the letter
the letter

ชาวเกาะกลับบ้าน : พายุที่กรมอุตุฯ ไม่ได้แจ้งเตือน

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

 

ผมกลับมาอยู่กรุงเทพฯ ได้สี่ห้าวันแล้ว สำหรับผม ที่เกิดและโตในกรุงเทพฯ มากว่าสี่สิบปี ช่วงปลายปีคาบเกี่ยวไปถึงต้นปี เป็นช่วงเวลาที่ดีที่สุดสำหรับเมืองนี้ อุณหภูมิที่ต่ำลง 5-10 องศาในเวลานี้ทำให้ท้องฟ้าและอากาศสวยขึ้น
ผู้คนก็ยิ้มแย้มแจ่มใส พลอยทำให้จิตใจเราชุ่มชื่นขึ้นเยอะ

ผมกลับมาคราวนี้นอกจากเพื่อพบปะมิตรสหายและคนในครอบครัวแล้ว ยังมีเรื่องโรงพิมพ์ที่ต้องสะสางและวางระยะใหม่

ก่อนไปอยู่พะงัน คาดและคิดว่าการงานและธุรกิจที่กรุงเทพฯ จะเป็นไปในทางหนึ่ง ทางที่ดีแหละครับ ไม่งั้นคงไม่กล้าคิดจะไป แต่เมื่อจากไปแล้ว ทุกอย่างไม่ได้เป็นไปอย่างนั้น ไม่ได้สวยหรูอย่างที่คิด

ใครๆ หลายคนที่นี่ (กรุงเทพฯ และภาพพิมพ์) ไม่ได้พอใจกับความเป็นไปของมัน สิ่งแรกที่ผมต้องทำก็คือ ยอมรับว่าตัวเองได้คาดและคิดผิด เริ่มจากการยอมรับ รับผิด จะดีกว่าปฏิเสธความจริง สิ่งนี้น่าจะทำให้เท้าผมติดอยู่กับผืนดินมากกว่า เท้าที่ติดกับดินก็น่าจะทำให้ผมออกแรงเหยียบแล้วก้าวเดินออกไปได้

 

the letter

 

ผมกลับมาถึงวันแรกก็เข้าไปที่โรงพิมพ์ทันที เข้าไปคุยแล้วก็คุยกับเพื่อนร่วมงานหลายคน เลิกงานก็พบปะพูดคุยกับมิตรสหายหลายท่าน คุยที่โรงพิมพ์เพื่อให้รู้สึกและเข้าใจสถานการณ์ที่เป็นจริงที่สำแดงความเป็นไปผ่านตัวเลขในงบการเงินของบริษัท คุยกับมิตรสหายเพื่อให้หายคิดถึงและแสดงความรู้สึกที่ดีต่อกัน

ผมจากไปสี่เดือน โทรฯ คุยกับพนักงานที่โรงพิมพ์ก็หลายครั้ง แต่ก็ไม่เหมือนกับตอนที่ได้มาอยู่หน้างาน คุยกันตัวเป็นๆ ยิ่งถ้าไม่ใส่หน้ากาก (หน้ากากอนามัยป้องกันภัยโควิด) ทำให้เรารับรู้อะไรหลายอย่างมากกว่าเยอะ กังวล โกรธขึ้ง ยินดี คิดถึง สิ่งเหล่านี้ชัดเจนและชัดแจ้งกว่าเยอะเวลาเราอยู่กันต่อหน้า

สี่ห้าวันที่กรุงเทพฯ และโรงพิมพ์ พอจะทำให้ผมสรุปบทเรียนจากการออกนอกบ้านครั้งแรกในชีวิตได้ว่า ผมรักงานที่โรงพิมพ์แค่ไหน และยินดีที่จะจ่ายบางอย่างในชีวิตผมเพื่อให้มันดำเนินต่อไปอย่างราบรื่น ถ้าให้เลือกว่าโรงพิมพ์อยู่ได้ กับการที่ผมได้อยู่พะงัน ผมเลือกอย่างแรกก่อนอย่างไม่ต้องสงสัย อยู่ได้หมายความว่าอยู่ได้อย่างดี พนักงานและผู้ถือหุ้นมีกินมีใช้อย่างพอสมควร วันไหนอยากกินสุกี้เอ็มเคกับครอบครัวก็ควรจะได้กิน อยู่ได้ต่างกับการอยู่อย่างกัดก้อนเกลือกิน ใครทำธุรกิจแล้วลูกน้องบริวารต้องกระเบียดกระเสียร ผมว่าต้องคิดให้ดีว่าจะมีอยู่หรือเลิกไปซะดีกว่า

