essay

หลงทาง

1

ณ สถานีขนส่งหมอชิต ราวๆ ช่วงโพล้เพล้
เบียร์ลีโอ ข้าวกะเพราใส่ถั่วฝักยาว โทรทัศน์เล่าข่าวการเมืองไทยที่ดูยังไงก็ไม่มีความปกติ (เห็นจนชินตา)

“ผมหลงทางว่ะพี่”

ผมพูดกับพี่หนึ่ง ผมไม่ได้ชอบชีวิตที่เป็นอยู่ ไม่ชอบการตัดสินใจของตัวเองในอดีตที่นำพาปัจจุบันมาอยู่ที่จุดนี้ แต่ผมก็พยายามทำตามความฝัน พัฒนาตัวเอง ใช้เวลาให้คุ้มค่าที่สุดในทุกๆ วัน

“ถ้าเรามีความพยายามอย่างแน่วแน่ ยังไงมันต้องมีผลลัพธ์บ้าง ไม่เสียเปล่าแน่นอน อาจจะไม่ร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ไม่ติดลบ” พี่หนึ่งกล่าว

การบ้านการเมือง ดนตรี อเมริกา ฝรั่งเศส โครงการแลกเปลี่ยน การพัฒนาตัวเอง หลายๆ เรื่องราวพรั่งพรูออกมาบนโต๊ะในห้องอาหารมอมแมม

“ที่เราคุยกันมันน่าจะมีวิชาสอนในมหาลัยเนอะ ชื่อวิชา–โอกาสชีวิต อะไรประมาณนี้ สลับเอานักเขียน นักวิชาการ นักดนตรีหมอลำ ชาวนา เอาคนจากหลากหลายอาชีพมาพูดคุยกับนักศึกษา แลกเปลี่ยนกัน ดูสนุกดี”

ผมเห็นด้วยมากๆ

ราวสองทุ่มเราเดินไปที่ชานชาลา

“ตอนนี้ที่น่านน่าจะเขียวๆ สวยดี ถ้าว่างก็ขึ้นมาเที่ยวตามสะดวกนะ” พี่หนึ่งกล่าวก่อนขึ้นรถทัวร์กลับบ้าน

ผมเตรียมหารถกลับที่พัก แยกย้ายกันไปใช้ชีวิต ต่างคนต่างทำในสนามตนเอง ต่างสถานที่ ต่างช่วงวัย

“ถ้ารออย่างเดียวมันไม่มีอะไรเกิดขึ้นหรอก อย่ารอพร้อม ลงมือทำก่อนเลยแล้วค่อยๆ เรียนรู้จากมันไป”

คำพูดนี้ในบทสนทนาวันนั้นยังคงดังก้องในจิตใจของผม


2

“ขอโทษที่แบ่งเวลาไม่ดี จะพยายามมากกว่านี้”

“ขอโทษที่ใช้อารมณ์มากไป ขอโทษมาหลายครั้งแล้ว แต่ไม่เคยทำได้”

“ขอโทษที่ตอนนี้ยังให้กันได้แค่นี้”

การแยกทางบางครั้งอาจชั่วคราว บางครั้งอาจถาวร ผมเจอมาหมดในทุกรูปแบบของความสัมพันธ์ เพื่อน คนรัก พี่น้อง ครอบครัว มันไม่เคยทำใจง่ายเลย บางบทสนทนา บางกิจกรรมที่ถูกห่อหุ้มด้วยความคุ้นชิน อาจเป็นครั้งสุดท้ายโดยที่เราไม่รู้ตัว เมื่อโตขึ้นก็เริ่มชินชาความโกรธค่อยๆ หายไป เปลี่ยนไปเป็นความเข้าใจ แต่ความเสียใจยังคงอยู่เสมอ มาในรูปแบบที่สงบลง แต่ไม่เคยที่จะหายไป

3

“ It’s a hard day for me
Maybe this is new kind of feeling in my life
I can’t see you by my side
But maybe tonight I see you in my dream

But I know baby what you do It’s right
And I know maybe ………. “

บทเพลงที่ผมเขียนไม่จบเมื่อวาน ในมือมีกีตาร์โปร่งของพ่อ บนโต๊ะมีแก้วไวน์ ผมพยายามทำความเข้าใจกับความรู้สึก ‘เศร้า’ พยายามอยู่กับมัน ไม่หนีมัน

“เราว่าวินเนอร์เป็นทุกข์เพราะวินเนอร์ไม่อยากเจอความผิดหวังเลยแม้แต่วินาทีเดียว วินเนอร์อยากหนีจากความรู้สึกแย่ตลอด”

ตอนได้ยินเธอพูดครั้งแรกผมอาจจะงุนงง ปนโกรธเล็กน้อย

“แต่ก็ไม่เคยหนีปัญหานะ สู้มาตลอด พยายามทำทุกอย่างให้ดีมาตลอด ทุ่มสุดตัว ทำสุดใจ ในทุกเรื่องที่หวัง แต่สุดท้ายมันก็ไม่เป็นตามแผนเลยสักครั้ง”

จำไม่ได้ว่าผมกล่าวไปไหม แต่ในใจคงพูดประมาณนี้

“ใช่ เข้าใจ แต่ความแน่นอนเดียวของโลกนี้คือความไม่แน่นอน ทุกอย่างมันเกิดขึ้นได้เสมอ เราทำดีที่สุดแล้วแต่บางปัจจัยเราควบคุมมันไม่ได้ เรารู้สึกแย่ได้ แต่ก็ต้องเรียนรู้ที่จะอยู่กับมัน ยอมรับว่ามันเกิดขึ้นได้ แล้วมันจะค่อยๆ ง่ายขึ้นทุกครั้ง  ไม่ใช่คิดแต่จะหาทางออก แบบนี้มันจะยิ่งแย่กว่าเดิม”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรต่อ บางทีนี่คงเป็นคำตอบ แผนที่หรืออะไรบางอย่าง ที่ผมจะเอาไว้ใช้จัดการกับตัวเอง

ไม่ว่าความสัมพันธ์นี้สุดท้ายจะต้องลงเอยอย่างไรในปลายทาง นี่เป็นบทเรียนสำคัญอันล้ำค่าที่ผมได้รับมา


4
ภาพยนตร์เรื่อง marriage story  ผมดูครั้งแรกแล้วประทับใจมากๆ ตัวหนังสื่อสารแง่มุมของความสัมพันธ์ ความผูกพัน ความรับผิดชอบ ของคู่สามีภรรยาที่มีลูกด้วยกันและกำลังจะหย่าร้าง การถกเถียง ความต้องการที่ต่างกันในชีวิต

‘ภาพ’ ที่วันนึงมองคล้าย แต่วันนี้มองต่าง

‘รัก’ คำๆ เดียวกัน แต่ต่างจากความหมายเมื่อมาจากหัวใจคนละดวง

การหลงทางในความรู้สึก ความไม่ลงตัวของจังหวะชีวิต อาจนำพามาซึ่งการแยกจาก แยกทาง แต่นั่นไม่ใช่ความล้มเหลว

จบลง สิ้นสุดมิได้แปลว่าเสียเปล่า ในทุกๆ เรื่องไม่ว่าจะในความสัมพันธ์หรือความฝัน การที่เราทำดีที่สุดแล้วในช่วงเวลานี้ มันเป็นความสำเร็จที่ไม่มีตัวชี้วัด ไม่มีคำยินดี ไม่มีรูปธรรม

‘เวลา จังหวะชีวิต’ มันเป็นพลังของธรรมชาติที่เราไม่อาจชนะมันได้ เราอาจเกิดมาเรียนรู้หรือไม่ก็รับกรรมแล้วแต่มุมของต่างคนจะมอง

‘ชีวิตของคนอื่น’ มนุษย์เป็นสัตว์สังคม ทุกชีวิตล้วนต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น ทุกคนล้วนโยงใย ยุ่งเหยิงกันไปมาความต้องการ ทัศนคติของแต่ละคนนั้นต่างกัน บ้างมากบางอย่าง น้อยบางอย่าง เราควบคุมคนอื่นไม่ได้ บางอย่างในตัวเองเรายังควบคุมไม่ได้เลย

เรื่องราวหรือปัจจัยในชีวิตของเราที่มีคนอื่นอยู่ในสมการ เราเอาแน่เอานอนกับมันไม่ได้ แต่ไม่ได้แปลว่าเขาหวังร้ายกับเรา แค่ชีวิตของเขาก็มีเงื่อนไขที่ยุ่งเหยิงเหมือนกัน แต่เราคงไม่อาจมองเห็นภาพนั้นได้ชัดเจน

เพราะ ‘เรา’ ไม่ใช่ ‘เขา’

ถ้าเรารู้อยู่ในใจว่าเขาไม่ใช่คนที่อยากทำร้ายหรือเอาเปรียบ ก็ไม่มีอะไรต้องติดค้างฝังใจระหว่างกัน


5

การวาดภาพของ Jackson Pollock เขาดึงเอาอารมณ์ขณะนั้นและบรรยากาศรอบตัว มาใส่ในรูปวาดทันที ผ่านเทคนิคการสาดสีลงบนผืนผ้า โดยที่เขามองภาพรวมจากข้างบน

“ผมไม่วาดธรรมชาติ ผมคือธรรมชาติ”

คำกล่าวนี้ไม่เกินจริง อะไรจะเป็นธรรมชาติ เป็นปกติ ไปมากกว่าจิตใจที่ไม่มั่นคง และการกระทำที่ไม่แน่นอนของมนุษย์

ผลงานของเขา บางคนอาจมองว่าสวยในครั้งที่สอง บางคนอาจครั้งแรก บางคนอาจไม่เข้าถึงเลย

เหตุการณ์ในชีวิตของเราก็เช่นกัน เราอาจเข้าใจมันในอีกสิบปีถัดมา แต่บางคนที่ร่วมเหตุการณ์ดันมองเห็นอีกแบบในวันแรก

“ธรรมชาติคือความแตกต่างและไม่แน่นอน”

เราต้องยอมรับความจริงในจุดนี้เราเป็นแค่มนุษย์ วันหนึ่งต้องตายจาก ดับสูญ การทำทุกอย่างให้ดีที่สุด แต่ไม่ยึดติดกับความคาดหวังอาจเป็นทางที่ทำให้พบความสงบก็ได้

ความไม่แน่นอนคือความสวยงามของชีวิต เป็นบทเรียนต่อไปที่ผมต้องเรียนรู้.

 

 

nandialogue

 

 

เรื่องโดย Passakorn


เกี่ยวกับผู้เขียน : ‘วินเนอร์’ พัสกร สหชัยรุ่งเรือง นักศึกษาปี 4 คณะดุริยางค์ศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร กำลังสนุกกับการเล่นดนตรีและเขียนเพลง (เดี่ยวและแบนด์) ทดลองฟังผลงานเขาได้ที่เพจ Passakorn

You may also like...