สวัสดีครับพี่หนึ่ง
บอกไว้เผื่อพี่อาจจะอยากรู้ จดหมายที่พี่อ่านอยู่นี้เป็นร่างที่ 3 แล้วครับ เขียนหาพี่มาสองวัน สองฉบับแต่มันเหมือนความคิดฟุ้งกระจาย ไม่เป็นรูปเป็นร่างก็เลยคาร่างที่เขียนไว้อย่างนั้นแล้วเขียนขึ้นมาใหม่ ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะตั้งแต่มาอยู่เกาะ ผมกับครอบครัวแทบไม่ได้ออกไปไหน ส่งลูกไปโรงเรียน และพาไปเล่นกีฬาหลังเลิกเรียน เวลาที่เหลือมักจะอยู่บ้านแล้วปล่อยให้ศิลป์เล่นกับเซเฟอร์ ลูกชายของดีน ช่วงนี้พวกเค้าเริ่มปรับตัวหากันได้ดีขึ้น จากที่ดีตอนที่เจอกันวันแรกๆ ทะเลาะกันบ่อยขึ้นเมื่อผ่านไปสักสองสัปดาห์ ตอนนี้ผ่านมาเกือบเดือน ทั้งสองเริ่มรู้ใจกันแล้วว่าใครชอบอะไร ไม่ชอบอะไร
จากแย่งก็เปลี่ยนเป็นยอม กลายเป็นคู่หูตัวน้อยคอยดูแลและต้อนรับแขกที่มาเยี่ยมบ้านอยู่บ่อยๆ
ครั้งนี้บ้านที่เราอยู่เริ่มเหมือนเป็นบ้านมากขึ้น จริงๆควรจะเรียกว่าห้องเช่าซะมากกว่า มีสองห้องนอน ห้องนอนใหญ่ไว้ให้พ่อแม่นอนและใช้ทำงาน ห้องนอนจิ๋วไว้ให้ลูกพอซุกหัวนอน หนึ่งห้องน้ำ หนึ่งห้องครัวอยู่บริเวณระเบียงหน้าบ้านที่ใช้เป็นที่กินข้าวและรับแขกด้วย
พื้นที่โดยรวมเล็กกว่าบ้านที่กรุงเทพกว่า 70 เปอร์เซนต์ แต่ผมกับภรรยาก็รู้สึกว่ามันก็พอเพียงแล้ว ดูแลง่ายกว่าเยอะ กวาดบ้านทีแค่ห้านาทีก็เสร็จ คิดงงๆตัวเองเหมือนกันว่าจะทำบ้านที่กรุงเทพฯ ให้ใหญ่ขนาดนั้นไปทำไม หน้าห้องพักเรามีบ่อน้ำที่ทำจากท่อซีเมนต์อยู่สามบ่อ ตอนมาแรกๆมันเป็นบ่อน้ำเขียวเอื๋อให้เป็ดสองตัวว่ายน้ำเล่น เป็นที่วางไข่ของกบ เขียด คางคก และเป็นแหล่งเพาะพันธุ์ลูกน้ำของยุงที่ชุกชุมเป็นช่วงเวลาประจำในแต่ละวัน
ถึงจะเป็นแค่บ่อที่ทำง่ายๆ แต่ดีนก็วางแผนออกแบบระบบหมุนเวียนไว้ มีปั๊มดึงน้ำออกจากบ่อที่อยู่ต่ำสุดไปยังรูปปั้นนางฟ้าเชยๆ ที่เทน้ำที่ปั๊มขึ้นมาออกจากโถลงไปยังบ่อบนสุด น้ำจากบ่อบนบางส่วนจะไหลลงถังกรองแล้วต่อท่อไปยังบ่อกลางที่เซาะร่องตรงปากบ่อไว้หน่อยเพื่อให้น้ำที่ผิวไหลกลับไปยังบ่อที่อยู่ต่ำที่สุด
ผมกับภรรยาคิดกันว่าน่าจะดีที่หาปลามาเลี้ยงให้เพลิดเพลินตา เราใช้เวลาวิดน้ำล้างบ่ออยู่ครึ่งวัน โดยมีเซเฟอร์มาช่วยงานอย่างแข็งขัน ตกบ่ายดีนมาช่วยสับท่อและต่อระบบหมุนเวียนน้ำ คล้อยถึงเย็นก็ได้บ่อน้ำใสๆ สามบ่อรอปลาและต้นไม้น้ำมาประดับประดา
