the letter

ไปเมืองหลวง

พี่หนึ่งครับ

เสียงที่ผมได้ยินในเวลานี้เป็นบทสนทนาที่เสียงไม่ดังนัก เป็นเสียงของนักต่อสู้ทางการเมือง เป็นเสียงของทั้งผู้หญิงผู้ชาย ทั้งรุ่นใหม่และรุ่นก่อนหน้า

ผมได้ยินการเล่าเรื่องชีวิตในป่าและประสบการณ์ชีวิตของการลี้ภัยในต่างประเทศ เสียงของการพูดถึงมิตรและคนรู้จัก การไต่ถามสารทุกข์สุขดิบของชื่ออีกหลายชื่อ การหัวเราะ การส่งเสียงแสดงความประหลาดใจ รวมทั้งเสียงแสดงความโกรธขึ้งร่วมกัน เสียงช้อนส้อมกระทบจานและการชื่นชมฝีมือการทำอาหาร

ข้างนอกหน้าต่างท้องฟ้ามืดไปนานแล้ว

 

the letter

 

การเดินทางจากทางใต้ขึ้นมาเมืองหลวงสตอคโฮล์มของผมครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ครั้งแรกผมนั่งรถไฟมา ใช้เวลาห้าชั่วโมง ครั้งที่สองผมนั่งเครื่องบิน ใช้เวลาชั่วโมงครึ่ง ครั้งนี้ผมนั่งรถทัวร์ซึ่งจะใช้เวลาแปดชั่วโมง

การนั่งรถทัวร์ก็ไม่ใช่ด้วยเหตุผลอะไรมากไปกว่าการเป็นทางเลือกของคนรายได้ต่ำนั่นละครับ เมื่อวานนี้ผมเตรียมตัวออกจากห้องเพื่อที่จะไปที่ท่ารถ นั่งรถเมล์ไปต่อหนึ่ง (ถ้าเป็นหน้าร้อนก็ใช้จักรยานเช่าปั่นไปได้) รถทัวร์นี้เป็นบริษัทที่เขามีทั่วยุโรปครับ เพราะฉะนั้นคนขับเองก็ไม่ใช่คนที่นี่ ผมเคยนั่งรถทัวร์ลงไปเบอร์ลินเมื่อปีก่อนเหมือนกัน และคนขับก็มักจะเป็นผู้ชายจากยุโรปตะวันออกกันเสียมาก

ก่อนจะขึ้นรถผมก็แวะซื้อแซนด์วิชมาสองอัน เป็นแซนด์วิชไก่ซอสครีมชิ้นหนึ่ง กับแซนด์วิชซาลามีอีกชิ้นหนึ่ง ชามะนาวอีกหนึ่งกระป๋อง เตรียมเอาไว้ก่อนเพราะก็ไม่รู้ว่าเขาจะมีหยุดแวะให้ซื้ออะไรกินระหว่างทางหรือเปล่า ซึ่งก็ปรากฏว่าไม่มีการแวะใดๆ เลยตลอดทางจริงๆ

ปีนี้ดูเหมือนว่าเขาจะเปลี่ยนการตกแต่งภายในรถอยู่มากเหมือนกัน แต่ผมไม่แน่ใจว่าจะเหมือนกันหมดทุกคันหรือเปล่านะครับ รถคันที่ผมนั่งเขาติดกระจกรอบคัน ถ้านั่งจากข้างในก็จะมองออกไปได้ทั่ว รวมทั้งมองทะลุเพดานได้ด้วย ซึ่งก็จะทำให้ไม่รู้สึกอึดอัดจนเกินไป แปลกดีว่า ครั้งที่ผมนั่งรถทัวร์ไปเบอร์ลินผมกลับจำไม่ได้ถึงความอึดอัด ในรถคันนั้นเขาก็ไม่ได้มีกระจ่งกระจกอะไร แต่พอคันนี้เขาเปิดเพดานให้เห็นท้องฟ้า ผมกลับเกิดความรู้สึกว่า เอ้อ เราไม่เคยรู้เลยว่ามีอะไรอยู่เลยเพดานสูงขึ้นไป แต่พอเพดานถูกเปิดและเห็นท้องฟ้า กลับเกิดความอึดอัดขึ้นมาได้อย่างนั้น

 

the letter

 

ถ้าจะสรุปรวมการเดินทางขามา ว่าไปแล้วก็ไม่มีอะไรมากเลยครับ ตลอดห้าชั่วโมงแรก สองข้างทางก็คือทุ่งนาและป่าไม้ อีกสามชั่วโมงหลังสองข้างทางคือความมืด ความมืด และความมืด

