สวัสดีจากเกาะพะงันครับ
วันนี้ผมกลับมาอยู่ที่เกาะแล้ว กลับมาถึงเกาะตั้งแต่วันอาทิตย์ที่ผ่านมาครับ พวกเราดื่มกินกับเพื่อนฝูงและญาติพี่น้องกันยันวันสุดท้ายของการไปเยือนกรุงเทพฯ ครั้งล่าสุด ดื่มด่ำและเมามายกันจนเตรียมแพ็คของขึ้นรถกันในคืนนั้นไม่ไหว ทำได้แค่ตั้งนาฬิกาให้ปลุกแต่เช้ามืด แต่ก็แปลกครับ ร่างกายและจิตใจเรามันจะรู้ว่ามีอะไรสำคัญในวันรุ่งขึ้น
ผมกับภรรยาตื่นกันมาตั้งแต่ตีสองโดยที่นาฬิกาปลุกไม่ทันดัง ทำให้มีเวลาร่วมสองชั่วโมงในการชงกาแฟ ดูดยา และแพ็คข้าวของลงกล่อง ข้าวของที่ต้องแพ็คกันก็คือกับข้าว (เวลาเราย้ายบ้านพักทีนึงภรรยาจะเอาของออกทั้งตู้เย็น ทำความสะอาดและเปิดประตูตู้เย็นทิ้งไว้) เครื่องปรุง อุปกรณ์ครัว ของเล่นลูก (เลโก้ซะเป็นส่วนใหญ่ ไว้มีโอกาสจะเล่าให้พี่ฟังอีกทีว่าเลโก้นั้นเป็นประโยชน์กับเด็กอย่างไรในมุมมองของผม) เสื้อผ้าอีกหนึ่งตะกร้า และชุดเก้าอี้กับโต๊ะสนาม
ครั้นจัดสัมภาระทั้งหลายเข้ารถเสร็จจึงอุ้มลูกชายจากเตียงให้ไปนอนต่อบนรถ
ล้อหมุนออกจากกรุงเทพฯ ตอนตีสี่ เกือบเก้าโมงเช้าก็ถึงอำเภอทับสะแกเพื่อแวะกินอาหารเช้า หลังๆ มานี้อำเภอทับสะแกคือจุดพักใหญ่ระหว่างเราเดินทางลงใต้เพื่อกลับเกาะหรือขึ้นเหนือเพื่อเข้ากรุงเทพฯ ด้วยตำแหน่งที่อยู่ตรงกลางพอดีระหว่างกรุงเทพฯ กับสุราษฏร์ธานี นอกจากนี้ยังมีร้านรวงเก่าแก่สองสามร้านที่ทำอาหารรสชาติดีอยู่ริมถนนหลักหมายเลข 4 ในย่านนี้ ไม่ต้องเสียเวลาแฉลบเข้าเมืองเพื่อหาอะไรอร่อยกินเหมือนอำเภออื่นๆ ในประจวบคีรีขันธ์ ทำให้เราพอใจที่จะพักทั้งรถทั้งคนกันที่นี่เสมอๆ
ระหว่างมื้ออาหารและคลายล้าจากการขับขี่ ผมกับภรรยาก็จะคำนวณกันว่าจะจัดการอย่างไรต่อกับเส้นทางที่เหลืออีกครึ่ง เช่นว่าใครจะขับไม้ต่อไป ลงเรือทันไหม ถึงบ้านเมื่อไร ต้องเร่งทำเวลาในเส้นทางที่เหลือหรือไม่ แล้วถ้าไม่ทันหรือดึกเกินไปจะอยากแวะนอนกันที่ไหนรึเปล่า
ระหว่างผมออกไปเดินเล่น สูบบุหรี่หน้าร้าน เพื่อรอพ่อครัวที่กำลังนึ่งติ่มซำและลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวอย่างแช่มช้า สายตาพลันเหลือบไปเห็นอ่างปลาเล็กๆ อยู่สองสามอ่าง ไปดูใกล้ๆ ก็พบว่ามีปลาสอดสีแดงสดทั้งเล็กและใหญ่ว่ายอยู่เต็มไปหมด
เจ้าของร้านปลูกบัวและเลี้ยงสาหร่ายไว้จนแน่นอ่าง ทำให้เจ้าปลาน้อยคงว่ายได้ไม่สะดวก ว่ายๆไปสักนิดก็ติดสาหร่าย ด้วยความติดขัดทางจราจรบนผิวน้ำนี้เอง เผยให้ผมเห็นเต็มตาถึงสีแดงแสนสดบนลำตัวเพรียวน้ำของพวกมัน เมื่อสีแดงสดตัดกับน้ำสีเข้มใต้ร่มบัวและสาหร่ายสีเขียวจัด ก็ปรากฏเป็นภาพงดงามยิ่ง ความงามบังเกิด กิเลสก็ก่อเกิดขึ้นในใจ จินตนาการไปถึงความน่าจะเป็นที่ปลาสอดแดงสายพันธุ์ทับสะแกไปว่ายเล่นอยู่กับปลาสอดตัวอื่นๆ ในบ่อที่พะงัน ผมเล่าเรื่องสีสันของปลาสอดให้ภรรยาฟัง
เธอตอบว่าก็ลองขอซื้อพี่เค้าสิ ผมเอ่ยปากกับพี่เจ้าของร้าน
แกว่าทำไมต้องซื้อ เอาไปเลยสิ พลางกุลีกุจอหาภาชนะให้ใส่ปลาน้อย ดังที่ได้เล่าไปครับ สาหร่ายมันอยู่เต็มอ่าง แค่เอาแก้วน้ำวักลงไปไม่กี่ครั้งก็ได้ปลามาสามสี่ตัว
ผมเอาขวดน้ำที่มีปลาอยู่สี่ตัวให้เจ้าของร้านดูเพื่อกล่าวขอบคุณและบอกว่าเอาไปแค่นี้นะ แกยังว่าพอหรือ เอาไปอีกสิ เหมือนกับว่าเป็นความภูมิใจที่ได้ส่งต่อปลาที่แกดูแลมาให้ไปแพร่พันธุ์ต่อในดินแดนอื่น เราเอาพวกมันใส่ขวดน้ำดื่มไว้โดยไม่ปิดฝา วางมันไว้ในช่องใส่ขวดน้ำข้างๆ ประตูรถ แล้วออกเดินทางกันต่อ
บ่ายสองก็ถึงท่าเรือเฟอร์รี่ที่อำเภอดอนสัก จังหวัดสุราษฎร์ธานี จอดรถรอที่ท่าเรือและฆ่าเวลาด้วยการกินข้าวแกงในกล่องสักสิบห้านาทีก็ถึงเวลาเรือออก ปลาสอดทั้งสี่ยังมีชีวิตครบถ้วน อีกสามชั่วโมงพวกมันก็จะได้พบกับปลาสอดซึ่งเป็นสายพันธุ์เดียวกัน แต่ต่างกันที่สี รูปลักษณ์ และถิ่นกำเนิดแล้ว
เมื่อเอารถขึ้นฝั่งและขับต่ออีกสิบห้านาทีพวกเราก็มาถึงบ้าน ปล่อยปลาต่างถิ่นลงบ้านหลังใหม่ได้สักพักก็พากันออกไปหาอะไรกินที่หาดฉโลกหลำซึ่งเดี๋ยวนี้มี Walking Street at the Pier กันทุกวันอาทิตย์ เราเดินซื้อกับแกล้มและเบียร์สองขวดไปนั่งกินกันที่ท่าเรือ เซเฟอร์เพื่อนบ้านตัวน้อยของลูกชายก็รอวิ่งเล่นอยู่ที่นั่นกับเพื่อนอีกสี่ห้าคน ส่วนผู้ใหญ่นั่งกินดื่มกันง่ายๆ ริมชานสะพานปลา พ่อแม่คู่หนึ่งในกลุ่มนั่งยองๆ กินส้มตำแกล้มเบียร์อย่างสบายอารมณ์ ผมทักพวกเขาว่ากินส้มตำด้วยหรือ เขาและเธอตอบว่าใช่ มันรู้สึกแปลกที่จะกินอาหารฝรั่งเวลาอยู่ที่ประเทศไทย มาอยู่เกาะนี่กินแต่อาหารไทยซะเป็นส่วนใหญ่
