the letter

ไล่เหาบนหัวเด็ก

สวัสดีพี่หนึ่งอีกครั้ง

ผมเขียนจดหมายฉบับนี้ก่อนฟุตบอลโลกรอบชิงจะเริ่มไม่กี่วัน ไม่รู้ว่าพี่ได้ติดตามหรือดูบ้างรึเปล่า

ดูฟุตบอลตอนแก่ไม่เหมือนดูตอนเราเป็นเด็ก ส่วนหนึ่งก็อาจด้วยว่าหลังๆ มานี้ผมดูผ่านช่องทางเถื่อนแบบเสียตังค์ที่เคยเล่าให้พี่ฟัง แล้วส่วนใหญ่คอมเมนเตเตอร์ก็พากย์ในภาษาอังกฤษ ประเด็นที่พวกเขาพูดถึงทั้งในทางซีเรียสและในทางกึ่งแซวกึ่งหยอกนั้นทำให้เรามองเกมฟุตบอลต่างออกไป ที่แน่ๆ คือมันมีหลายมิติที่ไม่อยู่ในบทสนทนาของนักพากย์ไทย 

หลังๆ มานี้เราเห็นนักฟุตบอลไทยมาเป็นผู้บรรยายหรือวิเคราะห์เกมกันเยอะขึ้นซึ่งถือเป็นเรื่องดี แต่อย่างไรในทางความใกล้ชิดและเข้าใจในวัฒนธรรมของกีฬาฟุตบอลซึ่งถือเป็นเรื่องของโลกตะวันตกนั้น คนไทยยังห่างกับคนพากย์ชาวอังกฤษเยอะ เอาง่ายๆ ในบางจังหวะของเกมที่ต้องพูดถึง นักพากย์ชาวอังกฤษเหล่านี้ยังอาจอ้างถึงว่าเคยคุยกับโค้ชหรือนักฟุตบอลคนนั้นคนนี้มาอย่างไร รูปการณ์ของเกมฟุตบอลมันจึงแปรผันออกมาเป็นแบบนั้น วิธีการพูดถึงเกมนั้นเต็มไปด้วยโครงสร้าง แบบแผนการเล่น และจิตวิทยา (หรือสภาพจิตใจ) ของนักกีฬาในนาทีนั้น

ดูบอลในช่วงหลังมานี้คิดว่าอะไรเปลี่ยนไปเยอะพอสมควร ที่แน่ๆ คือทีมที่จะชนะไม่จำเป็นต้องครองบอลมากกว่า ไม่จำเป็นต้องมีโอกาสยิงเยอะกว่า ไม่จำเป็นต้องมีซูเปอร์สตาร์เยอะกว่า ทีมเวิร์กกับโชคเล็กๆ คือหัวใจของฟุตบอลสมัยใหม่ (ใหม่แค่ไหนมาว่ากัน มันอาจเป็นอย่างนี้มาเป็นสิบๆ ปีก็ได้ แต่ผมเพิ่งเห็นมันในเวลาไม่นานมานี้) ผู้ชนะในความหมายของผู้ครอบครองถ้วยหรือเหรียญตราจึงไม่ได้มีความหมายกับผมเท่ากับผู้เล่นซึ่งสร้างความตื่นเต้นหรือความซาบซึ้งให้กับเกมที่ผมรัก 

แพ้ชนะคือเรื่องหนึ่ง แต่เกมที่ดีในความหมายที่สู้กันด้วยสิ่งเท่าที่มีให้สุดความสามารถนั้นเป็นเรื่องที่ผมให้ความสำคัญกว่า หลังๆ มานี้แม้ว่าลิเวอร์พูลไม่ได้ทำผลงานได้ดีเท่าที่ควร แต่ผมก็ชื่นชมในความพยายามของทีมเล็กๆ ที่เอาชนะลิเวอร์พูลได้พอๆ กับที่เสียใจกับความพ้ายแพ้ของทีมโปรด

พ้นจากเรื่องฟุตบอลมาที่เกาะพะงันในเวลานี้ ผมคนที่ผมคบหาส่วนใหญ่ยังเป็นหน้าเดิมๆ แต่เวลาและความสัมพันธ์ก็ทำให้ผมพบอะไรแปลกๆ ที่อยากเล่าให้พี่ฟัง สิ่งนี้มันเปรียบได้กับการเดินอ้อมเหรียญไปยังอีกด้านที่ผู้คนไม่ค่อยหันสู่สาธารณะเท่าไร 

