามือเราเท่านั้น ควีนในหมากรุกฝรั่งนี่ทรงพลังมากนะครับ เดินไปได้แปดทิศ ไม่จำกัดช่องเดิน เข้าใจว่าพลังอันมหาศาลของควีนในเกมหมากรุกฝรั่ง ได้รับอิทธิพลมาจากอำนาจของพระราชินีอิซเบลล่า (ISABELLA, QUEEN of CASTILE) แห่งสเปนในศตวรรษที่ 15

เมื่อเทียบกับเม็ดในหมากรุกไทยซึ่งเดินทางทะแยงได้ทีละช่องแล้ว ก็นับว่าต่างกันราวดาราช่องเจ็ดสีเทียบกับดาราฮอลลีวูด (อันนี้ยืมคำมาจากภรรยา ตอนนั้นเธอเปรียบเทียบใครสักคนในประเทศนี้กับใครสักคนในประเทศอังกฤษ ด้วยคำเปรียบเปรยอย่างนี้) รวมไปถึง บิชอปซึ่งเทียบได้กับโคนในหมากรุกไทย ก็เดินแนวทะแยงได้ไม่จำกัดระยะ
ก็นับว่าทรงพลังกว่าโคนยิ่งนัก

คนเคยเล่นหมากรุกไทยมาก่อนอย่างผม พอได้รู้จักและลองเล่นหมากรุกฝรั่งแล้วก็พบว่าคิงในเกมหมากรุกฝรั่งนั้นดูอ่อนไปเลย ทั้งๆ ที่คิงในหมากรุกฝรั่งนั้นเดินได้เหมือนกับคิง (ขุน) ในหมากรุกไทย แต่สิ่งที่ทำให้เรารู้สึกถึงความต่างระหว่างคิงกับขุน ก็คือความสามารถของหมากสองสามตัวที่อยู่ข้างๆ (ควีนที่เทียบได้กับเม็ด มีอยู่ฝั่งละหนึ่งตัว และบิชอปที่เทียบได้กับโคน มีอยู่ฝั่งละสองตัว)

นี่แหละครับ เวลาที่หมากตัวอื่นๆ ในกระดานมีพลังอำนาจมากขึ้น คิงเองก็ต้องเคารพและอ่อนน้อมถ่อมตนกับผู้อื่นมากขึ้น เวลาเราเล่นหมากรุกฝรั่ง ถ้าคิงตัวไหนซ่า เดินไม่ดูตาม้าตาเรือ หรือตาควีนตาบิชอป ก็ใคร่จะถูกสอยตกกระดานเอาง่ายๆ เช็คเมท !

นอกจากนี้อีกสิ่งที่ผมรู้สึกทึ่งมากเมื่อได้เรียนรู้เรื่องหมากรุกฝรั่งก็คือสิ่งที่เรียกว่า โปรโมชั่น นั่นคือการเปลี่ยนสถานะเมื่อเดินไปถึงดินแดนคู่ต่อสู้ของเบี้ย หรือ Pawn (หมากตัวลำดับชั้นที่ต่ำที่สุดและมีอยู่มากที่สุดในเกม)
ของหมากรุกไทยเมื่อเดินเบี้ยไปถึงแค่ช่องที่หก (ประมาณ75% ของความยาวกระดาน) เบี้ยก็จะหงายและกลายเป็นเม็ด เป็นแค่เม็ดได้เท่านั้น เม็ดซึ่งแม้ตอนเริ่มต้นเกมจะอยู่ตำแหน่งเดียวกับควีนในหมากรุกฝรั่ง แต่ก็ไม่ได้มีพลังอะไรมากนักเมื่อเปรียบเทียบกับหมากตัวอื่นๆ ในเกมหมากรุกไทย

ในขณะที่หมากรุกฝรั่ง ถ้าเบี้ย (Pawn) จะได้เลื่อนขั้น ต้องเดินไปให้สุดกระดานฝั่งตรงข้าม แน่นอนว่าทำได้ยากกว่า แต่ถ้าไปถึงแล้ว จะเป็นอะไรก็แล้วแต่ผู้เล่นจะปรารถนา เลื่อนขั้นเป็นควีน บิชอป ม้า หรือ เรือ ได้หมด เว้นเสียอย่างเดียวที่เป็นไม่ได้คือ คิง