หลายครั้งที่ผมนั่งรถทัวร์ไม่ว่าจะที่ไหนก็ตาม ก็จะมีความทรงจำหนึ่งผุดขึ้นมาเสมอ นั่นคือการเดินทางครั้งหนึ่งจากเชียงใหม่กลับกรุงเทพฯ ด้วยรถทัวร์เที่ยวกลางคืน น่าจะเกือบสิบปีมาแล้วครับ ในคืนนั้นพอผู้โดยสารทุกคนนั่งประจำที่เป็นที่เรียบร้อยและเตรียมออกเดินทาง พนักงานต้อนรับบนรถก็สวัสดีผู้โดยสารอย่างเป็นทางการ และยื่นไมค์ไปให้กับคนขับ

คนขับก็ประกาศให้ผู้โดยสารฟังว่า ข้าพเจ้าชื่อนั้นชื่อนี้ เป็นคนขับรถ และจะขอสัญญาต่อผู้โดยสารว่าจะขับรถอย่างดีที่สุด เพื่อให้ผู้โดยสารถึงที่หมายอย่างปลอดภัย ฯลฯ ฯลฯ

ผมจำคำมั่นสัญญาครั้งนั้นได้ และเมื่อผมขึ้นรถ ขึ้นเครื่องบินเพื่อเดินทางไกลเมื่อไหร่ ผมก็จะนึกขึ้นมาเล่นๆ เสมอว่า ถ้าสายการบินไหน (อาจจะเป็นเจ้าของเดียวกับบริษัทรถทัวร์ที่ผมนั่งคืนนั้น) เกิดอยากจะให้กัปตันพูดออกเครื่องกระจายเสียงสื่อสารแก่ผู้ฟัง ว่าผมกัปตันชื่อนั้นชื่อนี้ จะขับเครื่องบินลำนี้ให้ดีที่สุด เพื่อนำท่านผู้โดยสารไปถึงอย่างปลอดภัย ผู้โดยสารก็คงหันมามองหน้ากันเลิกลั่ก

แต่ต้องนึกเล่นๆ เท่านั้นครับพี่ เพราะที่พนักงานขับรถหรือกัปตันที่ไหนเขาไม่ได้ทำกัน ก็เพราะคำสัญญาที่ว่านี้มันเกิดขึ้นไปแล้วเมื่อมีการซื้อตั๋ว กฎและข้อตกลงยุ่บยั่บมากมายที่พ่วงมากับหางตั๋วเวลาจ่ายเงินซื้อตั๋วไปแล้ว นั่นก็คือคำสัญญาที่มีผลผูกพันทางกฎหมาย และจะให้ดียิ่งขึ้นไปอีก ผมควรจะซื้อประกันเพิ่ม เพื่อให้คำมั่นสัญญานี้มีผลสูงสุด ได้เงินชดเชยในกรณีเขาไม่ขับรถไปส่งผมถึงที่หมายที่ระบุไว้ในตั๋ว

คำสัญญาในคืนนั้นมันกลับมีผลผูกพันทางใจมากกว่าทางกฎหมาย ซึ่งอย่างแรกและอย่างหลังดูเหมือนจะไปด้วยกันไม่ได้ง่ายนักในหลายกรณี

เนื่องด้วยบริษัทรถทัวร์ไปเมืองหลวงครั้งนี้เขาโฆษณาว่ามีไวไฟให้บนรถ ผมก็เตรียมตัวมาทำงานเต็มที่เลย ชาร์จแบตคอมพิวเตอร์ไปอย่างเต็มที่ กะว่าพอขึ้นรถแล้วจะลุยเลย และทำไปเรื่อยๆ ตลอดทางถ้าไม่เมารถเสียก่อน

ปรากฎว่าพอขึ้นรถมาไวไฟใช้ไม่ได้ครับ ไม่รู้เกิดจะเสียอะไรขึ้นมา คราวนี้แผนการพังทลาย เพราะถ้าใช้อินเทอร์เน็ตจากมือถือก็อาจจะหมดเสียก่อน ไม่มีใช้ในยามฉุกเฉิน เช่น ในการเปิดกูเกิลแมปเวลาหลงทาง การเดินทางไปเมืองที่ไม่เคยไปจึงมีความจำเป็นที่จะต้องมีอินเทอร์เน็ตเหลืออยู่บ้างในยามฉุกเฉิน