เรื่องแรก ที่บอกว่าลูกชายเป็นอีสุกอีใสนั้นเป็นหนึ่งในความทุกข์ของความเป็นพ่อที่ต้องพยายามทำให้ลูกชายผ่านเวลานี้ไปให้ดีที่สุด ศิลป์พลาดงานใหญ่ก่อนปิดภาคเรียนเทอมนี้เพราะมารยาทของโลกปัจจุบันต่อการป่วยแบบใดแบบหนึ่ง ทางหนึ่งก็ดีเพราะสิ่งนี้จะทำให้เขาเรียนรู้ว่าบางครั้งชีวิตก็อาจต้องเผชิญกับโชคร้าย ลุคแอทเดอะไบรท์ไซด์ ในช่วงเวลาที่ศิลป์ไม่ได้ไปโรงเรียน เขามีโอกาสได้เล่นฟุตบอล ฟริสบี้ หมากรุกกับพ่อและแม่ มีโอกาสได้เห็นว่าวันๆ พ่อของเขาทำอะไรบ้าง อาทิ หาอะไรอร่อยๆ กิน ดูงานก่อสร้างและพูดคุยกับผู้คนในแวดวงการอิฐหินดินทราย ทำราคางานของโรงพิมพ์ คุยกับลูกค้า รวมทั้งการเขียนจดหมายหาลุงหนึ่ง

ที่พูดมาก็เพื่อจะบอกว่านอกจากอีสุกอีใสแล้ว ศิลป์ยังมีเหาขึ้นหัว มีทั้งตัวและไข่อยู่บนศีรษะ 

ผมเล่าเรื่องนี้กับพี่สุด (ช่างไฟที่ไซต์ก่อสร้าง) แกว่าพาไปร้านตัดผมผู้หญิงเลย เอายากำจัดเหาสระและรีดร้อน เหาจะหายไปจากหัวเป็นปลิดทิ้ง ไม่กี่วันถัดจากนั้นก่อนไปโรงเรียนผมแวะพาศิลป์กินข้าวเหนียวหมูปิ้งแล้วปรารภกับคนปิ้งถึงเรื่องนี้ เธอ (ผมไม่เคยถามชื่อ รู้แต่ว่าเธอเป็นคนเพชรบูรณ์) บอกว่าไม่หายหรอก ไปหายากำจัดมาสระและหวีบ่อยๆ เดี๋ยวก็จะหาย ที่เล่ามานี้แค่จะบอกว่าผมได้สูตรแก้เหาบนหัวลูกชายมาจากมนุษย์ผู้ซึ่งเชี่ยวชาญในเรื่องอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกับเรื่องผมบนหัว แต่พวกเขาในฐานะผู้อาบน้ำร้อนมาก่อนก็พร้อมจะแชร์บทเรียนชีวิตที่พวกเขาได้รับมา

ระหว่างทางไปไซต์ก่อสร้าง ผมค้นพบอีกหนึ่งร้านเป็ดย่างซึ่งทำอร่อยอันเป็นสิ่งหาได้ยากเหลือเกินบนเกาะ แวะเวียนกินกันไม่กี่ครั้งก็ได้พูดคุยปฏิสัมพันธ์กับเมียเจ้าของร้าน เธอเล่าว่าสามีเธอนั้นเป็นเพอร์เฟกชั่นนิสต์ ทำอะไรทีก็ต้องดีและเอาให้อยู่ เธอบ่นถึงการทำธุรกิจที่เอาใจลูกค้าซะมากกว่าการหากำไรของสามีจนทำให้ผมนึกถึงใครสักคนที่เคยทำโรงพิมพ์อยู่ที่กรุงเทพฯ ผมตอบเธอแบบเข้าข้างจำเลยที่ไม่ได้นั่งอยู่ในคอก ว่าอย่างน้อยก็เป็นปัญหาที่ดี มีลูกค้าแต่กำไรน้อยย่อมดีกว่าไม่มีลูกค้าเป็นไหนๆ ทำของอร่อยให้คนกิน ถ้าวันไหนกำไรมันน้อยเกินไปก็บอกกับลูกค้าหน้าเดิมๆ ได้ ว่าถ้าพี่ยังอยากกินของอร่อยๆ ที่เราทำอยู่ รบกวนอุดหนุนเพิ่มเติมกันอีกคนละนิด ชีวิตทุกคนก็จะวินวิน 