ด้วยความไร้เดียงสาและทึกทักเอาเอง ผมคิดว่าหมากรุกฝรั่งนั้นเป็นเสรีนิยมกว่าหมากรุกไทย หมากตัวต่างๆ ดูกระฉับกระเฉงทรงพลัง เคลื่อนเกมแต่ละตาเดินล้วนมีนัยยะ ตัวไหนใคร่จะทำอะไรก็ไปได้สุดๆ ไม่ต้องกระมิดกระเมี้ยน เคลื่อนที่ไม่กี่ตาก็อาจจับคิงอีกฝ่ายกันได้ง่ายๆ (ฝรั่งใช้คำว่า capture เวลาเรากินตัวฝ่ายตรงข้าม) เป็นคิงเสียอีกที่ต้องยำเกรงและซ่อนตัวอยู่หลังพลทหารอย่างเงียบๆ

หมากพื้นฐานตัวไหนที่เดินไปได้สุดทาง ก็สามารถจะเป็นอะไรได้เท่าที่จะปรารถนา จริงอยู่คิงนั้นสำคัญ ถ้าโดนจับคือเกมจบ แต่มึง (คิงในหมากรุกฝรั่ง) ไม่ได้เก่งโว้ย มึงจะเป็นหรือตายก็อยู่ที่ความสามารถของคนรอบข้างมึง พอผมรู้จักหมากรุกฝรั่งมากขึ้น แล้วมานึกดูดีๆ แล้วรู้สึกว่ามันสอนเราเหมือนกันนะครับ

คุณสำคัญที่สุดแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณเก่งหรือทรงพลังที่สุด

คุณเก่งหรือทรงอำนาจที่สุดก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะเป็นคนสำคัญที่สุด

หมากรุกฝรั่งมันสร้างความรู้สึกเคารพซึ่งกันและกันให้เกิดขึ้นกับหมากชั้นสูงแต่ละตัว และในขณะเดียวกันมันยังให้ความหวังอันเรืองรองกับหมากชั้นประทวน (Pawn) ทุกตัวที่เดินไปถึงเส้นชัย

ตอนแรกว่าจะหาเรื่องวิจารณ์หมากรุกไทยอีกว่า เวลารบกันทำไมส่งแค่ขุน (เข้าใจว่าเป็นท่านขุน) ไปรบวะ คิงไปมุดหัวเป็นอีแอบอยู่ที่ไหน โชคดีที่ได้อ่านบทความในศิลปวัฒนธรรมออนไลน์ (https://www.silpa-mag.com/history/article_5401) แล้วพบว่า ขุนในหมากรุกไทยก็มีที่มาจากคิงนั่นแหละครับ คือในยุคสุโขทัย เราเรียกกษัตริย์ว่าพ่อขุน ตัวเดินที่สำคัญที่สุดในเกมหมากรุกไทยก็เลยชื่อว่าขุน

ผมเล่นหมากรุกกับเดวิดได้ครึ่งชั่วโมงก็โดนเช็คเมท! ได้รับบทเรียนที่เป็นสากลทั้งเรื่องกติกา และวิธีการเล่น ลูกชายผมซึ่งวิ่งเล่นวนเวียนอยู่ข้างๆ ตลอดเวลาเราเล่น ก็รบเร้าขอเดวิดให้เล่นกับเขาบ้าง เดวิดก็ยินดีและเล่นต่ออีกเกม จบเกมศิลป์ก็แพ้เหมือนพ่อมันแหละครับ แต่เท่าที่ชำเลืองดูศิลป์เล่นกับเดวิด ก็พบว่าแม้จะเดินทะเล่อทะล่าไปบ้าง แต่ก็มีหลายมูฟที่แหลมคมและท้าทาย เดวิดยังบอกกับผมหลังเกมว่า รูปแบบการเดินที่แตกต่างของผู้เยาว์วัยสร้างความปวดเศียรเวียนเกล้าให้กับผู้มีประสบการณ์อย่างเขาอยู่ไม่น้อย