แต่ก็อย่างว่าครับ ทำธุรกิจในประเทศนี้มันก็ยากพอสมควร อะไรที่ควรจะดีและมีให้ประชาชนก็มักจะขาดแคลน ยิ่งในเวลานี้ด้วย สถานการณ์โควิดและเศรษฐกิจก็พาให้เรากังวลยิ่งขึ้นไปอีก

วันก่อนไปเยี่ยมเพื่อนคนนึงที่โรงงานไฟไหม้ เขาก็บ่นกับผมอย่างยาวยืดถึงการที่เจ้าหน้ารัฐและหน่วยงานต่างๆ พากันหาประโยชน์จากความเดือดร้อนของธุรกิจเค้าในครั้งนี้

วันก่อนขับรถผ่านไปแถวบางลำพูเพื่อไปกินข้าวต้มร้านเพ่งเพ้ง ผมเห็นว่าประตูโฮสเทลที่พี่หนึ่งมักพักเสมอเวลามากรุงเทพฯ ก็ปิดอยู่ ไม่รู้จะว่าปิดชั่วคราวหรือถาวร

 

the letter

 

ตอนกลับมาโรงพิมพ์วันแรกๆ มันเหมือนนักบอลที่ร้างสนามไปสักสิบนัด พอได้ลงสนามก็อาจเคอะเขิน เก้ๆ กังๆ บ้าง แต่ก็เต็มไปด้วยความกระหายและกระตือรือร้น ไม่นานก็เริ่มรู้ว่าตำแหน่งที่เหมาะ ท่าที่ถูกต้องควรเป็นอย่างไร
อาจไม่เหมือนที่เล่นตอนวัยหนุ่มๆ แล้ว แก่ตัวลงก็ต้องรู้ว่าเราควรวางตัวเองอยู่หนใด กำลังใจเหมือนเดิม แต่กำลังกายจะเป็นตัวกำหนดพื้นที่ที่ควรยืนและวิ่งอยู่ในสนาม

ผมไม่ได้เสียใจที่ตัดสินใจไปพะงัน แต่เสียใจที่การไปพะงันทำให้หลายคนที่นี่ผิดหวัง ผิดหวังที่ผลประกอบการโรงพิมพ์ไม่เป็นไปอย่างที่ผมได้ประกาศไว้ ผิดหวังที่โบนัสไม่สมเหตุสมผลกับเวลาและกำลังที่พวกเขาได้ทุ่มเทไปทั้งปี
ที่พูดทั้งหมดนี่ ไม่ได้คิดว่าตัวเองสำคัญที่สุด แต่คิดว่าการจากไปของผมมันแค่ทำให้เรือเสียสมดุล เหมือนกระโดดแบบถีบตัวออกจากเรือแทนที่จะค่อยเหนี่ยวและดึงตัวเองขึ้นอย่างนุ่มนวล แค่นี้ก็ทำให้เรือแกว่งและโคลงเคลงกว่ากันเยอะแล้ว

คิดกับตัวเองตอนนี้แค่ว่า เอาละ เดี๋ยวว่ากันใหม่ ตั้งแต่ปีหน้าจะกลับมาเข้ากรุงเทพฯ และโรงพิมพ์เดือนละครั้ง
อาจต้องห่างลูกกับเมียบ้างเดือนละหนึ่งสัปดาห์ หรือประมาณห้าวันหกคืน แต่ก็น่าจะพอทำอะไรให้สมดุลขึ้นได้บ้าง