จบเรื่องกำไร เธอก็เล่าต่อว่าสามีเธอชอบทำสวนและปลูกต้นไม้ ก่อนมาทำร้านเป็ดย่างก็เคยทำรีสอร์ทที่อำเภอนาสารมาก่อน ผมบอกว่าดีเลย ไม่แน่บางโครงการในอนาคตอันใกล้ ผมอาจขอเชิญสามีเธอมาให้ความเห็น หรือลงมือทำสวนสวยๆ สักแปลงสองแปลง

ทั้งหมดที่เล่ามาก็เพียงแต่อยากบอกว่า ในสัปดาห์ที่ผ่านมานี้ผมหาทางแก้เหาบนหัวลูกชายจากช่างไฟและคนขายหมูปิ้ง และในไม่กี่เดือนข้างหน้าผมอาจเพิ่งพาการแต่งสวนสวยจากพี่ชายคนขายเป็ดย่าง สรุปความแล้วก็ว่าการหาอะไรอร่อยๆ กิน ไม่ได้มีค่าแค่การกินอะไรอร่อยๆ หากแต่อะไรอร่อยๆ นั้นอาจหมายถึงผู้คนผู้ซึ่งปรุงอาหารด้วยชีวิตจนนำมาสู่การบรรลุซึ่งสิ่งที่เรียกว่า ‘มนุษย์พิเศษ’

จวบจนวัยสี่สิบเอ็ด ผมยังคงสนุกที่จะพบเจอเรื่องน่าฟังและไม่น่าฟังจากโลกพังๆ ใบนี้ ผู้คนที่ผ่านพบหลายคนยังคงเป็นมนุษย์ที่ผมโค้งหัวคำนับได้อยู่ในบางมิติของชีวิตพวกเขา ถ้าในบางครั้งเราไม่พบแง่มุมนั้น สิ่งที่ต้องทำอาจแค่เพียงเดินอ้อมไปยังอีกด้านหนึ่งของชีวิตพวกเขา รู้ว่าอุปมาในครั้งนี้มันเบาหวิว แต่ทำไงได้ บางทีเราก็อยากจะพูดอะไรเท่ๆ จากสิ่งธรรมดาสามัญที่ประสบพบเจอ 

ขอส่งความเย็นที่เริ่มมาเยือนพะงันพร้อมกับไฮไทด์แด่คนบนเขาให้มีแต่ความสำราญ

จ๊อก

 

 

nandialogue

 

 

ตอบ จ๊อก

อายุสี่สิบเอ็ดพูดว่าตัวเองแก่ คนวัยอีกสัปดาห์เดียวจะครบห้าสิบสองก็ไม่รู้จะเถียงยังไง ได้แต่คิดเบาๆ ว่าคงพูดเอาฮา พูดให้เวอร์ไว้ก่อน ซ้อมเสียแต่เนิ่น แก่จริงเมื่อไร ใครล้อจะได้ไม่ตกใจ