ทั้งหมดที่เล่ามานั้น คือเกมหมากรุกนะครับ ห้ามคิดตีความเป็นอย่างอื่น หากมีความผิดพลาดหรืออันตรายใดๆ ขอให้สิ่งนั้นตกอยู่กับผู้ตีความ 

 

the letter

 

เดวิดแก่กว่าผมสิบปี แกเป็นยิวที่เกิดและโตในโตริโน่ เมืองทางเหนือของอิตาลี เป็นแฟนพันธุ์แท้ทีมยูเวนตุส แกเคยเรียนและทำงานในปารีสอยู่ห้าปี แล้วกลับไปทำธุรกิจอสังหาริมทรัพย์กับมารดาในอิตาลีซึ่งแกบ่นว่าเป็นอาชีพที่แกไม่ชอบเอาเสียเลย แกย้ายไปอาศัยอยู่ในเทลอาวิฟและหัดเรียนภาษาฮิบรูมาได้สิบห้าปีก่อนจะมาเจอผมที่เกาะพะงัน

ผมถามแกว่าย้ายไปอิสราเอลทำไม แกตอบว่าตามความรักไป ดูโรแมนติกนะครับ

แต่ผมว่ามันก็จริงด้วย คนเราถ้าไม่มีอุปสรรคอะไร ทำไมจะไม่ตามความรัก หรือตามคนรักไปล่ะ เห็นใครทำได้อย่างนี้ผมก็มีแต่ชื่นชมและดีใจด้วย

ไม่กี่วันก่อนเพิ่งครบรอบวันเกิด 51 ปีของแก ผมและครอบครัวได้กินทิรามิสุสไตล์โฮมเมดแทนเค้กวันเกิด รสชาติดีมากครับ ผมและภรรยาขอดูและจดจำวิธีทำมาแล้ว ทำไม่ยากครับแต่วัตถุดิบต้องถึง กว่าจะได้กินเดวิดตระเวนไปทั่วเกาะเพื่อให้ได้มาซึ่งชีสที่เรียกว่า มาสคาโปเน่ (Mascarpone) ประมาณว่าไม่มีชีสตัวนี้แกไม่ทำ นอกจากนี้แกไหว้วานให้ผมซื้อไข่ไก่มา 5 ฟอง แล้วก็ย้ำนักหนาว่าให้หาไข่คุณภาพดี ไข่ออร์แกนิก

นอกจากเรื่องฟุตบอลและวัฒนธรรมอิตาเลี่ยนที่ทำให้ผมกับแกคุยกันได้ไม่เบื่อแล้ว ก็ยังมีเรื่องหนังสืออีกครับ
ตั้งแต่อยู่เกาะพะงันมาสามเดือน เพิ่งเจอแกเป็นคนแรกนี่แหละที่ชอบอ่านหนังสือ ที่สำคัญ แกอ่านวรรณกรรมซะเป็นส่วนใหญ่ บรรดานักเขียนดังๆ ในอดีตนั้นแกอ่านมาไม่น้อย อาทิ ดันเต้, ตอลสตอย, ดอสโตเยฟสกี, เชคอฟ, อูโก, พรุสต์, มาร์เกซ, เอโก้ เป็นต้น

แต่เล่มที่แกแนะนำให้อ่านเป็นอย่างยิ่งคือ In Search of Lost Time หรือชื่อในฝรั่งเศส À la recherche du temps perdu ของ Marcel Proust นิยายเล่มนี้มีทั้งหมดเจ็ดเล่ม ความหนารวมน่าจะร่วมสามพันกว่าหน้า เดวิดบอกว่าอ่านอยู่ปีนึงถึงจะจบ ทั้งที่อ่านจบไปแล้วทุกวันนี้ก็ยังกลับไปอ่านบางบทบางตอนอยู่ แกชื่นชมมุมมองและการบรรยายความรู้สึกต่างๆ ของพรุสต์เอามากๆ วันนั้นหลังจากที่คุยกับเดวิดเรื่องพรุสต์จบ ตกกลางคืนผมก็กดสั่งซื้อเล่มที่หนึ่งจาก BookDepositary โดยทันที เดี๋ยวก็รู้ว่าปีนึงจะอ่านจบ (เล่มหนึ่ง สามร้อยกว่าหน้า) หรือไม่ 555

Prends soin de toi et j’espère que tu vas bien couz !

