สนามบินฟู้บ่าย ที่เว้ เมืองหลวงเก่าของชาวเวียดนาม กลุ่มอาจารย์จาก College of Arts, Hué University มารับคณะของเราไปที่วิทยาลัย เพื่อร่วมประชุมกับคณบดีและคณาจารย์ศิลปะทุกแขนงวิชา ทั้งจิตรกรรม ประติมากรรม ภาพพิมพ์ ปักผ้าไหม และเครื่องรักเพื่อทำงานสร้างสรรค์ในโครงการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรม ในหัวข้อ Connecting
โดยอาจารย์เจ้าบ้านและนักศึกษาส่วนหนึ่งจะเป็นฝ่ายสนับสนุนการทำงาน หน้าที่ออกแบบสร้างสรรค์นำเสนองานเป็นของฝ่ายผู้ไปเยือน (inspiring from environmental and cultural interaction) ระยะเวลาหนึ่งสัปดาห์ ถ้าประมวลผลอย่างตรงไปตรงมาที่สุด ความรู้สึกเรากำลังเชื่อมต่อความพร่าเลือนของอดีต ข้อสงสัย ความไม่เข้าใจในสิ่งที่เป็นเวียดนาม ขณะนี้เหมือนเขาอยากจะบอกว่า–จับมือเราสิ แล้วจะได้กลิ่นความหนาวร้อนของเรา
องค์การการศึกษาวิทยาศาสตร์และวัฒนธรรม (ยูเนสโก) ขึ้นทะเบียนให้เว้ (Hué) เป็นแหล่งมรดกโลก จากการที่เคยเป็นเมืองหลวงอยู่ราว 400 ปี ที่เว้ย่อมมีร่องรอยประวัติศาสตร์สำคัญ ใครเคยผิดหวังจากเมืองอื่นของเวียดนาม ก็ลองไปเดินลัดเลาะที่เว้ดูสักครั้ง คนเชื้อสายเมืองหลวงเก่าก็สวยงามอยู่ ระหว่างการเดินเลาะเที่ยวกินเที่ยวคุยกับคนไปทั่ว โรงทอผ้าไหม สาวขายกาแฟข้างถนน ชายหนุ่มกับตะกร้ากุหลาบใบใหญ่ท้ายจักรยานที่เรียกร้องให้ต้องหยุดเสวนานานๆ ไปจนถึงหนุ่มน้อยวัยใสบาริสต้ากลิ่นอเมริกัน
หลังสรุปการประชุมที่กระชับ เป็นมิตร และมีสาระไม่เวิ่นเว้อเหมือนบางที่ คณะของเราทุกคนรับหน้าที่ถ่ายทอดเรื่องราวรอบตัวที่ซึมซับในสภาพแวดล้อมนั้นในรูปจิตรกรรมหรืออื่นใดตามความถนัด ในช่วงเวลาไม่ยาวนานนั้น ภาพชีวิตและเสียงความเคลื่อนไหวของชาวเวียดนามก็ชัดเจนขึ้น
เวียดนามในความทรงจำของเราคือศูนย์อพยพ / ใบเมี่ยง / Apocalypse Now
ศูนย์รับผู้อพยพอำเภอเมืองอุบลฯ ที่ปิดไปนานแล้ว
กองทัพประชาชนเวียดนามและแนวร่วมปลดปล่อยแห่งชาติยึดกรุงไซ่ง่อนตอนปี 1975 (ไซ่ง่อนวันนี้เปลี่ยนชื่อเป็นโฮจิมินห์ซิตี้) ทำให้เวียดนามเหนือและเวียดนามใต้กลับมารวมกันเป็นหนึ่งเดียว ความจำคร่าวๆ คือชาวเวียดนามใต้ที่ทำงานให้อเมริกา จำนวนไม่น้อยที่มีความรู้และมีฐานะสมัครใจไปจากบ้านเกิด บางส่วนอาจมีฝันมีอุดมการณ์ที่แตกต่าง คนหนุ่มสาวรอเดินทางไปประเทศที่สามไม่ว่าจะเป็นยุโรปหรืออเมริกา ที่พวกเขาเชื่อว่ามันคือโอกาสในการสัมผัสรูปแบบชีวิตที่อิสระ มีโอกาสสร้างฐานะให้มั่นคง บางคนมุ่งแสวงหาโชคชัยในแผ่นดินที่ใครๆ ก็เชื่อกันว่าเต็มไปด้วยเสรีภาพ
จริงไม่จริงก็อีกเรื่องหนึ่ง ศูนย์รับผู้อพยพคือหนึ่งในภาระที่รัฐบาลไทยต้องรับผิดชอบในฐานะพันธมิตรของอเมริกา ระหว่างการทำเรื่องขอไปประเทศโน่นนี่ของผู้ต้องการย้ายถิ่นฐาน มีคำถามว่าอยากไปทำไม ช่วงนั้นน่าจะเป็นข้อเสนอทางเลือกให้กับประชาชนของฝ่ายเห็นต่าง อุดมการณ์แตกต่าง อยู่ไปคงไม่น่าสนุกแล้ว รวมทั้งประเด็นความปลอดภัย ทำให้เขาเลือกที่จะย้ายถิ่น
การย้ายถิ่นฐานเคยเกิดมาแล้ว วนเวียนซ้ำรอยเดิมหลังลัทธิล่าอาณานิคมล่มสลาย หลังสงครามโลกครั้งที่สอง ยุโรปและอเมริกาเป็นปลายทางที่ผู้ลี้ภัยและผู้อพยพอยากไป หลายประเทศในแถบยุโรปที่มีสงคราม คนตายจำนวนมากทำให้ขาดแรงงาน ทุกประเทศต้องการแรงงานคนหนุ่มสาวฟื้นฟูประเทศ จึงต้องนำเข้าแรงงานจากประเทศที่เคยเป็นเมืองขึ้นของเขา เช่น ลาว กัมพูชา และเวียดนาม ประเทศไทยที่มีส่วนรับผิดชอบ จึงต้องจัดสรรพื้นที่พักพิงให้ผู้ต้องการย้ายถิ่น ในระหว่างรอการส่งตัว
ในวันนั้น ศูนย์รับผู้อพยพอำเภอเมืองอุบลฯ คือที่เที่ยวสำหรับวัยรุ่นอย่างเรา เพราะแปลกหูแปลกตา มีคนพูดภาษาอื่นด้วย ศูนย์ฯ มีอายุกว่าสิบปี นานพอที่จะมีพืชผลยังชีพอย่างเช่นมะละกอ กล้วยขนมขบเคี้ยวในแบบของเขาให้เด็กๆ ได้ไปเที่ยวเล่นในศูนย์ฯ นี้
การเมืองเป็นเรื่องใกล้ตัวมากก็จริง แต่อะไรที่เกิดก่อนหน้าก็ยาวเกินกว่าจะคุยกันได้ในตอนนี้ ถ้ามองภาพใกล้สุดร่วมสมัยก็พอเข้าใจว่าทำไมฐานทัพอเมริกาจึงมาตั้งที่ประเทศไทย ทำไมจึงเกิดเหตุการณ์สิบสี่ตุลาฯ และหกตุลาฯ ในสังคมไทยตอนนั้น ทำไมนักศึกษาและนักวิชาการจึงไม่พอใจที่รัฐบาลไทยให้อเมริกาเข้ามาตั้งฐานทัพ ทำไมจึงมีนักศึกษาลุกขึ้นประท้วงจากวงเล็กๆ ขยายตัวเป็นวงใหญ่ระดับประเทศ
การประท้วงที่ว่าก็เพราะมีเหตุ มีฐานทัพก็ต้องมีทหารอเมริกันด้วย สังคมไทยเปลี่ยนแปลงมากจากการมีฐานทัพนี้ ชีวิตวัฒนธรรมที่แตกต่าง ไนท์คลับบาร์และสถานบริการทางเพศที่เปิดรองรับทหารอเมริกัน สร้างปัญหาใหม่ในสังคมไทยตอนนั้น เช่น เด็กลูกครึ่ง ข้าวนอกนาเด็กกำพร้าผิวสีและค่านิยมในการบริโภคเปลี่ยนแปลงทุกด้าน ทุกอย่างเกิดขึ้นควบคู่กับการมีอยู่ของศูนย์รับผู้อพยพ การส่งต่อผู้อพยพคนสุดท้ายเกิดเมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แล้วในที่สุดก็ปิดตัวลง
ใบเมี่ยง