อากาศที่ดีและอุณหภูมิที่ไม่ร้อนเกินไปใน กทม. ทำให้ทุกอย่างดูซอฟท์ลงได้ อะไรๆ ที่น่าเดือดพล่านจากการถกเถียงก็ไม่เดือดไปซะทุกครั้ง คิดว่าตัวเองโชคดีมากๆ ที่กลับมาสางปัญหาและหาทางออกในช่วงเวลานี้ บางทีเครียดๆ จากงานแล้วแวบไปสูบบุหรี่ท่ามกลางแสงสวยและอากาศเย็นสบายข้างๆ โรงพิมพ์ก็คลายความกดดันไปได้เยอะ

นึกสภาพไม่ออกเหมือนกันว่าถ้าผมเองต้องเจอกับสถานการณ์แบบนี้ในช่วงฤดูร้อนหรือฤดูฝน กำลังใจจะถดถอย บทสนทนาที่มีกับผู้คนจะเดือดพล่าน และความอึดอัดในใจของผมจะมากขนาดไหน

ขออภัยที่จดหมายฉบับนี้ดูจะเป็นการพร่ำบ่นซะเยอะครับพี่ แต่ก็ดีนะครับ ทำให้ผมนึกถึงคำของมิตรสหายผู้หนึ่งบนเกาะว่าพวกเค้าเป็น ‘สายชีวิตจริง’

ชีวิตจริงๆ มันก็คงเป็นอย่างนี้แหละครับ ดิ้นๆ หาท่าที่เหมาะกับตัวเองไปย่อมดีกว่าการนั่งนิ่งๆ บนเบาะที่เสี่ยงต่อการเป็นแผลกดทับ

ได้ยินมาว่าทั้งลมฟ้าและผู้คนที่น่านม่วนชื่นกันน่าดู จึงขอแสดงความยินดีมาด้วย ณ ที่นี้ครับ

 

รักและคิดถึงเสมอ

จ๊อก@ภาพพิมพ์

 

 

nandialogue

 

ตอบ จ๊อก

เห็นชื่อที่คุณใช้ลงท้ายจดหมายฉบับนี้ จ๊อก@ภาพพิมพ์ แล้วรู้สึกวูบๆ วาบๆ มันอาจเกี่ยวกับเรื่องที่เล่าด้วย คือธุรกิจไม่ได้อยู่ในวันเวลาสวยงามนัก กับอีกอย่างคือการได้กลับบ้าน ได้กลับมาหาความรัก สี่เดือนบนเกาะ และจดหมาย 16 ฉบับที่ผ่านมาคุณไม่เคยใช้ชื่อนี้เลย ทั้งที่มันเป็นตัวตนที่น่าจะเรียกได้ว่าชัดที่สุด ใหญ่ที่สุด เป็นชื่อที่เอ่ยขึ้นมาแล้วสิ้นสงสัย สำหรับเรา จอห์น พะงัน ไม่ใช่ความลวง แต่มันคล้าย ‘ประวัติศาสตร์ที่เพิ่งสร้าง’ เป็นข้อเท็จจริงใหม่ ชีวิตใหม่ ซึ่งพอได้ย้อนไปดูใบหน้าเดิม (ที่เราไม่ได้อยากลืม หรือลบล้าง รื้อทิ้ง) มันก็กระตุกเตือนความทรงจำ ความเป็นจริงทั้งหลายทั้งปวงอันเป็นเลือดเนื้อแก่นแกน ต่อให้ทิ้งเมืองกรุง ไปอยู่เกาะ สายธารอดีตกับปัจจุบันนอกจากตัดกันไม่ขาด บางครั้งยังแสดงบทบาทคมชัดขึ้น

มาอยู่ที่น่านใหม่ๆ (สวนไผ่รำเพย) จะออกจากบ้าน ไปไหนมาไหน ก็ทำเหมือนตอนอยู่ห้องเช่าที่กรุงเทพฯ คือปิดประตู ล็อกกุญแจ จบ ทำเหมือนกัน แต่ผลออกมาเป็นไงรู้มั้ย หนูกัดทะลุมุ้งลวดเข้ามาออกลูก ฟูกหมอนกระจุยกระจาย กองทัพปลวกบุก ฯลฯ คือถึงบ้านเหนื่อยๆ เปิดประตู เห็นสภาพห้องหอของตัวเองแล้วก็แทบคลั่ง มันอะไรกันวะเนี่ย แค่จากไป 10-15 วัน บ้านกูแม่งกลายเป็นสวนสัตว์ซะงั้น กว่าจะตั้งหลัก ปรับตัว ปรับใจได้ก็ใช้เวลาสองสามฤดูฝน ค่อยๆ ดูว่าอะไรแก้ไขได้ แก้ อะไรแก้ไม่ได้ ต้องบริหารจัดการ ลดความสุ่มเสี่ยงสูญเสียยังไงบ้าง ก็ว่ากันไปตามเกม ซึ่งพออยู่นาน พอรู้ดินรู้ฟ้า รู้นิสัยสัตว์เถื่อน ก็พอประคับประคอง เอาตัวรอด

แน่นอนว่ามันไม่เหมือนกันหรอก ระหว่างธรรมชาติ สัตว์ สิ่งแวดล้อมของเราที่น่าน กับสิ่งที่คุณพบเผชิญคือผู้คน และกลเกมธุรกิจ บางมุมที่พอจะเทียบเคียงกันได้คือทุกการเคลื่อนย้ายจากลามันส่งผลสะเทือนที่เราอาจคาดไม่ถึง กรณีที่เกิดขึ้นกับคุณ เอาใจช่วยให้พ้นผ่านไปได้ด้วยดี (เหมือนลมฟ้าในเดือนธันวาคม) คงไม่ง่ายนักเพราะประเทศที่รักของเรายามนี้แทบไม่มีปัจจัยบวกเลย แต่เมื่อเห็นข้อความทัศนะว่าการทิ้งเมืองไปอยู่เกาะ การได้ออกจากบ้านยาวๆ ครั้งแรกในชีวิต ทำให้ตระหนักว่ารักงานที่โรงพิมพ์มากแค่ไหน เราว่าไม่เลวนะ ประสบการณ์คุณเพียบพร้อมอยู่แล้ว ทีมงานแข็งแรง ลูกค้าเชื่อมั่นไว้ใจ และด้วยความรักนี้จึงไม่มีเรื่องใดน่าหวาดกลัว

กลัวทำไม นักบอลเดินทางถึงสนามแล้ว นี่มันโมงยามของความสุข จะเหน็ดเหนื่อยแค่ไหน นี่ก็คือเกมของเรา

ทั้งชีวิต เราได้ยินคำว่าเสียใจและผิดหวังมามาก จดหมายฉบับนี้คุณก็พูดแบบนั้น –เสียใจที่การไปอยู่พะงันทำให้หลายคนที่นี่ผิดหวัง, ผิดหวังที่ผลประกอบการโรงพิมพ์ไม่เป็นไปตามที่ประกาศไว้, ผิดหวังที่โบนัสไม่สมเหตุสมผลกับเวลาและกำลังที่ทุกคนทุ่มเท

ทั้งชีวิต เราได้ยินเสียงจากผู้ยิ่งใหญ่ คนใกล้ชิดรอบตัว และอีกบ่อยครั้ง เป็นเสียงของตัวเอง ที่แย่ก็คือไม่น้อยเลยที่ต่อมาพบว่าสุ้มเสียงเหล่านั้นมีความหมายเดียวกับความว่างเปล่า

ฟังเหมือนคนสิ้นหวัง ซ้ำมีอาการใจร้ายและหมิ่นประมาทกันกลายๆ ใช่มั้ย

อยากส่งเสียงดังๆ ว่าไม่ใช่ และตรงกันข้ามเลย วาระปีใหม่ ในฤดูมรสุมนอกพิกัดท้องทะเล เรามองความรู้สึกเสียใจและผิดหวังของคุณว่าเป็นจุดเริ่มต้นของการอยู่กับความจริง รู้สึกแล้ว เห็นแล้ว ก็ออกแรงลงมือแก้ไข ใครพบเจอก่อนก็ส่งต่อบทเรียน ถ่ายทอดประสบการณ์ กรมอุตุนิยมวิทยาอาจแจ้งเตือนลม ฟ้า และพายุได้ แต่กับเรื่องชีวิตก็เห็นจะมีแต่แววตาและมือไม้ของมิตรสหาย ที่ส่งมอบโอบกอดสู่กัน

ขอทุกคนได้รับคำอวยพร.

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...