เมื่อไม่รู้จะทำอย่างไร พอดแคสต์ที่โหลดมาก็ไม่มีอะไรน่าสนใจอยากฟังในเวลานั้น ผมจึงได้แต่มองออกไปข้างนอก ก็อย่างว่านั่นละครับ เริ่มต้นก็เป็นทุ่งนาล้วนๆ มีแต่นกบินเป็นกลุ่มอยู่ไกลๆ หรือถ้าจะมีอะไรพิเศษอยู่บ้างก็เป็นฝูงวัวเลี้ยงที่ผ่านสายตาไป

 

the letter

 

ยิ่งเวลาผ่านไปนานเข้า ผมก็เริ่มรู้สึกว่ากำลังเดินทางข้ามประเทศ ไม่ใช่เป็นเพราะว่าไกล เป็นแต่เพราะว่าเส้นทางอันยาวนานเหล่านี้ไม่มีอะไรที่มันสะกิดใจผมเลย ผมหมายความว่า ถ้าผมเป็นเด็กบ้านนอก เติบโตในทุ่งนาเลี้ยงควาย พอเห็นทิวทัศน์ข้างนอกก็ควรจะมีอะไรให้ระลึกถึงความทรงจำได้บ้าง แต่ผมก็ไม่ใช่ หรือถ้าผมเคยมีชีวิตอยู่ต่างจังหวัด ใกล้ป่า ใกล้น้ำ ก็ยังจะมีอะไรเป็นสิ่งฟื้นความทรงจำได้ แต่ผมก็ไม่ใช่อีก สิ่งที่สะกิดใจผมมาหลังจากนี้ต่างหาก เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังครับพี่

แต่อาการขาดไวไฟก็หมดลงเมื่อถึงเมืองเฮลซิงบอร์ก สักชั่วโมงเดียวหลังจากออกเดินทาง นั่นก็ทำให้ผมได้เริ่มเตรียมเรื่องเป็นภารกิจที่จะไปทำที่เมืองหลวง

น่าแปลกดีนะครับพี่ อันที่จริงแล้วผมกลัวจะเมารถเหมือนกัน ซึ่งก็มีอาการอยู่บ้างนิดหน่อย แต่ช่วงเวลาสี่ชั่วโมงนั้นกลับผ่านไปโดยที่ผมนั่งจ้องที่หน้าจอเพื่อเตรียมอะไรโน่นนี่จิปาถะ และรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้วิงเวียนศีรษะมากนัก

ช่วงสามชั่วโมงท้ายข้างนอกมืดหมดแล้วครับ เวลาก็ประมาณห้าหกโมงเย็น ช่วงท้ายของการเดินทางรอบนี้มีอะไรที่น่าสนใจอยู่ คือก่อนจะเข้าเมืองหลวงสตอคโฮล์มรถก็จะแวะไปรับผู้โดยสารที่บินลงสนามบินเล็ก Skavsta นอกเมือง เหมือนสนามบินนี้จะเป็นสำหรับสายการบินโลวคอสต์ ที่บินมาจากที่ต่างๆ ในยุโรป

คนหนุ่มสาว น่าจะวัยอยู่ที่ 19-23 ขึ้นมาจนเต็มคันรถ พวกเขาสนทนากันอย่างร่าเริง ในตาของพวกเขามีประกาย ในน้ำเสียงของพวกเขามีความตื่นเต้น พวกเขาพูดภาษาสเปน น่าจะเป็นเด็กวัยมหาวิทยาลัยปีแรกที่เก็บเงินกันเองและเดินทางมาเที่ยวสตอคโฮล์มในวันสุดสัปดาห์ พวกเขาบินมาถึงวันศุกร์เพื่อมาเที่ยวกันในวันเสาร์อาทิตย์

คนหนุ่มสาวเหล่านี้กำลังแสวงหา พวกเขามีความรักมากมายที่จะให้และเสีย พวกเขาทำให้ผมใจชื้น กระชุ่มกระชวย

ฉบับต่อไปจะว่าด้วยสามคืนในเมืองหลวงครับพี่

แจ่ว
บนรถไฟเออเรซุนด์ไปมัลเม่อ

 

 

nandialogue

 

ตอบ ปรีดี

ถ้าจะเอาประสบการณ์ว่าด้วยรถทัวร์เมืองไทยมาคุยกัน เราน่าจะได้นวนิยายไตรภาค เอาแบบสั้นๆ ระหว่างที่รอคุณเล่าเรื่องสามวันในเมืองหลวง