ชาวเวียดนามที่สมัครใจทำมาหากินในประเทศไทย ที่อยู่รอบๆ โรงเรียนจีนของเรา นอกจากทำหมูยอก็จะทำใบเมี่ยงขาย ใบเมี่ยงทำจากแป้งเป็นแผ่นบางๆ ตากบนตะแกรงไม้ไผ่สาน เวลาเอามาห่อผักเขาจะลูบน้ำ แล้วแผ่นแป้งนั้นจะนิ่มม้วนกินได้ ชาวเวียดนามกลุ่มนี้เขาพยายามพูดภาษาไทย แต่เราไม่เคยพยายามพูดภาษาเวียดนาม มีความแปลกใจต่อตรงที่ทำไมภาษาราชการของเวียดนามจึงใช้อักษรโรมัน
ตอนหลังจึงพอเข้าใจได้ว่าในยุคล่าอาณานิคมประเทศลาว กัมพูชาโดนฝรั่งเศสเก็บภาษีหมดรวมทั้งเวียดนาม บาทหลวงฝรั่งเศส Alexander de Rhodes อยากเปลี่ยนความคิดคนเวียดนาม เลยหาวิธีคิดเขียนภาษาเวียดนามใหม่ เขาอยากให้คนเข้ารีตเป็นคริสตังมากขึ้น จนเมื่อเวียดนามเป็นไท ปลดแอกจากฝรั่งเศสได้แล้ว โฮจิมินห์ผู้นำประเทศจึงประกาศให้ใช้การเขียนตามแบบที่บาทหลวงคิดไว้ คือใช้ตัวอักษรโรมันเป็นภาษาแห่งชาติ ภาษาเขียนของเวียดนามจึงเปลี่ยนจากตัวจีนที่แสนยากมาเป็นภาษาที่มี ‘อักซอง’ แบบฝรั่งเศส
กว่าพันปีที่จีนปกครองเวียดนาม ผู้เฒ่าผู้แก่รุ่นตายายเขาเล่ากันว่าชาวเวียดนามไม่ประทับใจจีนเอามากๆ จึงยินดีที่จะใช้ตัวโรมันเพื่อให้ห่างไกลความเป็นจีน
Apocalypse Now ของฟรานซิส ฟอร์ด คอปโปล่า หนังในความจำที่ย้ำให้เห็นอำนาจของศิลปะ
หนังเล่าเรื่องพื้นที่เล็กๆ ที่ถูกกระทำ เล่าการกระทำของทหารหน่วยรบพิเศษที่เกิดขึ้นในสงครามเวียดนาม ฉากเล่นกระดานโต้คลื่นพร้อมๆ กับเสียงระเบิด เห็นลูกระเบิดและฉากพิธีกรรมฆ่าควายติดหูติดตา และยังจำภาพ โรเบิร์ต ดูวัล ได้จนวันนี้
เวียดนามเหนือรบกับเวียดนามใต้กินเวลาสิบเก้าปี บางทีเขาก็เรียกสงครามเย็น มองภาพง่ายๆ มันก็คือการรบของสังคมนิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ของจีนโซเวียต กับประชาธิปไตยของสหรัฐ เราควรจะเรียกว่าสงครามอเมริกาไหม เพราะอเมริกาไปรบ เอาระเบิดไปทิ้งใส่เวียดนามเหนืออย่างหนัก เพราะต้องการสกัดอิทธิพลของพรรคคอมมิวนิสต์จีนที่กำลังขยายตัวมากในเอเชีย เวียดนามเหนือมีจีนและโซเวียตสนับสนุนอยู่ จีนก็ต้องการขจัดอิทธิพลของอเมริกาต่อเอเชีย
งานนี้อเมริกามาขอใช้พื้นที่ประเทศไทยเป็นฐานพักระเบิด ประโยชน์ทางยุทธศาสตร์ก็น่าจะเป็นเพราะอยู่ใกล้ ทำให้ประหยัดค่าใช้จ่าย อเมริกาเข้ามาติดตั้งอุปกรณ์สืบราชการลับ ทำศูนย์พักฟื้นของทหารบาดเจ็บ การตัดสินใจของไทยที่ดูเหมือนช่วยอเมริการบเวียดนามเหนือครั้งนี้ขึ้นอยู่กับผู้นำทหารสูงสุด เขาเล่ากันว่าข้อตกลงเอาประเทศไปแลกเปลี่ยนกับอะไรกันทั้งหลายในหมู่ผู้นำทหารไม่มีกฎกติกาเป็นลายลักษณ์อักษร และยังไม่จำเป็นต้องเปิดเผยอีกด้วย อันนี้ก็แปลก
สงครามอเมริกาหรือสงครามเวียดนามส่งแรงกระทบต่อสังคมไทยหลายอย่าง การรับรู้นี้มาพร้อมกับวรรณกรรม หนังสือเรื่องสั้น ถ้าคนอ่านหนังสือจะเห็นกระแสนี้ชัดเจนมาก มาควบคู่กันกับการมีอยู่ของทหารอเมริกา คนที่ไม่เห็นด้วยกับการทำสงครามเหมือนหมาป่ากับลูกแกะก็ออกมาต่อต้าน โดยเฉพาะในหมู่นักคิด นักเขียน นักวิชาการ มีเรื่องสั้นบทกวีแปลจากค่ายคอมมิวนิสต์เข้ามาเยอะมาก ทั้งสายโซเวียต สายจีน และยุโรปเหนือ
ตอนนั้นเราคิดเอาว่ารัฐบาลคงจะยังงงๆ ว่าจะทำอะไรดี จนกระแสสุกงอม เกิดเหตุการณ์ที่นักศึกษาออกมาเดินขบวนประท้วงแล้วขยายตัวไปทั้งประเทศ จนเกิดเหตุการณ์หกตุลาฯ ที่ลืมไม่ลงนี่แหละ
ตอนนั้นนักศึกษาฝ่ายที่สนใจบทบาทของลุงโฮในฐานะผู้นำขบวนการปลดปล่อยเวียดนาม ที่อ่านบันทึกของคนบ้าและเรื่องจริงของอาคิว คนที่อ่าน จิตร ภูมิศักดิ์ ก็อาสาเขียนโปสเตอร์ออกค่ายร่วมกิจกรรมของนักศึกษา น่าจะเป็นช่วงที่นักศึกษามีบทบาทในสังคมโดดเด่นมาก ขนาดมีแนวร่วมสภานักศึกษาทั่วโลกที่ส่งผ่านข้อมูลอย่างทั่วถึงกัน มีแนวคิดตรวจสอบอำนาจของทุนนิยม ในขณะที่ศิลปินบางส่วนยังสายลมแสงแดดอยู่เลย
สังคมไทยน่าจะเริ่มมีแกลเลอรี่ กับคำว่า ‘ศิลปิน’ ก็ในช่วงที่มีฐานทัพอเมริกา แต่ก่อนเราคงเรียกกันง่ายๆ ว่าช่างเขียนช่างวาด คำว่าเพื่อมวลชนก็น่าจะมาคุ้นเคยจากบทเพลง กวีและกลุ่มกิจกรรมเพื่อสาธารณะ ภาพที่เรารู้จักเกี่ยวกับตัวตนเวียดนามและผลข้างเคียงจากเวียดนามคือแบบนี้
จับคู่ทำงาน
หลังการแนะนำตัว อาจารย์ฝ่ายเจ้าบ้านเขากำหนดรายละเอียดมาแล้ว เรามีอาจารย์ที่ทำงานแนวประเพณีปักผ้าไหมของเวียดนามเป็นบัดดี้ ในชั่วโมงทำงานจะมีนักศึกษาของอาจารย์บัดดี้เป็นผู้ช่วย วิธีนี้เท่ากับขยายประสบการณ์ความงามของนักศึกษาไปพร้อมกัน
เมื่อเตรียมทุกย่างพร้อม เราจะสื่อสารกับเขาด้วยเรื่องอะไร จากประวัติศาสตร์เวียดนามเหนือรบกันเองกับเวียดนามใต้คงเป็นเพราะรู้สึกถึงความเหลื่อมล้ำหรือช่องว่างของคุณภาพชีวิต คนส่วนใหญ่น่าจะชอบแนวคิดแบบเวียดนามเหนือมากกว่าไทยที่อยู่ฝ่ายสนับสนุนอเมริกาช่วยเวียดนามใต้รบ ดูเป็นการรับจ้างรบ ไม่เหมือนเวียดนามเหนือที่รบเพื่อเอกราชของคนในชาติตัวเอง
ความรู้สึกที่ต่างกันตอนรบมันทำให้เห็นจิตใจมนุษย์ที่ขับเคลื่อนด้วยเป้าหมายแตกต่าง