ฟุตบอลกับเราคงห่างกันไปเรื่อยๆ ว่ะ ห่าง ทั้งที่รักนี่แหละ ฟังดูแปลกๆ ใช่มั้ย รักก็ต้องใกล้สิวะ รักประสาอะไร เฉยชา ไม่สนใจจะติดตามดู เชื่อมั้ย เหลือนัดชิงแมทช์เดียว เรายังไม่ได้นั่งดูเกมเต็มๆ สักครั้งเลย ที่ตั้งทำเลบ้านและเทคโนโลยีไม่สะดวกก็มีเหตุผล แต่ถ้าพยายามก็หาดูได้ ผับบาร์เยอะแยะ กินเบียร์ ดูบอล สิ่งที่เคยๆ สมัยโลดแล่นแถวถนนข้าวสารคล้ายเป็นแค่ความหลัง เหมือนหนังคนละม้วน ที่เคยตื่นเต้นตามเชียร์เกาะติด ตอนนี้เช้ามาแค่เช็กผล บางทีข้ามไปอีกวันด้วยซ้ำ ไล่ดูไฮไลท์นิดหน่อย (และพบว่าของปลอมเต็มเลย แถมโฆษณาเยอะ กว่าจะเจอ ต้องเล็งหลายรอบ สำรวจแหล่งต้นทางที่มาให้ละเอียด / คงโง่เองน่ะ คนอื่นไม่น่าเจอปัญหานี้ ค่าที่ไม่ค่อยได้ตามไง เลยสับสน) ตั้งใจว่านัดชิง ฝรั่งเศส อาร์เจนติน่า จะหาที่นั่งดูสดนะ อยากดูกรีซมันน์เล่น (ชอบมาตั้งแต่บอลโลกคราวที่แล้ว) เราว่าหมอนี่มีเสน่ห์ ฉลาดภายใต้หีบห่อรูปทรงเรียบง่าย เล่นบอลเหมือนเล่นเบสคือถ้าไม่ตั้งใจฟัง จะไม่ได้ยิน ขาดแล้วหลวม-รั่ว เพราะเป็นกระดูกสันหลังของวง คนละเบอร์กับเอ็มบับเป้ที่แกร่งแบบบอลใช้แรง ซึ่งเราเฉยๆ ส่วนเมสซี่นั้นที่สุดของโลกโดยแท้ นิ่ง คม เหนือชั้น เป็นสิ่งมหัศจรรย์ของยุคสมัย เพียงแต่พอไปทาบคนเถื่อนผู้ทุ่มเททุกอย่างเพื่อทีมอย่างมาราโดน่า ก็เลยหมองๆ รอบชิงหนนี้จึงเปรียบเป็นปากประตูผี ว่าเมสซี่จะเป็นได้แค่น้อง หรือนั่งบัลลังก์ทองเทียบเท่านักเตะเบอร์สิบผู้พี่

ประเด็นนักพากย์ไทยนี่เราไม่รู้เรื่องเลย เคยรู้ เคยทำสกู๊ป สมัย เอกราช เก่งทุกทาง เป็นตัวเลือกแรกๆ (เขายังได้พากย์อยู่มั้ย ไม่ได้ติดตามเลย เห็นคลิปในยูทูบก็ไม่เคยกดดู) ยินดีกับคุณที่มีช่องทางพิเศษ ได้เสพของนอก พอโลกภาษาอังกฤษเปิดแล้ว ทางเดินที่คับแคบก็มีทางเลือกล้นหลามขึ้นมาทันที ชีวิตช่างดีงาม เอ้า ไว้มาลุ้นกันว่ากรีซมันน์ของเราจะคว้าแชมป์โลกครั้งที่สองได้มั้ย หรือจะถึงคิวเมสซี่ผู้อาภัพกับทีมชาติ ได้สมหวังกับเขาซะที ใครก็ได้นะสำหรับกองเชียร์เย็นชาอย่างเรา ขอให้เป็นเกมที่ดีแล้วกัน dream final 2022

เรื่องอีสุกอีใสของเจ้าศิลป์ สรุปว่าหายหรือยังนะ แหม ความวัวยังไม่ทันหายเหงา ความเหาก็เหาะมาถึงหัวน้อยๆ อ่านจดหมายคุณไปก็แอบขำแบบคิดเองเออเอง คือถ้าผู้รู้ ผู้เชี่ยวชาญที่พะงันแนะนำให้สวดมนต์ไล่เหานี่เราคงอกแตกตาย ทำเป็นเล่นไปนะคุณ ใกล้ๆ ปีใหม่แบบนี้กระแสสวดมนต์ทำท่าจะมาแรงแซงคอนเสิร์ตและเบียร์การ์เด้นไปดื้อๆ

เมื่อเช้าเราตื่นไปวัดมาแหละ (ใจเย็นๆ นะ อย่าเข้าใจผิด) เผอิญเมื่อวานสัมภาษณ์งานแถวบ้านปัวชัยเสร็จแล้วเจอพระธุดงค์กลุ่มใหญ่เดินผ่าน (สอบถามแล้ว ได้ความว่าจำนวนเจ็ดร้อยรูป) คณะพระสงฆ์กำหนดค้างแรมที่วัดพระธาตุแช่แห้งคืนหนึ่ง รุ่งเช้า ก็จะจาริกต่อไปทางอำเภอเวียงสา เราเห็นว่าน่าสนใจดี ก็เลยตั้งใจตื่น ขี่มอไซค์ฝ่าป่าหมอกไปถ่ายรูป (เช้าแรกที่หนาวสะท้าน ช่วงผ่านแม่น้ำ หมอกหนา มองไม่เห็นแม่น้ำสักนิด) ได้คุยกับพระรูปหนึ่ง ท่านบอกว่าเมื่อประมาณยี่สิบวันก่อน เดินมาจากเชียงราย เป้าหมายอยู่ที่พระธาตุผาซ่อนแก้ว จ.เพชรบูรณ์ กะว่าน่าจะถึงในราววันที่ 15 มกราคม เป็นการเดินประจำปี (เมื่อวานพระอีกรูปบอกว่าทุกสี่ปี) มีพระลาว พระขะแมร์ พระฝรั่ง ร่วมทาง บางปีมีพระเณรมากกว่านี้ แต่ละปีย้ายเส้นทางเดินตามแต่ผู้จัดจะกำหนด

อยู่วัดเฉยๆ แล้วเบื่อ–ท่านตอบคำถามว่าทำไมต้องออกมาเดินรวมกลุ่มกันเยอะๆ

เบื่อแล้วบางทีก็อยากสึก มาเดินแบบนี้ดี มีสมาธิ ได้แผ่เมตตา อยากทำหน้าที่ในศาสนาต่อไป ถ้าสึกออกไปก็ไม่รู้จะทำอะไร วันๆ ส่วนใหญ่ก็กินเหล้า กินมาเยอะแล้ว พอแล้ว พระบางรูปอธิษฐานระหว่างเดินว่า ‘ปิดวาจา’ คือไม่พูดอะไรเลย เน้นแผ่เมตตา เจริญสติ ทุกรูปที่เข้าร่วมห้ามใช้อินเทอร์เน็ต ห้ามรับเงินจากญาติโยม ค่ำไหนนอนนั่น เขาจะมีทีมไปสำรวจล่วงหน้า บางที่เป็นวัด บางที่เป็นป่า แล้วแต่จะหาได้ เฉลี่ยแล้วก็เดินวันละประมาณยี่สิบกิโลฯ สบงจีวรไม่ค่อยได้ซักล้างเท่าไร เพราะทุกที่พักเพียงช่วงสั้นๆ มันแห้งไม่ทัน น้ำท่า บางทีสามสี่วัน กว่าจะได้อาบ แต่สุขภาพดี เคยเจ็บป่วย เป็นเกาต์ เป็นเบาหวาน มาเดินแล้วหาย ร่างกายแข็งแรงขึ้น แต่บางคืนก็อันตราย เคยนอนทับงูในป่า อาหารฉันมื้อเดียว จากที่บิณฑบาตได้บ้าง บางช่วง เช่น บนภูเขา อ.บ่อเกลือ บ้านเรือนห่างไกล ไม่มีคนใส่บาตร (บ้างนับถือต่างศาสนา) ก็อาศัยข้าวปลาจากทีมที่ติดตามดูแลซึ่งมีรถขบวนร่วมยี่สิบคัน กรณีที่มีภิกษุสามเณรอาพาธ หรือเท้าบวมพอง เดินไม่ไหว ก็มีหน่วยพยาบาลคอยรักษาบำบัด ช่วงนี้หนาว เดินไม่ร้อนเท้าเท่าไร แสงแดดอุ่น แต่ยามค่ำคืนก็ต้องนอนขดเป็นกุ้ง แม้ว่าจะมีเครื่องนุ่งห่มสำรองหลายชั้น ยังไงร่มไม้มันก็ไม่สบายเหมือนนอนกุฏิมุงกระเบื้อง เมืองน่านหน้านี้น้ำค้างก็หนักยังกับฝนเดือนหก

พระที่เราคุยด้วยเป็นคนศรีสะเกษ อายุเจ็ดสิบสี่ บวชๆ สึกๆ มาหลายครั้งและเคยมาเดินหลายรอบ รอบนี้มั่นใจว่าน่าจะถึงเป้าหมาย เห็นสีหน้าแววตาท่านเราก็อนุโมทนา ทั้งที่เพิ่งได้ยินท่านเล่าว่าเมื่อคืนก็มีพระติดโควิดสองรูป

“สวดมนต์กันทั้งคืน เมื่อคืนเขามีคำสั่งพิเศษ–ให้สวดมนต์”


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อก (ชัยพร อินทุวิศาลกุล) เป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน ทุกสัปดาห์เขาเขียนจดหมายมาคุยกับ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ บรรณาธิการ nan dialogue

You may also like...