เราขับรถเข้าไปที่ตลาดเจอร้านขายปลาอยู่หนึ่งร้าน มีปลาให้เลือกอยู่ไม่กี่ชนิด ซื้อปลาสอดมาหกตัว สอดกุหลาบสาม และสอดมิกกี้เมาส์สาม ไม่รู้ว่าทำไมถึงซื้อสีละสามตัว แต่รู้ว่าซื้อสองตัวไม่ดีแน่ๆ เหมือนกับเวลาผมเห็นเด็กเล่นกัน ถ้ามีสามมักจะอยู่กันอย่างสงบและราบรื่นกว่าอยู่กันแค่สองคน
ผมชื้อต้นไม้น้ำมาหนึ่งกระถาง กับได้สาหร่ายหางกระรอกจากเจ้าของร้านแถมมาอีกเส้น
ปล่อยปลาวางต้นไม้ลงได้ไม่กี่วัน ปลาเจ้าก็กระโดดออกไปตายข้างๆ บ่อไปห้าตัว เหลือสอดแดงกุหลาบแค่ตัวเดียวในบ่อกับต้นไม้น้ำและสาหร่ายหางกระรอกอย่างละต้น แทนที่จะกลับไปซื้อปลาที่ร้านเดิม
ครั้งนี้ผมลองให้ภรรยาหาต้นไม้น้ำและปลาจาก Lazada ปรากฏว่ามีขายครับ ครั้งนี้มีตัวเลือกมากขึ้นเลยสั่งปลาสอดคละสีมาอีก 8 ตัว กับต้นไม้น้ำหลากพันธุ์อีกสี่ห้ากระถาง รอปลาอยู่สามวันด้วยความกระวนกระวายเพราะรู้ว่าพวกมันจะถูกส่งผ่านมาทาง Kerry จนถึงวันที่ข้อมูลในโทรศัพท์บอกว่าพวกมันอยู่บนเกาะแล้วรอการจัดส่ง เรารอที่บ้านกันถึงหกโมงเย็นก็ยังไม่เห็นวี่แววของคนส่งของ เลยขับรถไปที่ศูนย์กระจายสินค้าแล้วถามเอาพัสดุมีชีวิตกับพนักงาน แรกไปถึงก็ตกใจเพราะเห็นกล่องกองกันเป็นภูเขาอยู่หน้าร้าน คิดเอาว่าถ้ากล่องใส่ปลาเราถูกทับอยู่ข้างล่างสุดคงเป็นเรื่องสะเทือนใจไม่น้อย ในที่สุดพนักงานก็เอากล่องขนาดครึ่งกล่องรองเท้าออกมาให้เรา ผมกับภรรยาตัดสินใจไปลุ้นเปิดกล่องกันที่บ้าน
เปิดกล่องมาพบเจอปลาสอดสิบตัวไล่กินลูกน้ำอยู่ในถุงอย่างสบายใจพลอยทำให้เราคลายความกังวลเป็นปลิดทิ้ง ต้นไม้น้ำที่สั่งมาก็มีใบเหลืองไปบ้างแต่ยังมีชีวิตอยู่ทุกต้น เราเอาไม้น้ำลงบ่อ แล้วแช่ถุงใส่ปลาเพื่อปรับอุณหภูมิสักพักก่อนปล่อยพวกมันลงบ่อ ด้วยว่าสั่งไปแบบคละสี บ่อปลาสอดของเราเลยดูมีสีสันน่าดูกว่าเดิมเยอะ จากที่เคยมีแต่สีแดง ครั้งเรามีสอดเหลือง สอดดำ และสอดขาวเพิ่มขึ้นมาอีก เวลาพวกมันขึ้นมากินอาหารพร้อมกันเกิดเป็นเฉดที่สวยกว่าเก่าเยอะ หลายวันผ่านไปได้ด้วยดี มีบางตัวหายไปจากบ่อบ้าง แต่ส่วนใหญ่ที่ยังอยู่กันครบ แต่เมื่อสัปดาห์ก่อนตอนเช้าระหว่างกินกาแฟ ผมพบว่าสอดดำที่มีอยู่สองตัวนั้นหายไปจากบ่อ เดินไปดูรอบๆ บ่อก็พบตัวหนึ่งนอนอยู่พื้นทรายใกล้ๆ ฝูงปลาที่ว่ายในบ่อกลับดูสวยน้อยลงเวลาไม่มีสอดสีดำอยู่ คล้อยจนบ่ายต้นๆ เหลือบไปเห็นสอดดำที่นอนตายอยู่ ก็เลยคิดว่าเอามันไปเป็นอาหารให้ปลาอีกบ่อดีกว่า ตอนที่จะเอื้อมไปหยิบมันนั้น สอดดำตัวนั้นกลับดิ้นและสะบัดตัว ผมนี่แทบช๊อคครับ ผมทิ้งมันไว้ร่วมหกชั่วโมงหรืออาจจะมากกว่า แต่ลูกพี่สอดดำดันยังเสือกไม่ตาย ผมรีบประคองมันลงบ่อปลาสอดดังเดิม