ผมบอกว่าถ้างั้นขอเสือกหน่อยว่าส้มตำมันต้องกินกับข้าวเหนียว กินเปล่าๆ มันจะรสจัดเกินไป เธอผู้หญิงตอบว่าฉันไม่เห็นเขาขายที่ร้านส้มตำเลย ผมบอกว่าข้าวเหนียวมันจะอยู่ในถังเก็บอุณหภูมิข้างๆ แผง เธอกล่าวขอบคุณแล้วบอกว่า โอ้ นั่นคงเป็นความลับที่คนไทยไม่อยากให้คนต่างชาติรู้ ราวกับว่าข้าวเหนียวเป็นของหายากและขาดแคลนไปซะอย่างนั้น 555
ครั้งหน้าจะลองบอกกับเธอว่าให้ลองขอแม่ค้าให้ใส่ปลาร้าดูสักครั้ง นั่นก็ของหายากหรือเคล็ดลับของสุดยอดส้มตำเหมือนกัน
เช้าวันต่อมา ระหว่างรอส่งลูกไปโรงเรียน ผมออกไปสำรวจดูว่าปลาสอดหน้าใหม่อยู่ร่วมกับปลาสอดหน้าเก่าได้ราบรื่นไหม แทนที่จะเห็นปลาดังหวัง สิ่งที่ปรากฏอยู่เบื้องหน้าก็คือลูกอ๊อดเต็มทั้งสองบ่อเลยครับ ก่อนลาจากเกาะผมขอให้เซเฟอร์ช่วยผมอยู่สองเรื่องระหว่างผมเดินทางกลับไปกรุงเทพฯ นั่นก็คือ ให้อาหารปลา และคอยเอาอะไรมาบังไม่ให้เป็ดลงไปคุ้ยกินไม้น้ำของผม เขาทำหน้าที่ทั้งสองได้อย่างดีเยี่ยม แต่ผมก็พบว่านั่นเป็นคำขอร้องที่ยังไม่ครบถ้วน เพราะปกติในคืนครึ้มและมีฝนตกพรำ บรรดากบ เขียด และคางคกมักจะมาพลอดรักและวางไข่กันในบ่ออยู่เสมอๆ
หน้าที่ผมอย่างหนึ่งคือคอยช้อนไข่ที่เรียงตัวกันเป็นสายออกไปทิ้งนอกบ่อ ทำลายซะตั้งแต่ยังเป็นไข่นั้นง่าย ประหยัดเวลา และทำร้ายจิตใจคนช้อนน้อยกว่าตอนที่พวกมันกลายเป็นลูกอ๊อดเยอะ
ปรับสายตาให้พ้นไปจากบรรดาลูกอ๊อดนับพันตัวในบ่อ ก็พบว่านอกจากจะสีสันสดใสจัดจ้านกว่าปลาสอดแดงตัวเดิมที่อยู่ในบ่อแล้ว ปลาสอดทับสะแกนั้นตัวเล็กและเรียวเหลือเกินเมื่อเทียบกับปลาสอดตัวเต็มวัยตัวอื่นๆ ในบ่อ ขนาดมันพอๆ กับลูกปลาสอดที่เพิ่งเกิดในบ่อเมื่อเดือนก่อน ปลาสอดโตเต็มวัยตัวเดิมๆ ในบ่อนั้นผมซื้อจากฟาร์มเพาะเลี้ยงที่น่าจะเลี้ยงโดยไม่มีไม้น้ำหรือสิ่งที่เป็นอุปสรรคใดๆ ต่อการว่าย ขนาดลำตัวที่ใหญ่โตน่าจะเป็นข้อได้เปรียบในการแย่งกินอาหารและอยู่รอด
ส่วนปลาสอดจากทับสะแกนั้น ผมเดาว่าอาจเป็นด้วยว่าพวกมันต้องว่ายอยู่ในดงสาหร่ายหนาทึบ ดังนั้นขนาดลำตัวที่ใหญ่และอ้วนท้วนอาจเป็นภาระในการอยู่รอดซะมากกว่าเป็นข้อได้เปรียบ ปลาสอดเหมือนกันแต่โตมาต่างถิ่นต่างสภาพแวดล้อมจึงแตกต่างกันมหาศาล โชคดีที่ในบ่อของเราที่พะงันพอจะมีกองหิน ไม้น้ำ และกอสาหร่ายอยู่บ้าง เหล่าปลาสอดหน้าใหม่จึงพากันว่ายวนและหลบอยู่ระหว่างซอกหินกับดงสาหร่าย
นิสัยและความเคยชินเดิมๆ นั้นเปลี่ยนยากครับ ไม่ว่าจะเป็นมนุษย์หรือปลาสอด 555
เราอยู่รอดมาทั้งชีวิตด้วยทักษะและนิสัยแบบนึง ถึงสถานการณ์และบริบทจะเปลี่ยนบางครั้งก็อดไม่ได้ที่จะตอบสนองมันด้วยท่าที่เคยใช้ได้ดีในบริบทเก่า สมมุติฐานปนเจตนาดีของผมก็คือหวังว่ามันจะเริ่มเปลี่ยนพฤติกรรม หาทางอยู่รอดในสภาพแวดล้อมใหม่และเริ่มออกลูกออกหลาน สองครีบข้างและหนึ่งหางเหมือนกัน ต้องทำได้ซิ !
ผมมองดูความเป็นไปของปลาในบ่อที่ผมกำลังเล่นบทพระเจ้าคอยชักใยแล้วอดเปรียบเทียบกับความเป็นไปของมนุษย์ไม่ได้ อะไรๆ ที่เกิดขึ้นนั้นล้วนเป็นไปตามความจำเป็นของชีวิตในที่นั้นๆ ไม่มีใครหรือปลาตัวใดเป็นอย่างที่เป็นด้วยตัวมันเองล้วนๆ หรอก ปลาสอดที่ผมเอามาจากทับสะแกนั้นติดตัวเล็กมาด้วยตัวหนึ่ง ใจหวังว่าถ้าตัวใหญ่ไม่รอดปรับตัวไม่ได้ เจ้าตัวเล็กนี่แหละที่สิ่งเกรอะกรังในนิสัยอาจยังไม่ฝังแน่น จะอยู่รอดและสืบสายพันธุ์แห่งทับสะแกต่อไป
คุยเรื่องคนได้ไม่เท่าไรก็กลับไปเรื่องสัตว์ทุกที หวังว่าพี่หนึ่งผู้ซึ่งไม่ชอบเลี้ยงสัตว์จะพอทนอ่านได้จนจบ
เชียร์ส
จ๊อก
ปล. ไม่กี่วันก่อนจะกลับมารอบนี้ ผมกับครอบครัวมีโอกาสไปสนทนากับอาจารย์ ตู่-ธเนศ วงศ์ยานนาวา แกเล่าว่าในโลกตะวันตกเดี๋ยวนี้เรียกสัตว์ว่า it ก็จะถือว่าไม่ PC แล้วนะ เพราะฉะนั้นถ้าจดหมายฉบับนี้จะถูกเฟซบุ๊กแบนด้วยเหตุว่าไม่พีซีเพราะไปเรียกปลาว่า ‘มัน, พวกมัน’ แล้ว พี่ก็อย่าได้แปลกใจ แต่ที่แน่ๆ ผมคงจนปัญญา ถ้าจะให้เขียนถึงปลาสอดด้วยการระบุเพศว่าเขาหรือเธอชัวร์ๆ
ตอบ จ๊อก
นานมาแล้ว เมื่อครั้งยังทำงานประจำ (นานจริงๆ ว่ะ) เราเคยลาออก และกำลังจะไปเริ่มงานใหม่ ยังไม่ได้ทันเริ่มหรอก ราวๆ พบปะ เตรียมตัว ตัวแทนองค์กรใหม่แห่งนั้นแจ้งว่าเงินเดือนที่ตกลงกันไว้ (สมมุติว่า) สิบบาท ขอลดลงมาเหลือแค่แปดบาท ทั้งที่เลือกมาแล้ว เราเลิกเลย ยุติกิจกรรมร่วมกัน ไม่ทำงานต่อ แยกย้าย ทางใครทางมัน ที่จริงยอดเงินเดือนใหม่ (แปดบาท) มากกว่าที่เรารับอยู่ในสังกัดเดิมพอสมควร (สมมุติว่าห้าบาท) นึกออกเนาะว่าดีกว่าเห็นๆ ในแง่รายรับ นับเป็นความก้าวหน้า บลา บลา แต่เราตัดสินใจเลิกเลย ไม่ไปต่อ ด้วยเห็นว่าเพียงวันแรก สัญญาแรกๆ ที่ตกลงร่วมกัน ฝ่ายนั้นยังกล้าฉีก เปลี่ยนแปลง ไม่ทำตามคำพูด เราจะวาดหวังอะไรกับอนาคตที่กำลังจะลงเรือร่วมหัวจมท้ายกัน ฉะนั้น เลิกแม่งเลยดีกว่า และต่อกรณีดังกล่าว นับเป็นข่าวดีของออฟฟิศเก่า เขาฉีกใบลาออกของเราทิ้ง กางแขนโอบกอด กลับมาร่วมงานกันดังเดิม จากวันนั้นถึงวันนี้ (แม้จากลากันมานานแล้ว) ความสัมพันธ์ดีงาม เสมอต้นเสมอปลาย เป็นองค์กรที่เรารู้สึกดีเสมอ ทุกครั้งที่ย้อนนึกถึง
อีกครั้งหนึ่ง (เมื่อไม่นานนัก) เราตกลงทำธุรกรรมกับเพื่อนคนหนึ่ง นัดหมายกันชัดเจนว่าวันนั้นวันนี้ ถึงวันจริง เขามาพบเจอ แต่ไม่ทำตามที่พูดคุย (จำเหตุผลชัดๆ ของเขาไม่ได้แล้ว แต่เราเห็นว่าไม่มีเหตุผล ไร้น้ำหนัก เข้าใจไม่ได้) เขาขอเลื่อนวันออกไปอีกราวหนึ่งสัปดาห์ แน่นอนว่าเจ็ดวันไม่ใช่ความเป็นความตาย โลกไม่แตก รอได้สิ เวลาแค่นี้ ทำไมจะรอไม่ได้ แต่เราไม่รอ และขอเปลี่ยนเกมเล่น ยุติ ยกเลิกข้อตกลงเก่า สิ่งที่เคยคุยกันมา ซึ่งโชคดีว่า (หรือเราคิดไปเอง ไม่แน่ใจนัก) เราเข้าใจกันดี ไม่มีใครโกรธใคร ยุติแค่เรื่องนี้ กิจกรรมนี้ อื่นๆ ในอดีตและอนาคตก็ปล่อยมันดำเนินไป ตามเส้นทางของมัน เคสนี้ ข้อดีคือคุยกันเคลียร์ถึงความแตกต่างและไม่ไปต่อ แม้มันยุ่งยากและเสียหายบ้าง ก็อย่างที่คุณยอมยกเลิก ไม่พิมพ์งานกับลูกค้าบางคน คือเงินหายแน่ๆ แต่สบายใจ บวกลบคูณหารแล้วยอมเจ็บในเบื้องต้นดีกว่าดันทุรัง อย่างที่คุณว่า–เสียวันนี้คือเสียเท่านี้ ปล่อยไปแม่งเหนื่อย ไม่เอาว่ะ เห็นทรงแล้วตัดใจเลยดีกว่า อายุเยอะขึ้น เราจะไม่ทน ไม่ฝืน คนละเรื่องกับไม่อดทนนะ (คือกูทนได้โว้ย แต่กูจะไม่ทนในบางเรื่อง–ในใจเราพูดแบบนี้)