ภาพร่างเกิดขึ้นหลังจากเดินตามตรอกซอกซอย จากความรู้ความทรงจำ เรามองเห็นภาพโคมไฟแทบทุกที่ ทุกทาง บนบ้าน ข้างถนนก็นึกถึงแสงสว่าง มีแสงสว่างอยู่ทุกที่ทุกทาง ถ้าไม่จนใจ ที่สังเกตเห็นอีกอย่างคือช่อดอกไม้นิรนามที่วางอยู่บนกำแพงรั้วบ้าง หรือไม่ก็ใครนะสอดช่อดอกไม้นั้นในซอกเสาไฟ หรือตามพื้นดินที่วางได้ เราเข้าใจไปเองว่าเหมือนการไหว้ฟ้าดิน หรือเพื่ออะไรสักอย่าง ไม่ได้ถามจริงจัง ช่อดอกไม้หลากสีทำให้การเดินบนถนนดูโรแมนติก ใครจะเห็นแบบนี้บ้าง
ทะเลสาบ แม่น้ำหอม กับประเทศหลังสงครามที่มุ่งมั่นขยันจริงจังไม่อะลุ้มอล่วยให้กับของฟุ่มเฟือย ภาพนักศึกษาศิลปะของเขาที่ใช้เศษไม้ในการสร้างงาน บางคนใช้หัวไม้ขีดไฟ บางคนกำลังใช้ยางในรถยนต์ตัดเป็นเส้นแบนยาวๆ ภาพที่เห็นมันตัดสลับมาที่สถาบันศิลปะของไทยที่เครื่องมือเครื่องไม้เพียบพร้อมกว่าหลายเท่า แต่ปริมาณความตั้งใจอาจไม่เท่ากัน ความคิดหยุดอยู่กับที่
ชั่วโมงทำงานสามวันที่ร่วมกับนักศึกษา เราช่วยกันทำตามแนวคิดที่กำหนดไว้โดยอาจารย์ผู้ช่วยร่วมบรรยายถึงรายละเอียดของแนวคิด เกี่ยวกับเราต่างมีประวัติศาสตร์ มีแสงสว่างของตัวเอง เวลาที่ร่วมกันทำงานตรงนี้คือการรับรู้วิธีที่แตกต่างไปจากแนวทางการทำงานแบบอะคาเดมิค เราคุ้นเคยอยู่แล้วว่าในสถาบันการศึกษาคือการเรียนรู้วิธีคลาสสิกเป็นเบื้องต้น การพบปะ Professional ในแต่ละสายอาชีพที่จริงใจถ่ายเทความรู้ ย่อมทำให้เกิดประสบการณ์ใหม่ที่ต่างไป
วันสุดท้ายคือวันเปิดนิทรรศการศิลปกรรมชุด Connecting มีผลงานของกลุ่มอาจารย์เจ้าภาพที่สร้างผลงานไว้ก่อนแล้ว
มีอาจารย์ นักศึกษา และผู้สนใจมาร่วมงาน ทุกคนทำให้งานเปิดดูสำคัญ จริงจัง มีค่า ตรงเวลา ไม่ใหญ่เกินตัว ส่วนประกอบต่างๆ ดูเหมาะสมกับขนาดของนิทรรศการ
สิ่งที่เห็นจากการร่วมงานครั้งนี้คือ ไม่ว่าคุณจะคือผู้ชนะ หรือแพ้ในการรบใดๆ ก็ตาม ชีวิตมันก็คือเนื้อหนัง มีความเป็นมนุษย์เหมือนกัน เรียกหาปัจจัยหล่อหลอมชีวิตไม่แตกต่าง สูงต่ำดำขาวก็หนีไม่พ้นวงเวียนเกิดขึ้นและเสื่อมสลายเหมือนกัน ภาพการจับมือกอดเกี่ยวกันของมนุษย์มันงดงามเสมอ.
เรื่องและภาพ สุมาลี เอกชนนิยม
เกี่ยวกับผู้เขียน : สุมาลี เอกชนนิยม จิตรกรชาวร้อยเอ็ด จบช่างศิลปแล้วไปต่อจุฬาฯ ก่อนบินลัดฟ้าสู่มหาวิทยาลัย Sorbonne กรุงปารีส แสดงเดี่ยวครั้งแรกในปี 1996 และทำงานสืบเนื่องเสมอมา มีโชว์ทั้งในและต่างประเทศ เคยเป็นอาจารย์สอนศิลปะที่สถาบันบัณฑิตพัฒนศิลป์อยู่ 19 ปี ปัจจุบันเป็นศิลปินอิสระ ใช้เวลาหลักๆ อยู่กับการเขียนรูป เธอเคยพูดกับมิตรสหายว่า ‘การเขียนรูปคือรางวัลสูงสุดที่มอบให้ตัวเอง’