จ๊อก

 

nandialogue

 

ตอบ จ๊อก

เรื่องฟุตบอลนั้นพี่พอรู้ แต่เรื่องหมากรุก ไม่รู้จะคุยฉันใด –ยอมจริงๆ ว่ะ เกิดมาเคยจับครั้งเดียวตอนเรียนปีหนึ่ง รุ่นพี่ข้างๆ ห้องในหอเดียวกัน เขาชอบเล่น เราผู้ไม่สนใจทั้งหมากรุกและไพ่ (อย่างหลังนี้พรรคพวกก็ชอบกันจัง และจุดรวมพลก็คือห้องเรานี่แหละ คือกูไม่ได้เกี่ยวใดๆ เผอิญว่าห้องมันอยู่กันหลายคน และหลายคนที่ว่า ยกเว้นเรา เขาชอบกันหมด) ขนาดเป็นคนไม่รู้เรื่อง ฟังคุณเล่าเรื่องวงการหมากรุกก็มันส์ว่ะ โดยเฉพาะมิติที่เกี่ยวกับคิงๆ ควีนๆ และหมากกลผู้เยาว์แบบเจ้าศิลป์ ติดตามกันต่อไปว่าหมากเกมนี้จะลงเอยอย่างไร

ยินดีกับคุณที่ได้เจอเพื่อนใหม่ชอบอ่านหนังสือเหมือนกัน สำหรับเรา หนังสือเป็นสิ่งปกติธรรมดาอันน่าอัศจรรย์ ที่พูดนี่หมายถึงทั้งเนื้อหา เรื่องเล่า ที่บรรจุอยู่ในทุกตัวอักษร และความเป็นรูปทรงมวลสารชนิดหนึ่ง ที่เพียงสัมผัสหรือแม้แต่มองมันอยู่ในมือของผู้อ่านคนอื่นๆ ขณะเขาหรือเธอคนนั้นพินิจพิจารณาอ่านอยู่ เราก็พลันรู้สึกสบายเนื้อสบายตัวและพลอยยินดีไปด้วย เป็นความจริงละว่าช่วงหลังมานี้อ่านหนังสือน้อยลง (หนังสือที่หยิบจับจริงเป็นเล่มๆ) เพราะใช้เวลาคิดและเขียนของตัวเองนั้นข้อหนึ่ง และอีกข้อ เวลาจำนวนมากของเราตอนนี้ถูกใช้ไปกับการนั่งคุยกับคน ซึ่งไม่แย่นะ คือมันต่างกันแน่ๆ ความตื้นลึกหนักเบาก็คนละอย่าง แต่เชื่อมั้ย บทสนทนาบางครั้งกับบางคนนี่เราว่ามีคุณค่ามากเทียบเท่าการอ่านหนังสือดีๆ เล่มหนึ่งเลย

ชื่นชมนิสัยรักการอ่านของคุณมาก พยายามจะเอาเยี่ยงอย่าง เพราะที่บอกว่าคุยกับคนเยอะ มันก็เทียบเคียงหรือชดเชยไม่ได้หรอกกับรสวรรณกรรม คนละรส คนละความรัก ซึ่งเราชอบทั้งสองอย่าง ก็ดันๆ ตัวเองอยู่เสมอที่จะให้มันสัมพันธ์สมดุล คุณก็คงเห็นด้วยแหละว่า หากขาดปีกข้างหนึ่งข้างใดไปข้าง แม่งน่าเสียดาย อาจจะเรียกว่าเสียชาติเกิดแบบนั้นก็ได้.

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...