เมื่อช่วงสายๆ คุยกะน้องสาว เธอเล่าเรื่องแม่ในบางมุม ฟังแล้วก็ให้น่าประหลาดใจ ปกติที่เรารับรู้และเติบโตมา แม่เป็นเจ้าหลักการ แม่น ยุติธรรม แต่เรื่องเมื่อเช้าโคตรทำลายหลักการ (ขี้เกียจเล่าว่าเรื่องไหน เอาว่าไม่ผิดกฎหมายหรือทำร้ายสังคม เป็นเรื่องในครัวเรือนน่ะ) พยายามนึกนะว่าเพราะอะไร ทำไมคนอย่างแม่ถึงพลาดได้กับเรื่องขี้หมาปัญญาอ่อนขนาดนี้ ป่วยหรือเปล่า ชราหรือเปล่า ฯลฯ คำตอบสุดท้าย (เหมือนเคย, เราคิดเอาเอง) น่าจะด้วยความรัก รักเลยยอมละเว้น รักจึงทำในสิ่งที่ไม่น่าเป็นไปได้ ถ้าสิ่งที่ว่านี้หมายถึงข้อบวก เราคงสรรเสริญกันไปใช่ไหม แต่มันไม่ใช่ มันผิด มันไร้หลักการสุดๆ ก็เลยแบบ.. นิดนึงน่ะ แม่นะแม่ อุตส่าห์เคร่งครัด แข็งขัน แม่นยำ มาทั้งชีวิต กลับมาพลาดได้ ทั้งน้องสาวที่โทรฯ มาคุยและเราต่างเสียใจ นิสัยเราคืออะไรที่แล้วไปแล้ว และแก้ไม่ได้ ก็ช่างแม่ง ส่วนอะไรยังพอแก้ได้ ก็ว่ากันไป พยายามหาทางออกที่ดีที่สุด เหนืออื่นใด เคสนี้ย้ำเตือนเราอย่างยิ่งในเรื่องความรัก สังเกตว่าหลายๆ ครั้งในชีวิต ความผิดพลาดไม่ได้มีรากจากความเกลียดชังเลย ทำไมรู้มั้ย เกลียด เราจะระมัดระวัง เกลียด จึงรู้ตัว รู้เท่าทันและจัดการง่ายกว่า สุดท้ายแล้ว ไอ้ที่ผิดหนักๆ ก็อาจจะเพราะรักนั่นเอง ไม่ว่ารักลูก รักนาย รักสถาบัน ฯลฯ รักจนคลั่ง รักจนหน้ามืดตามัว ลุ่มหลงงมงาย
ไม่มีอะไรสอดรับกับเรื่องปลาสอดของคุณเลยใช่มั้ย เออ ใช่ พอดีย้อนไปเก็บประเด็นเก่าที่ติดคุณไว้คราวก่อน นึกออกวันนี้ ก็เลยเล่าวันนี้ ได้โปรดให้อภัยหรือคิดซะว่าเหมือนเวลานั่นกินเบียร์กัน แล้วเราลุกไปห้องน้ำ กลับมาก็ไม่สนใจซ้าย ขวา หน้า หลัง อะไรทั้งนั้น กูนึกเรื่องนี้ออก กูอยากพูด ก็พูดเลย 55
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน