art & culture

ภาพเขียน เดินคนเดียว และแสดงเดี่ยวครั้งแรก

26 ปีที่แล้ว คือการแสดงเดี่ยวครั้งแรกครั้งเริ่ม เมื่อทุกอย่างพร้อมในชุด ‘มาจากใจ’ จากงานนี้ได้พบเพื่อนมากมาย ได้เห็นทิศทางของตัวเอง ยังไม่มีประสบการณ์ เหมือนการเลือกคู่ที่ยังไม่รู้ธรรมเนียมปฏิบัติ มีแต่ผลงานที่กองเก็บไว้ให้เพื่อนมาดูมาเห็น จนเพื่อนแนะนำให้เอาออกมาวางที่สว่างบนพื้นที่สาธารณะ เพื่อนวสันต์ เพื่อนเนี้ยว เพื่อนร่วมโรงเรียนหลายคนเป็นธุระจนเสร็จสิ้นทุกกระบวนการ ยังไม่ต้องถามหาแนวคิดหรือหลักการอะไร ทุกอย่างมาจากใจล้วนๆ

ภาพเขียน

อยากเขียนภาพระบายสี อยากถือพู่กัน ในวันนั้นเรามองว่ามันสวยงาม เห็นรูปในหนังสือ เด็กน้อยถือพู่กันวาดภาพก็อยากทำแบบนั้นบ้าง ถ้ามีภาพวาดของตัวเองติดอยู่บนผนังตรงโน้นตรงนี้ จะแฮบปี้แค่ไหน ก็ฝันไปเรื่อยเปื่อยประสาเด็ก โห.. เป็นจิตรกรหญิงของประเทศ

อยากเขียนรูปเก่งแบบ เปี๊ยก โปสเตอร์ อยากมีความคิดมหัศจรรย์แบบ อังคาร กัลยาณพงศ์ อยากกล้าหาญล้ำๆ แบบ สุวรรณี สุคนธา (ต้องขอบคุณห้องสมุดของแคมป์ทหารอเมริกัน ยุคตั้งฐานทัพที่อุบลฯ) มีหนังสือภาษาอังกฤษมากมาย ประวัติศาสตร์สังคมอุตสาหกรรม ได้ดูได้เห็นโลกที่พัฒนาไปไกลกว่าเราที่ยังอยู่ในวิถีเกษตรกรรม ในวัยเด็กก็ตื่นตาตื่นใจไปตามธรรมชาติ รู้จักชื่อพิพิธภัณฑ์ลูฟวร์ ก็จากการอ่านหนังสือ เพราะไม่มีในหลักสูตรอยู่แล้ว วิชาวาดเขียนก็สอนโดยครูจบสุขศึกษาไง

รู้จักโกแกง รู้จักวินสโลว์ โฮเมอร์ รู้ว่าต่างประเทศมีคนวาดรูปเก่งมากๆ อยู่เต็มไปหมด โดยเฉพาะประเทศฝรั่งเศส ก็จากการอ่านหนังสือนอกเวลานี่แหละ

อ่านแล้ว เห็นแล้ว อยากไปฝรั่งเศส ไปเดินดูเขาวาดรูปในชุมชนแบบนั้น คนนี้ถือพู่กัน จานสี คนนั้นใส่ผ้ากันสีเลอะ เท่มาก อยากทำแบบนั้นบ้าง เหมือนมีความรู้สึกแบบนี้ตลอดเวลา เมื่อยังไปไม่ได้ก็ลองวาดเองเลย เรียกว่ารักปักใจ ไม่ให้อะไรอื่นมารบกวน ครั้นเลือกที่ทางให้ตัวเองเป็นมั่นเป็นเหมาะแล้ว ก็ตั้งหน้าตั้งตาเรียนรู้ทัศนธาตุไง ที่นักเรียนศิลปะต้องรู้ ไม่รู้ไม่ได้ ธาตุของศิลปะที่นักเรียนสายมูสายเนิร์ดเขาไม่สนใจหรอก

ผลงานของผู้มาก่อนจุดประกายความคิดให้เราได้ ก็ลอกสิ หัดลอกงานจิตรกรอเมริกัน Winslow Homer ตั้งแต่เด็ก ลอกงานสีน้ำของ John Singer Sargent ลอกรูปสีน้ำมันของ Rembrandt แรกๆ ทำได้ไม่ดี ไม่เหมือน ก็ยิ่งยั่วยุให้ทำบ่อยขึ้น จากของยากก็ง่ายขึ้น ยิ่งทำยิ่งสนุกถูกใจ ทำไปๆ ก็ไม่อยากลอกแบบแล้ว ไปทุ่งนาดีกว่า ไปเขียนพระอาทิตย์กำลังลับขอบฟ้า จากนั้นไปไหนๆ ก็ติดกระดาษดินสอไปด้วย ไปนั่งเขียนวิวแบบที่เคยเห็นในหนังสือ

เมื่อได้ลงมือระบายสีน้ำ ได้ผสมสีโน่นนี่ ได้เห็นสีไหลซึมเข้าผสมกันหลายสี เกิดเป็นสีใหม่ บ้างนุ่มนวลบางเบา บ้างหนักเข้มข้น บางสัมผัสยามตักสีด้วยพู่กันแบนแล้วปาดก้อนสีลงบนเฟรม มันเป็นภาวะสนุกและอิสระอย่างยิ่ง ทำซ้ำแล้วซ้ำอีกยิ่งทำให้ถลำลึกเข้าไปในโลกสีสัน มันมหัศจรรย์ แล้วยิ่งวันหนึ่งเมื่อเราเข้าใจและสามารถควบคุมการไหลฟู่ การทับซ้อนกันของสีหรือผสมสีใหม่ได้ดังใจ มันคือภาพความงามที่ติดใจ แล้วทำไมจะไม่ทำต่อ

เมื่อโอกาสอยู่ในมือเราแล้ว เมื่อเห็นว่าเราเริ่มเขียนอะไรหลายอย่างได้ดังใจแล้ว ก็ยังมีอีกหลายปัจจัยที่เอื้อให้ได้เขียนรูปตลอดมา สิ่งหนึ่งคือโอกาส โอกาสที่เกิดจากมหามิตร นอกจากครอบครัวที่เป็นพื้นที่มั่นคงให้พึ่งพิงแล้ว คือเพื่อน รศ.ดร.วัฒนา-นลินี มัคคสมัน และเพื่อน ศิริพร ศิริกุลพิสุทธิ์ ที่เริ่มนับหนึ่งให้

ไม่มีก้าวแรก จะมีก้าวที่สิบได้อย่างไร ทั้งในรูปแบบกำลังใจและความช่วยเหลือเกื้อกูลกันมาจนถึงวันนี้

เมล็ดพันธุ์งอกแล้ว จากนี้คือการใส่ปุ๋ยบำรุงดอกใบ เพื่อผลที่ดีงาม

เมื่อเราฝันใฝ่อะไร ใครๆ ก็คงจะเฝ้าค้นหาเหมือนกัน จะเรียกมันว่าอะไรก็ตาม ความชอบความสนใจ ไม่มีใครเลือกให้เราได้ ไม่มีใครบังคับให้เราชอบอะไรได้ ถ้ามันไม่เกิดจากเนื้อในของตัวเอง เกิดขึ้นเองรู้สึกเองตามธรรมชาติ ความชอบมาจากไหนไม่มีใครรู้ ตัวเราเท่านั้นที่สัมผัสรู้ถึงบางสิ่งที่มีอยู่ สิ่งที่ชอบนี้พาเราเดินไปบนทางที่ชัดเจนสำหรับเรา เมื่อรู้แล้วเลือกแล้วที่เหลือก็คือทำให้ดี มีวินัย ก็เท่านั้น งานเริ่มต้นยุคแสวงหาแค่ฝึกเขียนให้เหมือนจริงได้ก็ภูมิใจแล้ว ตามวัยวันตามสปิริตของความคิด ก็ทำเท่าที่รู้เท่าที่เห็น เขียนดอกไม้ใบหญ้า น้ำ ฟ้า ป่า ขุนเขา

เดินคนเดียว

ชีวิตคู่ ถ้ามันไม่ใช่ จะไปพิรี้พิไรค้นหาทำไม เมื่อถามตัวถามใจแล้วว่าไม่ก็คือไม่ จะร่ำไรอยู่ทำไม หลังแยกวงจาก Production House เล็กๆ ระดับท้องถิ่น เพื่อนๆ ต่างคนก็ต่างเดินตามหาภาพฝันกันไป ชีวิตจริงเริ่มต้นตรงนี้ นี่ไง ปรารถนาใช่ไหม อาชีพอิสระ ปรารถนาจะควบคุมเงื่อนไขการทำงานและเลือกทางของตัวเอง ตรงนี้คืออิสรภาพล้วนๆ ที่ทับซ้อนความรับผิดชอบและผลพวงที่จะเกิดขึ้นทั้งหมดไว้อย่างไม่รู้ตัว

อิสรภาพไม่ได้หอมหวานและมีด้านเดียว ทำไมจะไม่มีคืนอาบน้ำตา คืนเหนื่อยล้า เราจะเหลือรอดจากความผันผวนที่เกิดขึ้นจริงในชีวิตได้อย่างไร ถ้าไม่มีวินัย เพราะเราไม่ได้อยู่คนเดียว เราล้วนเกาะเกี่ยวกันอยู่ แม้จะไม่ใช่ทางกาย อย่างน้อยก็ทางใจ ถ้าไม่ใช่สัมผัสสัมพันธ์กันในเงื่อนไขต่างตอบแทน ยิ่งสัมผัสทางใจที่ไร้เงื่อนไขนี่แหละยิ่งเหนียวแน่นยึดติด จนอาจบางทีกลับกลายเป็นตัวทำลายเสรีภาพที่เรียกหาเสียเอง

แล้วจะยังไงต่อ ก็พัฒนาตัวเอง สะสางความคิดที่ขุ่นมัว ชะล้างฝ้าฟางที่บังตาอยู่นั้น เอาให้ชัด ถอดวางทุกอย่างออกให้หมด เลือกเก็บที่จำเป็นสำหรับการเดินทางเปลี่ยว ยุคนิคส์อุตสาหกรรมก้าวหน้า มีกี่มากน้อยที่วาดรูปแล้วยังชีพได้ ใครเขาวาดรูปเป็นอาชีพกัน เดินทางไปก็คิดไป เราไม่ใช่มนุษย์เหล็กไหลอะไรเลย ทำไมจะไม่กลัว ถ้าไม่มีกำแพงให้พักพิง ถ้าๆๆ โน่นนี่ฯลฯ จะเหลือรอดไปถึงไหม ปลายทางที่ฝัน

ที่สุดก็ยังยืนยันอันนี้แหละที่ชอบ ผ่านวันหนาววันร้อนกับความกลัว แต่ก็ยังหอบความฝันนี้แหละ เดินไปด้วยกัน

การเรียนศิลปะในโรงเรียน ไม่มากไม่น้อยกลิ่นความคิดจากครู จากรุ่นพี่คงหลงเหลืออยู่บ้าง ไม่ใช่สิ่งชำรุดทางประวัติศาสตร์อะไรหรอก หรือตกยุคไปก็ไม่อาจรู้ แต่แนวคิดนี้ยังมีอยู่ที่เขาพูดคุยถกเถียงกันประเด็นแนวคิดของ Jean Paul Sarte, Albert Camus รุ่นพี่เอาหนังสือ คนนอก, มนุษย์สองหน้า, ปรัชญาชีวิตของ Sarte และ ฯลฯ มาให้อ่าน มันเกินกำลังจะวิเคราะห์ได้เอง ก็ไหลๆ ตามรุ่นพี่ไป ชาว Existencialism ความเข้าใจตอนนั้นเหมือนสนใจการมีอยู่ของคน และเชื่อว่าการมีอยู่ของคนมีมาก่อนลักษณะของมนุษย์ ประมาณว่าคนเกิดมาว่างเปล่าก่อน เกิดแล้วจึงเลือกที่จะทำจะเป็นทีหลัง ค่อยมาหาสาระให้ตัวเองทีหลัง

เรามีเสรีภาพที่จะเลือกกระทำตามความพอใจ แต่ก็จะต้องรับผิดชอบที่เลือกรับผิดชอบตัวเองและสังคมด้วย ยังเชื่ออีกว่าความจริงคือสิ่งที่แต่ละคนคิดพิจารณาแล้วว่าจริง ก็แสวงหาความรู้ตามที่ตัวเองสนใจเพื่อให้ชีวิตอยู่รอด ความงามก็เหมือนกันเราคือผู้กำหนด คนอื่นก็คือคนอื่น ให้มั่นใจในความชอบของตัวเอง มั่นใจแบบนี้ทำให้มีผลงาน

เมื่อเริ่มแสดงงานเดี่ยว หมายความว่าก่อนหน้าต้องมีการเลือกแล้วตัดสินใจแล้วว่าทำงานศิลปะน่าจะเหมาะสุดแล้ว ทางนี้เป็นทางโหดหินแน่ๆ แต่ก็ก้าวเข้าหา ยิ่งเดินยิ่งลึก ยิ่งเปลี่ยว ยิ่งร้างผู้คน แต่เรามีความเชื่ออยู่ว่าทักษะที่บ่มเพาะกับการมองเห็นอะไรบางอย่างที่เห็นสว่างไสวอยู่ตลอดเวลา เราเชื่อว่าสิ่งนี้จะทำให้เราอิสระที่จะเลือกใช้ชีวิตอย่างไรก็ได้  ในสังคมที่ไม่ใช่โอเอซิสของงานศิลปะ อะไรจะหล่อเลี้ยงเราได้ ถ้าไม่ใช่ใจตัวเอง ก็ชอบใช่ไหม ก็เลือกเองใช่ไหม ล้มลุกคลุกคลานกับอุปสรรคมากมาย แม้จะทำใจไว้แล้วก็ใช่ว่าจะไม่สะท้านสะเทือน แต่ไม่หันหลังกลับแน่ๆ แม้จะเดินหน้าต่อไปไม่ได้ในบางเวลา

ชีวิตก็เท่านี้ที่เห็น เมื่อยืนยันสิ่งที่เลือก สุดท้ายสิ่งนั้นก็เลือกเรา เดินทางต่อลมหายใจไปด้วยกัน ยืนอยู่และยืนยันกับสิ่งที่เลือก เขียนรูปบ้างทำสิ่งอื่นเพื่อยังชีพบ้างจะเป็นไรไป เหนื่อยก็พัก ไม่หนักหนาก็ไปต่อ

เขาบอกว่าเรื่องจิตสำคัญ ความจริงสูงสุดไม่ใช่วัตถุหรือตัวตนแต่เป็นความคิดที่อยู่ในจิต ความจริงแท้อยู่ในจิตเท่านั้น การเขียนรูปคือการพัฒนาจิต อาจดูเป็นนามธรรม วาดรูปเกิดจากการคิดหาเหตุผลตอบ สะท้อนหรือบันทึกสภาพสังคม วิเคราะห์แล้วสร้างเป็นความคิดในใจ การดูหรือได้เห็นเป็นประสบการณ์ของเหตุการณ์หรือความคิดหนึ่งเท่านั้น เมื่อลงมือวาดรูปแล้วเกิดอะไรในความคิด เกิดอะไรขึ้นในใจ อันนี้คือของจริงสำหรับตนเอง จึงอยู่กับสีอยู่กับพู่กันนานจนเป็นเพื่อนกัน

มันเป็นตัวบอกให้เราเลือกหรือไม่เลือกอะไร เลือกแล้วก็ยึดติด (คำพระที่บอกให้พยายามละวาง ก็ยังทำไม่ได้) สิ่งที่เลือกจึงตายตัวคงทน ไม่เปลี่ยนแปลง

การแสดงเดี่ยวครั้งแรก

ใครๆ ก็อยากไปถึงคำว่าสร้างสรรค์ทั้งนั้นแหละ วาดรูปมาแล้วชั่วนาตาปีไม่มีดีสักชิ้นก็คงประหลาด เมื่อไม่อุปโลกน์ว่าตนวาดรูปมาสิบชาติแล้ว ถ้าพื้นฐานแน่นหนา เราคิดว่าทุกคนก็พัฒนาได้ทั้งนั้น ไม่ต้องรอให้ครูบอกว่าถ้าคนพัฒนา ชาติที่เราอยู่ก็จะพัฒนาไปด้วย แบบประเทศฝรั่งเศสที่ศิลปินไปรวมตัวกัน เอาแค่นี้ ก็อยากพัฒนาตัวเองแล้ว เพราะใครๆ ก็พูดกันว่ามนุษย์เป็นทรัพยากรสำคัญที่สร้างสรรค์เป็น แล้วจะทำงานขายทำไม อยากไปให้ไกลกว่านั้น

แล้วความรู้พื้นฐานทางทัศนธาตุก็เข้ามารองรับเนื้อหาที่ต้องการสื่อสาร ไม่ว่าจะสร้างทัศนธาตุนั้นด้วยวัสดุอะไร สีน้ำมัน สีน้ำ เครยอง สีอะคริลิก อื่นๆ ปาดป้าย ขูดขีดให้เกิดร่องรอยรูปทรง แล้วร้อยรัดรูปทรงวัตถุต่างๆ เข้าด้วยกัน ตามหลักการและตามประสบการณ์สุนทรียะที่เคยพบเคยเห็น เชื่อมโยงสิ่งต่างๆ เข้าหากันด้วยความรู้สึกเห็นงาม ทำให้เกิดความเคลื่อนไหว เกิดทิศทางอย่างมีเอกภาพ ที่สำคัญคือหมั่นสร้างกระบวนวิธีขึ้นรูปใหม่ด้วยวิธีของตัวเอง

การแสดงเดี่ยวครั้งแรก (ปี 2539) ภาพข่าวปรากฏตัวบนพื้นที่สื่อหลายหลาก แต่ที่น่าจะเป็นพลังมากสุดคือสกู๊ปข่าวจากหนังสือพิมพ์ผู้จัดการ โดย วรพจน์ พันธุ์พงศ์ (ผู้สื่อข่าวในวันนั้น นักเขียนอิสระในวันนี้) ศิลปะคือความลำเอียง ถ้าเขาไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ต่อให้งานนั้นเป็นฝีมือของศิลปินทักษะชั้นครูและผลงานนั้นครบถ้วนสมบูรณ์แล้วก็ตาม ส่วนเราก็ทึกทักเอาว่าผู้บริหารหลายหน่วยงานคงชอบงานเราอยู่บ้าง เขาจึงสนับสนุน ผู้ว่าแบงก์ชาติที่มาเลือกงานด้วยตัวเอง ฝ่ายจัดซื้อตลาดหลักทรัพย์มาเลือกงานหรือฝ่ายจัดซื้อหนังสือพิมพ์บางกอกโพสต์ ผู้บริหารคาเธ่ย์ ทรัสต์ รวมทั้งเพื่อนๆ ใกล้ชิด ที่มีส่วนทำให้ก้าวแรกของเราสว่างไสว

ทั้งหมดนี้ยังไม่เคยขอบคุณใครจริงจังเลย ได้แต่จดจำมาจนถึงวันนี้

งานชุดแรก ‘มาจากใจ’ เหมือนฟรุตสลัด คือรวบรวมเรื่องราวต่างๆ ที่เห็นที่รู้สึกระหว่างการเดินทาง อยากรู้ตัวตนว่าชอบหรือปฏิเสธสิ่งใด เราเจาะจงถ่ายทอดเรื่องราวเฉพาะ งานชุดนี้จึงมีทั้งธรรมชาติความคิดความเห็นปะปน บางความจำบางความรู้สึกในช่วงเวลาเตาะแตะตอนนั้นคือ

– เช้าวันฝนพรำ มีความรู้สึกดีๆ อย่างนี้อยู่ในใจ เขียนภาพเฟื่องฟ้าตลิ่งชัน

– เขียนภาพดอกบัว เป็นสัญลักษณ์ของชาวพุทธที่คุ้นเคย เพราะเรานิยมใช้ดอกบัวบูชาพระรัตนตรัย

– เขียนเรือจอดเกยตื้นบนฝั่ง ก็รู้สึกว่าบางครั้งการอยู่นิ่งๆ ก็เป็นสิ่งจำเป็น

– เขียนกลุ่มเรือโคลงเคลงไปตามแรงลม ให้ความรู้สึกสวยงาม เรืออยู่เป็นกลุ่มก็ไม่ล่ม แม้จะลมพัดแรง ชื่อภาพแรงลมกับบางความคิดว่า ความพยายามสูงสุดของมนุษย์คือความพยายามที่จะไปสู่อิสรภาพ เหนือการครอบงำใดๆ เขียนรูปนี้ในภาวะนิ่งที่สุด ในชีวิตเหมือนไม่ต้องการอะไรอีกแล้ว (แค่ตอนนั้นนะ ยังไม่รู้จักชีวิตจริง แค่เขียนรูปได้ดังใจก็คิดว่ามันจบสวยแล้ว)

– เขียนภาพลมเย็นๆ ต้นเดือนธันวาคมแล้วก็ร่างสมมติฐานไปเรื่อยเปื่อย  พร้อมกับเขียนภาพว่าเดินให้ถึงนะ

– เขียนภาพมาจากใจ แบบรบกับตัวเอง ให้ช่วงเวลาที่กระแส conceptual art, mix media assemblage art, installation art มาแรง ดูจากงานที่ได้รับรางวัลศิลปกรรมแห่งชาติ ความเข้าใจตอนนั้นคือแบบนี้ รู้เท่านี้ ซึ่งเรียกว่ารู้แคบ รู้น้อย เพราะเขียนรูปลำพัง ก็ได้แค่คิดว่าทำทั้งหมดเท่าที่ทำได้แล้วในขณะนั้น

– ชีวิตระหว่างวันก็ยังมีปฏิสัมพันธ์กับคนรอบข้าง ไม่ถึงกับหลุดโลก ก็ได้ฟังได้ยินเสียงพึมพำของโลกย์ ได้ยินเสียงของอุปทานแล้วสุดท้ายก็รู้ว่าคนมาตัวเปล่า จะเร่าร้อน ทุรนทุราย หรือโหยหาแค่ไหน สุดท้ายก็ต่างคนต่างไปอยู่ดี–แค่นั้น.

 

 

nandialogue

 

 

เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม


เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’

You may also like...