หนึ่ง ทันทีที่ล้อหมุน เขาจะเปิดหนังทันที เรื่องที่เราไม่เข้าใจเลยก็คือร้อยทั้งร้อยเป็นหนังแอ็กชั่น พากย์ไทย ยิงกันแหลก เสียงเปิดให้เบาพองามก็น่าจะทำได้ แต่ไม่ ส่วนใหญ่ดังฉิบหาย ทั้งที่เป็นรถรอบค่ำ คนเตรียมจะหลับจะนอน ช่างเป็นวิธีเห่กล่อมที่เต็มไปด้วยสุนทรียรสโดยแท้

สอง ประมาณเที่ยงคืน เสียงเพลงจะดังขึ้นมาพร้อมๆ แสงไฟสว่างจ้า การผลัดเปลี่ยนคนขับนั้นเป็นเรื่องเข้าใจได้ แต่วัฒนธรรมกินข้าวตอนเที่ยงคืนนี่มันก็งงๆ ง่วงๆ จะกินก็ไม่หิว จะนอนต่อก็ไม่หลับ คนเขาลุกกันพรึ่บพรั่บทั้งคัน

และสาม ก่อนถึงจุดหมายราวสักเกือบๆ ชั่วโมง เพลงจะถูกเปิดขึ้นมาอีกครั้ง เปิดดังๆ พร้อมไฟสว่างจ้า บางเจ้าใจดีมาก แจกผ้าเย็นและเสิร์ฟกาแฟร้อนด้วย (เราไม่สนใจทั้งสองอย่าง) คือเข้าใจเป้าหมายในการปลุกให้ตื่น แต่นึกออกไหมว่าเอื้อมมือมาสะกิดเบาๆ ก็ได้ สิ่งที่ทำอยู่มันคล้ายกระทืบหรือตบหน้ามากกว่า นี่ยังไม่นับว่าบางทีผ้าที่ห่มอยู่อุ่นๆ ก็ถูกฉุดกระชากไปในนาทีนี้ ทั้งสิ้นทั้งปวง คงเป็นลักษณะเฉพาะของบางบริษัท และหลายเจ้าก็น่าจะปรับเปลี่ยนวิธีปลุกไปบ้างแล้ว (หวังว่าจะเป็นเช่นนั้น)

สมมุตินะสมมุติ ว่ารถทัวร์เมืองไทยชอบการฉายหนังมาก ยังไงก็จะไม่ยกเลิก คุณว่ามันจะเป็นไปได้ไหม ถ้าลองโหวตกันหน่อย ว่าเอาหนังแบบไหนดี วันนี้มีให้เลือกสี่แบบ ฯลฯ ก็ในเมื่อปรัชญาของบริษัทเดินรถก็ล้วนมุ่งให้บริการผู้โดยสารไม่ใช่เหรอ หรือว่าเพื่อคนขับ บัสโฮสเตส.. ถ้าหลักการหรือประเด็นมันชัด การจัดการก็ไม่น่ายาก ประโยชน์ก็จะเกิดกับทุกฝ่าย หลักๆ คงเป็นเพราะเราปล่อยปละละเลยกันมากเกินไปนั่นแหละ หลายเรื่องจึงยังคงเป็นปัญหา และตลกไม่ออกจริงๆ นะ ในเคสขนบทำนองเดียวกับสัญญาของคนขับ แปลกดี เรื่องที่ควรเป็นพื้นฐานและสำนึกสามัญมากๆ เรากลับต้องมาป่าวประกาศ คือยิ่งทำแบบนี้มันยิ่งน่ากลัวน่ะ ในทุกๆ เรื่อง สังคมของเราจะไม่มีความเป็นมืออาชีพกันจริงๆ แล้วใช่ไหม

เห็นภาพคุณเดินอยู่กับผู้ลี้ภัยทั้งสามคือ จรัล ดิษฐาอภิชัย จิตรา คชเดช และ ชนกนันท์ รวมทรัพย์ ที่สตอกโฮล์มแล้วรู้สึกแย่ เมื่อไรแสงสว่างจะเดินทางถึงบ้านเมืองนี้สักที

รออ่านจดหมายฉบับต่อไปของคุณ

 


เกี่ยวกับผู้เขียน : ปรีดี หงษ์สต้น นักเขียน นักแปล นักวิชาการ ย้ายไปอยู่ประเทศสวีเดน เลี้ยงลูกไปพร้อมๆ กับสังเกตสังกาชีวิตที่เคลื่อนย้ายผ่านเวลาสถานที่ ภายใต้ระเบียบเสรีนิยมประชาธิปไตย

You may also like...