สอดดำกลายเป็นสอดลาย เม็ดทรายยังติดฝังอยู่ตามเกล็ดสีดำทั่วลำตัวของมัน มันว่ายไปสะบัดตัวไปด้วยหวังว่าจะให้ทรายหลุดร่อน ครีบข้างนึงคงเคล็ดขัดยอกอยู่เลยยังไม่สะบัด มันว่ายน้ำแบบกระเผลกๆ ไปรอบบ่อ เหมือนกับปลาผีสิง
ส่วนข้าพเจ้า จอห์น พะงัน ได้เปลี่ยนอาชีพชั่วคราวอย่างกระทันหัน จากยมทูต (ปลา) กลายเป็นหน่วยกู้ชีพ (ปลา) ไปอย่างงงๆ วันรุ่งขึ้นผมรีบตื่นมาดูเจ้าสอดดำอีกครั้ง หลังจากช่วยมันกลับลงบ่อไปได้ก็พลันเกิดความรักต่อมันขึ้นมาอย่างประหลาด ปลาสอดที่มีอยู่ร่วมสิบตัวในบ่อนี่ผมจำได้แทบทุกตัวนะครับ สอดเหลือง สอดขาวแต่ละตัวมีเฉดสี ลักษณะลำตัว และส่วนหางที่แตกต่างกันออกไป พฤติกรรมของแต่ละตัวก็ไม่เหมือนกันครับ บ้างเกเรทำตัวเป็นราชาประจำบ่อ บ้างชอบสังสรรค์ว่ายเวียนกับเพื่อนปลาตัวอื่นๆ บ้างสันโดษชอบแทะกินตะไคร่ตามขอบบ่อเพียงลำพัง แต่สอดดำนี่เหลืออยู่แค่ตัวเดียวผมรู้สึกว่าต้องดูแลเป็นพิเศษหน่อย หนึ่งวันหลังจากการโกงความตายของมัน ผิวเกล็ดของมันเป็นสีดำตามปกติแล้ว เหลือริ้วรอยถลอกอยู่เพียงเล็กน้อย ครีบข้างซ้ายที่เคยไม่ขยับตอนนี้กลับมาโบกสะบัดได้แล้ว ผ่านไปหลายวันสอดดำทรหดตัวนั้นก็ยังว่ายวนอยู่ในบ่อเป็นปกติ นี่พอทำให้ผมวางใจได้ว่าจะไม่พบมันข้างบ่ออีก
แต่ก็ไม่วายครับ วันๆ นอกจากจะดูปลาในบ่อแล้ว ผมก็มักจะคอยชำเลืองที่พื้นดินข้างๆบ่อว่ามีสิ่งมีชีวิตอะไรมาดิ้นกระแด่วๆ อยู่รึเปล่า วันนึงผมจุ่มมือลงไปในบ่อเพื่อขยับต้นไม้น้ำบางกระถาง ปรากฏว่าสอดดำตัวนั้นมันว่ายมาที่มือผมเป็นตัวแรกและตอดมือผมอยู่สองสามครั้งก่อนว่ายกลับลงไปยังก้นบ่อ ปกติสอดดำมักจะหวงตัวและระแวดระวังมนุษย์มากกว่าสอดสีอื่น นี่ทำให้อดคิดไม่ได้ว่ามันจะรู้หรือตั้งใจรึเปล่าที่มาทักทายสัมผัสกับมือที่พามันพ้นไปจากความตาย และวันเดียวกันนั้นนอกจากลูกปลาสอดสีอื่นๆ ที่เริ่มมีให้เห็นแล้ว ผมเห็นลูกปลาสอดสีเข้มกว่าตัวอื่นๆ ว่ายอยู่ข้างๆบ่อ ไม่เพียงแต่ผ่านพ้นจากวิกฤติชีวิตแล้ว ลูกพี่สอดดำสุดที่รักของผมยังออกลูกสืบทายาทมาไว้ให้ผมดูเพิ่มขึ้นอีก โคตรชื่นชมเลยครับ
ผมเห็นปลาสอดหลากสีในบ่อน้ำหน้าบ้านแล้วอดคิดเปรียบเปรยกับชีวิตบนเกาะพะงันไม่ได้ครับ พวกเรามีกันหลากหลาย บางสีผิวหรือบางเชื้อชาติอาจมีมากหน่อย แต่ก็อยู่ร่วมกันได้ในเกาะเล็กๆแห่งนี้ ขาดไปสักสี สักเชื้อชาติก็อาจไม่เป็นพะงันอย่างที่ผมรับรู้และชื่นชมอย่างทุกวันนี้
ปกติผมมักจะเล่าเรื่องคนบนเกาะ ไม่รู้ว่าพี่จะเบื่อเรื่องสัตว์บนเกาะที่ผมเล่ารึเปล่า แต่อย่างที่ได้เคยเกริ่นไปครับ กลับมาคราวนี้คุยและดีลกับสัตว์เยอะกว่าปีที่แล้วเยอะ บางทีจึงอาจมีสัตว์มีอยู่ในจดหมายของปีนี้เยอะหน่อย
ก้าบๆ กุ๊กๆ มอๆ โฮ่งๆ
จ๊อก
ปล. ก่อนมานั่งเขียนจดหมายฉบับนี้หาพี่ เมียเล่าให้ฟังว่าเพิ่งเสร็จจากการทะเลาะกับไก่ เธอยืนด่ามันอยู่หน้าบ้าน เพราะมันดื้อคอยแต่จะเดินเข้ามาเกะกะในครัว 555
ตอบ จ๊อก
อ่านจดหมายคุณด้วยความสนุกเหมือนเคย ดีใจที่ได้ยินเรื่องเล่านกหนูปูปลา ประเด็นก็คือคนไม่รักเด็ก ไม่รักสัตว์อย่างเรา อ่านแล้วมันก็จะงงๆ หน่อยว่า กูจะแชร์อะไรกับพี่เค้าดี เอาตรงนี้ให้เคลียร์ๆ ก่อนละกัน คำว่าไม่รักเด็ก ไม่รักสัตว์ แปลว่าอยู่คนละแนวคิดกับคำตอบนางงาม (ยุคเก่า) คุณอายุห่างจากเราราวสิบปี จะทันมั้ย ไม่รู้ ที่มันจะมีภาพนางงามรักเด็ก เออ แบบนั้นน่ะที่เราไม่ใช่ เจอเด็ก ไม่ได้จะกระโดดถีบ หรืออยากบีบคอ ไม่ใช่อีกเช่นกัน เราเอ็นดูเด็กๆ พอสมควร เข้าใจว่าเทียบเท่ามนุษย์ปกติสามัญ และมีทัศนคติไปทางบวก (โดยส่วนตัว เราคิดว่าการมีลูกเป็นเรื่องที่ดี) ทุกครั้งที่รำคาญเด็ก วิเคราะห์แล้วพบว่าแท้จริงเกลียดพ่อแม่มันมากกว่า มึงเลี้ยงลูกประสาอะไร กับเรื่องสัตว์ก็คล้ายกัน คือไม่ได้เกลียด หรือเกลียดก็เป็นตัวๆ และเป็นเรื่องๆ ไป (เราค่อนข้างมั่นใจว่าไม่ใช่คนมีนิสัยเหมารวม) เช่น ผึ้ง กลุ่มแก๊งหรือคณะที่ชอบเข้ามาทำรังในบ้านเรา โคตรเกลียด มึงหารูเข้ามาทางไหน กูหาเท่าไรก็ไม่เจอ (ถ้าเจอ จะปะอุด ซ่อมบำรุง) ก่อนหน้าแล้งเดือนห้าอย่างนี้ เป็นช่วงเวลาที่ผึ้งแสวงหาที่อยู่สงบเย็นมากๆ และบ้านเราก็มักเป็นเป้าหมายของคณะพี่เขาเสมอ (สองสามปีติดต่อกัน มันมาจนรู้ว่าเดือนฤดูแบบนี้ เอาอีกแล้ว เอาอีกแล้ว เกมเก่าๆ ปัญหาเดิมๆ ก่อไฟไล่แม่งก็ไม่กลัว) หนู (เกลียดมาก ตัวที่กัดมุ้งลวดเข้ามาออกลูกในบ้าน) ตัวอื่นๆ ก็ไม่ชอบหรอก แต่เรื่องของมึง ต่างคนต่างอยู่ เอาว่าอย่ามายุ่งกับบ้านกูก็พอ ไม่ชอบ เข้าใจป่ะ ส่วนตะขาบและงู ก็คล้ายๆ หนู ถ้าต่างคนต่างอยู่ก็จบ ทางที่เราเดิน ห้องที่เรานอน พวกสูอย่ามายุ่ง เข้าใจมั้ย โลกออกกว้าง มึงไปบ้านคนอื่นบ้างก็ได้โว้ยยย (ที่เล่านี่คือ เพิ่งเจอตะขาบยักษ์เข้ามาผงาดริมหน้าต่างห้องนอน เข้าใจแหละว่าพี่ท่านคงไม่คิดอ่าน อธิษฐานจะเข้ามาสถานที่แคบคับลับเร้นแห่งนี้หรอก ประเด็นคงเป็นความผิดพลาด ไม่ตั้งใจ สับสน หรือ ฯลฯ แต่มึงเข้ามาห้องกูไง มันก็เดือนร้อนไง เออ) นึกออกเร็วๆ ก็เท่านี้ สัตว์อื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวก็อย่าได้น้อยใจ และหาว่าเราเหมารวม อ้อ ลิงอีกอย่าง ไม่ชอบว่ะ โดยเฉพาะเวลาไปกางเต็นท์บนเขาใหญ่ แล้วมันมาปล้นอาหาร ใช้คำว่าปล้นแปลว่าเรานั่งอยู่เห็นๆ มันจะเอาซะอย่าง พวกแม่งเยอะ มือมันไว มันหิว หรือมันจะเอา เราจะทำอะไรได้ (บ้างบอกว่ามันเปิดตู้เย็นได้แล้ว บางเสียงให้ข้อมูลเพิ่มอีกว่า รถ มันก็เปิดได้ เอากะมันสิ)
แท้จริง อย่างเรื่องลิง มันก็ย้อนมาเรื่องบริหารจัดการของมนุษย์เรานี่แหละ คืออยู่ๆ มันคงไม่ได้นั่งเครื่องบิน ต่อวินมอเตอร์ไซค์เข้ามาหาเราที่สวนไผ่รำเพยหรอก แต่ด้วยเราไปบ้านมัน และระบบระเบียบระหว่าง ‘คนกับสัตว์’ อาจยังไม่รอบคอบรัดกุมพอ ต่างฝ่ายต่างจึงยังอยู่ที่สถานะที่คุกคามทำร้ายกัน
เราเคยเข้าวงการปลาแบบที่คุณกำลังอินอยู่ ตอนเรียน ม.ปลาย เข้าและออกโดยเร็ว เพราะไม่ใช่ความสนใจจริงๆ มีสิ่งอื่นเร้ามากกว่า (เช่น ฟุตบอล) เรื่องปลาสอดที่คุณเล่ามา เราก็เคยเลี้ยง (ไม่กี่ชนิดหรอก วนเวียนอยู่แค่ปลาสอด ปลาหางนกยูง เอ้า เกือบพลาดเขียนเป็นปลานิล สงสัยปิ้งย่างกินบ่อย) เลี้ยงและลืมไปชาติหนึ่งแล้ว ไม่เคยฟังใครออกเสียงถ้อยคำนี้มานมนาน พอคุณพูดมา ก็เลยนึกถึงบ้านเช่าที่ราชบุรีหลังนั้น สมัยที่พ่อแม่เรากลับมาคืนดี ใช้ชีวิตอยู่ร่วมกันพร้อมหน้าลูกๆ ทั้งสี่ บางช่วงทั้งพ่อแม่ซ้อนมอเตอร์ไซค์กันไปรับจ้างเกี่ยวข้าว ถ้าจำไม่ผิด น่าจะได้ค่าแรงวันละ 50 บาท ส่งลูกเรียนหนังสือทั้งสี่คน รีดผ้าโดยใช้เตารีดโบราณ ใช้ความร้อนจากก้อนถ่าน (ผลัดเวรกัน ใครรีดก่อน ก่อไฟ เตรียมฟืน) ค่ำๆ แม่นั่งปั้นไส้ขนม (ขนมใส่ไส้ เราช่วยปั้นบ้าง ปั้นไป แอบกินไป ไม่เคยยับยั้งใจได้ แม่งโคตรอร่อย) ที่ไม่ชอบที่สุดคือตอนแบกไปขาย ขายนะ ไม่ได้ปล้น ของก็ดี มีคุณภาพ ไม่ด้อยน้อยหน้าใคร ทำไมไม่ชอบค้าขายเลยก็ไม่รู้
สัตว์ชนิดเดียวที่เราผูกพันอยู่ตอนนี้คือแมว นังอ้อนกับอาย ถามคุณก่อนว่าอยากฟังหรือเปล่า เพราะถ้าเราเริ่มพูด บางทีสามวันคุณก็อาจยังฟังไม่จบ.
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน