interview

เปิดหมวก ตลาดเช้า ครูเก่า คาราโอเกะ “ดนตรีมันไม่มีขีดจำกัด”

เสียงจากนักดนตรีเปิดหมวกบอกว่า ‘ที่นี่คือตลาดแห่งเดียวในโลกที่มีดนตรีและคาราโอเกะยามเช้า’

คงเป็นโวหาร หรือการเคลมมากกว่าความจริง แม้กระนั้น การพูดเล่นๆ เพื่อเอาสนุกนี้ก็นับว่ามีเชื้อมีมูล ลองย้อนนึกไล่เรียงอดีตที่อยู่มาหลายเมือง เดินทางหลายหมื่นลี้ ภาพบันเทิงของนักดนตรีกับพ่อค้าแม่ค้าเช่นนี้ก็หาดูได้ไม่ง่าย คนหนึ่งเล่น คนหนึ่งร้อง อีกหลายคนเริงระบำ หมดมุข หมดเพลง ส่งไมค์ให้คนรักสมัครเล่นรับช่วงร้องต่อ

อี๊ด-พิชิต ชัยพินิจ อายุ 69 ปี วิทยาศาสตรบัณฑิต จากมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ รับราชการมาตั้งแต่เรียนจบ กลางวันสอนเกษตร กลางคืนเป็นมือเบสเล่นดนตรีในบาร์ เลือก early retire ตอนอายุห้าสิบด้วยรู้ตัวว่าชอบอิสระ ไม่ชอบระบบ แต่ออกมาไม่นานก็ถูกเรียกตัวไปช่วยสอนดนตรีในโรงเรียน ทำวงให้เด็กๆ นับสิบแห่ง (ทั่วจังหวัดน่านและกระโดดไปไกลถึงเกาะยอ จ.สงขลา) วันว่างหิ้วคีย์บอร์ดไปเล่นเปิดหมวก ทุกอย่างกำลังไปได้สวย มีเอฟซีจำนวนมาก โควิดพลิกชะตาชีวิต จากคนกลางคืนในผับบาร์ย้ายมาเล่นในตลาดสด ตีสี่ตื่น ตีห้าออกจากบ้าน หกโมงเริ่มบรรเลง เป็นนักเพลงขวัญใจแม่ค้า

1
ลาออกมานาน แต่ชาวบ้านก็ยังติดปากเรียกครูอี๊ดบ้าง จารย์อี๊ดบ้าง เรียกครูอาจารย์ ยกมือไหว้ และส่งเงินใส่กล่อง เมื่อเดินผ่านจุดที่เขาเล่นดนตรี

อาทิตย์ จันทร์ พุธ ศุกร์ เล่นที่ตลาดตั้งจิตนุสรณ์ ส่วนเช้าวันเสาร์ ประจำการอยู่หน้าตลาดพระเนตร

เช้าตรู่ เล่นเพลงเบาๆ ฟังสบาย สายๆ ก่อนเลิก กระแทกเมดเลย์จังหวะโจ๊ะ เอาใจขาแดนซ์

ทำไมไปเล่นที่ตลาด ?

“เขาชวนไป ทีแรกให้เล่นตอนเย็น ตลาดเปิดใหม่ๆ ช่วงหลังโควิด แต่ไม่มีลูกค้า คนยังไม่กล้าออกจากบ้าน เขาเลยบอกว่างั้นย้ายมาเล่นตอนเช้าดีมั้ย ก็โอเค เราไม่มีปัญหา ยังไงก็ได้ พอเล่นก็ เออ แม่ค้าชอบ ผ่อนคลาย ดนตรีบำบัด เพราะตั้งแต่โควิดมามันเงียบมาก คนเครียด ก็ค่อยเล่นไป จากคนไม่มี จนเดี๋ยวนี้เริ่มมี ค่อยๆ ดีขึ้น”

2
“เปิดหมวกเล่นยากนะ ต้องรู้จักเพลงเยอะ ใช้ความสามารถสูง เพราะแขกขึ้นมาร้อง เราต้องเล่นได้ ยิ่งเมื่อก่อนตอนเล่นอยู่ข่วงเมือง สมัยยังไม่มีโควิด นักท่องเที่ยวจีนมา ฝรั่งมาจากทั่วโลก ขอร้องเพลงไหน เราต้องรู้ ต้องตามให้ทัน อาศัยว่าเล่นในบาร์มาเยอะ แกะเพลงฝรั่งเล่นจนจำฝังหัว คือคุณจะเอาเงินเขา มันไม่ง่าย ความเสน่หามันมาจากฝีมือเรา”

3
ลูกทุ่ง ลูกกรุง เก่าใหม่ ไทย สากล ขอเพียงแต่เขียนมา ขอเพียงส่งเสียงมา เขาจัดให้ได้ทุกแนว

ทั่วทั้งจังหวัดน่าน มือกีตาร์หาไม่ยาก แต่สายคีย์บอร์ด โดยเฉพาะบนถนนดนตรีเปิดหมวก มีคนนี้คนเดียว

4
แต่ละวันได้เงินสักเท่าไร ?

“สี่ห้าร้อย บางทีเจ็ดแปดร้อย หรือสองสามพัน ผมไม่ซีเรียสเรื่องเงินเท่าไร อยากให้คนมีความสุขมากกว่า เราวัยนี้แล้ว ไม่รู้จะเอาไปทำไมมากมาย ลูกโต ทำการงานหมดแล้ว ผมมีบำนาญกิน อยู่สบายๆ เป็นคนที่ชอบชีวิตอิสระ”

น้อยที่สุดที่เคยได้ ?

“ไม่ได้เลยสักบาทก็เคย งานแบบนี้เราต้องเข้าใจ ได้มากบ้างน้อยบ้าง มันเป็นเส้นทางที่เราเลือก วันนี้ไม่ได้ พรุ่งนี้ก็ยังมี อย่าไปท้อแท้หมดหวัง เพลงมันสอนผมเยอะนะ เราอยู่กับเพลง ฟังให้ดีมันมีอะไรซ่อนอยู่ในนั้น มีคุณธรรม มีความหวัง ผมว่าคุณธรรมสำคัญกว่าศีล”

เคยคิดจะกลับไปเล่นตามผับบาร์อีกไหม ?

“อิ่มแล้ว พอแล้วครับ เล่นให้เจ๊กรวยมาเยอะแล้ว อยู่แบบนี้สบายใจกว่า”

5
ทำใจยังไง จากที่เคยอยู่ในแสงสี ราตรี นารี สุรา วันนี้มาเล่นตอนเช้าในตลาดสด มันแตกต่างกันมหาศาล ?

“คำเดียวเลยนะ ผมไม่ยึดติด”

ฟีลได้เหรอ เล่นตอนเช้าๆ กลิ่นข้าวแกง กะปิน้ำปลาโชยคละคลุ้ง ?

“คนเราต้องปรับตัวและไม่ยึดติด ทุกวันนี้หยิบคีย์บอร์ดมา ผมเล่นได้เลย ตอนไหนก็ได้ ที่ไหนก็ได้ พวกที่บอกไม่ฟีล ไม่ได้อารมณ์ ต้องแสงสลัวๆ มีเหล้ายา นั่นพวกนั่นเขายังยึดติด เป็นข้ออ้าง ผมผ่านมาหมดแล้ว หมดบ้านไปหลายหลัง เมียอีกหลายคน ชีวิตนักดนตรีกลางคืนก็รู้ๆ กันอยู่”

6
พิชิตบอกว่าตลาดคือแหล่งอาหาร ขณะเดียวกันก็เป็นใจกลางและศูนย์รวมของผู้คนร้อยพ่อพันแม่ เรียกว่าถ้าไม่แน่จริง อยู่ไม่ได้

ตราบเท่าที่ยังอยู่แปลว่าเอาอยู่ เอาตัวรอดได้

“แม่ค้าเขี้ยวๆ ก็เยอะนะ ตลาดมันเป็นศูนย์กลางการซื้อขาย ต้องแก่งแย่งแข่งขัน แต่คนดีก็เยอะ กับข้าวกับปลา ผมไม่เคยต้องซื้อ มีคนเอามาให้ตลอด เขากลัวผมเลิกเล่น”

7
พึ่งพาอาศัยกัน—พิชิตบอก ข้อดีของตลาดคือมันเป็นแหล่งรวมลูกหลานชาวบ้านคนธรรมดา และต่างคนก็มีดีด้อยแตกต่าง เขามีดนตรี ใครมีเงินทองหรือข้าวปลาก็เอามาแลก คำว่า ‘แลก’ มันเป็นหัวใจของการอยู่ร่วม

8
หกโมงเช้าถึงเก้าโมง เป็นเวลาทำงานที่ไม่น้อยเลย กับการเล่นและร้องที่แทบไม่มีเบรกพัก แต่ด้วยหลักคิดระบบพึ่งพา เขาใช้ยาคาราโอเกะมาช่วย ร้องคนเดียวเหนื่อยและไม่สนุก เขาชวนแม่ค้าและคนที่มาจับจ่ายแวะจับไมค์ ผ่อนคลายบำบัดกับบทเพลงที่คัดสรรเลือกได้ตามใจปรารถนา

“คนนั้นเป็นนักร้องร้านอาหาร ไม่ใช่แม่ค้า” แม่ค้ากับข้าวบอกผม พยักเพยิดไปทางต้นเสียง “เมื่อก่อนนะ ตอนนี้ไม่ได้ร้องที่ไหน วันเสาร์ถ้าเค้ามาที่นี่ ก็จะร้อง”

แปลว่ามันก็ปนๆ กันอยู่ ทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น ?

“ใช่, อย่างเรานี่ถือว่ามือใหม่ใจรัก โดนดุมาก็เยอะ”

ทำอะไรผิดถึงโดนดุ ?

“ร้องเพี้ยน ร้องผิดคีย์ บางทีลืมเนื้อ” เธอหัวร่ออารมณ์ดี แม่ค้าคนนี้เป็นครูเก่า สอนอยู่ที่พิษณุโลก ลาออกเพราะพ่อป่วย อยากใช้เวลาทั้งหมดดูแลบุพการี ขายกับข้าวที่ตลาดพระเนตรมายี่สิบกว่าปีแล้ว สองสามเดือนหลังนี้ ทุกวันเสาร์เธอจะบอกพ่อว่าขอกลับสายหน่อย สายในความหมายที่รู้กันว่าเก็บของแล้วอยู่ร้องเพลงต่อ แน่ละ เธอเป็นแม่ค้าขาประจำที่ขึ้นจับไมค์ และที่บอกว่าโดนดุนั่นก็คืออดีต ตอนนี้เธอทำได้ดีเกินมือสมัครเล่น

“ปกติแปดโมง ของก็ขายหมดแล้ว ถ้าวันไหนยังไม่หมดก็ฝากพรรคพวกแผงข้างๆ ช่วยขาย เราไปร้องเพลง” รอยยิ้มของเธอบ่งบอกว่าโลกของเราน่าอยู่

“ก็ดีนะคะ ที่มีดนตรีแบบนี้ มันม่วน วันไหนยังไม่ร้อง บางทีลูกค้ามาถาม ทำไมวันนี้ไม่ร้อง ..บางคนเขามารอ”

อ้าว นั่นไง เริ่มมีแฟนๆ

9
“ใครจะร้อง เชิญนะครับ ผมเล่นได้ทุกเพลง” บางช่วงพิชิตเชียร์แขก ประสบการณ์บนเวทีเขาเหลือเฟือ เคยเป็นหัวหน้าวง ซึ่งนั่นทำให้จำต้องฝึกฝนเล่นเครื่องดนตรีให้ได้ทุกชิ้น ใครขาดใครลา หรือไม่มาเมื่อไรจะได้เล่นทดแทน ไหนจะผ่านงานสารสนเทศ งานสอนหนังสือ เท่าที่ฟัง ในทุกๆ การงานที่ผ่านพบ ดูเหมือนเขาจะภาคภูมิใจเป็นพิเศษในบทบาทการสอนดนตรี สอนเด็กที่ไม่เป็นเลยให้เล่นเป็นวงได้

“ดนตรีเป็นของลึกซึ้งละเอียดอ่อน เด็กที่มาเรียนกับผมบางคนติดเกมส์ มีปัญหาสารพัด พ่อแม่เขาเอามาฝาก ขอร้องให้ช่วย ตอนนี้เป็นด็อกเตอร์หลายคน ดนตรีช่วยได้ สอนให้รู้จักแบ่งประสาท แยกสัมผัสมือซ้ายมือขวา ใช้สมาธิสูงมาก คนสอนก็ต้องใช้จิตวิทยาสูง จะไปว่าเด็กมากไม่ได้ สอนวันละชั่วโมง พอ สอนทั้งวันไม่ได้ ต้องอดทน พรุ่งนี้มาใหม่ ไม่ใช่ให้นั่งจำเจ”

หลังเกษียณแล้ว พิชิตเคยไปสอนอยู่ อ.สองแคว โรงเรียนติดชายแดน ศิษย์หลายคนเป็นชนเผ่าขมุ

“จันทร์ถึงศุกร์ ไปกินนอนอยู่โน่น เสาร์อาทิตย์กลับบ้านในเมืองน่าน ไม่ใช่ครูประจำนะ เขาขอให้ไปช่วย เขาเชื่อมั่นว่าผมทำได้”

คุยเรื่องผลตอบแทนกันยังไง ?  

“ผมบอกเอางี้ ถ้าสอนไม่ได้ ผมไม่เอาสักบาท เพลงแรกเลือก Why Do I Love You So ให้เด็กจับคอร์ด C Am F G วันเดียว เล่นได้ คนตกใจ เทคนิคการสอนผมไม่เหมือนคนอื่น”

ภรรยาเขาช่วยเสริมว่า “ทีแรกไม่เชื่อ โม้หรือเปล่า เคยตามไปดูแกสอน เออ เด็กเล่นได้จริงๆ เด็กที่พวกครูประจำเขาแทบไม่เอาแล้ว เหลือขอเต็มทีแล้วว่างั้นเถอะ ทั้งวงมีเด็กจาก 9 ชนเผ่าก็เคยทำ คนงงนะว่าแกทำได้ยังไง”

สิริรวมเขาเป็นครูดนตรีรับจ้างประมาณสิบโรงเรียน ทั้งในตัวเมืองน่านและอำเภอห่างไกล บางที่ทำวงใหญ่ มีหางเครื่อง เคยส่งประกวดและได้รับรางวัลชนะเลิศระดับจังหวัดสามปีซ้อน

“รับค่าจ้างห้าพันต่อเทอม ก็เคยทำมาแล้ว ถามว่าคุ้มมั้ย มันไม่คุ้มหรอก ที่ทำเพราะเราสนุก ได้สอนเด็กให้รักดนตรี ตัวผมเองก็ได้ประสบการณ์”

ประสบการณ์อะไร ?

“คนเราแก้ปัญหาทุกอย่างได้จากประสบการณ์นะ จริงมั้ย กว่าจะได้แต่ละอย่าง เราต้องเจอกับตัวเอง เจอมาหลายอย่าง เราก็มีแบบฝึกหลายอย่าง”

“ถ้าไม่ใช่เมียคนนี้ ไม่มีใครส่งเสริม เป็นพวกบ้าเหมือนกันไง ถึงยอมให้ไป” ภรรยาเขาหมายถึงตอนลงสงขลา

เขาบอกหมดเงินไปล้านกว่าบาท ครูสอนมาแล้วหกคน พวกจบเอกดนตรี สิบกว่าปียังไม่ได้สักเพลง หมดกลองไปสองชุด กีตาร์ เครื่องเป่า ไม่มีใครทำได้ หลอกเอาเงินด้วยน่ะบางคน มีคอร์รัปชั่น ..ได้ข่าวว่าผมทำที่น่านเลยมาชวน ผมกำลังเก็บเงาะอยู่ (หัวเราะ) เขาโทรฯ มา”

10
ไม่ได้คุยเรื่องเงินเหมือนเดิม ?

“ราคาไม่ต้องพูด ชีวิตผมชอบเสี่ยง จากน่านผมนั่งเครื่องไปลงดอนเมือง จากดอนเมืองไปหาดใหญ่ ไปเกาะยอ เกิดมาไม่เคยนั่งเครื่องบินก็ยอมนั่ง ก่อนไปไม่ได้คุยค่าจ้าง ให้สอนนานเท่าไรก็ไม่ได้คุย พอถึง เริ่มทำ ทำไปสี่ห้าเดือน จะกลับ เขาไม่ให้กลับ ขอเลื่อนสามครั้ง จนสุดท้ายต้องยอมเพราะผมติดค้างโรงเรียนจอมจันทร์ฯ เอาไว้ กำลังเตรียมทำประกวดที่เชียงใหม่ ผมทำเด็กประกวดระดับภาคเหนือ ดนตรีลูกทุ่ง ผมทำสามปีที่จอมจันทร์ฯ เป็นแชมป์สามปีติดต่อกัน ที่น่านไม่มีใครสู้แล้ว”

สรุปว่าสอนอยู่สงขลานานเท่าไร ?

“สี่เดือน อยู่จนเขาจะเปิดห้องอัดให้อยู่โน่น เตรียมหาเมียให้พร้อม”

ถือว่างานสำเร็จลุล่วงดีมั้ย ?

“สำเร็จสิ มีโชว์ใหญ่เบ้อเร่อ ชนะ ได้เงินสองแสน ตกลงว่าเขาจ่ายผมเดือนละหมื่นกว่าบาท ก็ดี ถือว่าได้ไปเห็นที่ใหม่ๆ ได้ประสบการณ์ ทุกวันนี้เขายังโทรฯ มาตลอด อยากให้กลับไป เคยตามมาถึงบ้านที่น่านด้วย เอารถตู้ขึ้นมา เห็นผมอยู่นี่เลยยอมแล้วมั้ง เลิกตื๊อ เขารู้แหละว่าผมชอบชีวิตแบบนี้ สงขลาเจริญนะ มีอะไรดีๆ เยอะ แต่มันก็ไม่ใช่บ้านเรา”

11
อยากกลับไปสอนอีกมั้ย ?

“แก่แล้ว ที่ผ่านมาก็ทำมาแล้ว ไม่มีอะไรติดค้าง เหมือนวงดนตรีที่เล่น ถึงวันหนึ่งก็ต้องพัก”

ทุกวันนี้ไม่มีวง ?

“ไม่เอาแล้ว เมื่อก่อนพร้อม มีเครื่องเป่า รับงานบอลล์น่ะ คนสองสามร้อยโต๊ะ ไม่ใช่น้อยนะ สมาชิกวงตอนนั้นมีสิบกว่าคน รับงานทีหนึ่งเป็นหมื่น เล่นเพลงลีลาศ”

แล้วที่บอกว่าเคยเอาวงคาราบาวมาเล่นที่น่านด้วย นึกยังไงถึงจัด ?

“ปี ’27 จบมาใหม่ๆ ซ่าส์ เลยชวนกัน อยากลองไง จ้างมาสามหมื่นห้า ขาดทุนไปเจ็ดพัน (หัวเราะ) คนดูเยอะนะ แต่เก็บบัตรไม่ได้ พวกแอบเข้าฟรี วัยรุ่นตีกันด้วย เคยจัดดนตรีครั้งเดียวในชีวิต ไม่เอาแล้ว ไม่ใช่ทางเรา”

12
ในครอบครัวมีใครเล่นดนตรีมั้ย ?

“พ่อเป่าขลุ่ย ผมพอรู้ รู้ไม่มากหรอก แต่สอนคนอื่นได้ ผมเอาสะล้อกับพิณมาอยู่ในวงดนตรีสากลได้ มันอยู่ที่การตั้งสาย ตั้งให้เข้ากับกีตาร์ หรือคีย์บอร์ด เครื่องดนตรีพวกนี้มาตรฐาน คนอื่นที่มันทำไม่ได้เพราะไม่ได้ตั้งให้เข้ากับคีย์มาตรฐานสากล จะเล่นเครื่องดนตรีชาวบ้านเราก็ต้องรู้ ไม่ใช่สักแต่เล่นงูๆ ปลาๆ”

ภรรยาเขาเล่าว่าตอนสอนเด็กทำวงดนตรี พิชิตทำคนเดียวทั้งวง คนอื่นๆ โดยทั่วไปเขาจะทำหลายคน สอนเบสคนหนึ่ง กีตาร์คนหนึ่ง นักร้องก็อีกคน นี่คือคนเดียวเหมาหมด เพราะงบไม่มี

“ถ้าไม่มีใจจริงๆ ทำวงไม่ได้ ผมเรียกติวทีละคน เพราะเราเล่นได้ทุกอย่าง ถ้าเล่นไม่ได้ก็ทำให้เด็กดูไม่ได้ เขาไม่เชื่อถือ”

พิชิตเกิดที่น่าน จบประถมฯ แล้วเข้าไปเรียนมัธยมฯ ในกรุงเทพฯ ใช้ชีวิตอยู่ไม่ไกลจากซอยบุปผาสวรรค์ ถิ่นดงของวงดนตรีลูกทุ่ง ไม่เคยเรียนดนตรี แต่อ่านโน้ตได้จากการเรียนด้วยตนเอง ด้วยรากความรัก และวัยหนุ่มสิงสถิตอยู่ในผับบาร์ เป็นนักดนตรีที่บุกเบิกตลาดร้านอาหารเป็นคนแรกๆ ของเมืองน่าน

“ชีวิตผมอยู่กับคนเก่งๆ เยอะ เจอมือระดับพระกาฬที่เขี้ยวๆ หลายคนพัฒนาฝีมือมาจากยุคจีไอ แกะเพลงฝรั่งเล่นจนปรุ เพลงบรรเลงเก่าๆ ฝึกมานาน ฐานเพลงเราก็แข็ง เล่นมาเยอะ เล่นทุกคืน ทุกแนว ขึ้นชื่อว่าดนตรี มันดีหมด เราเปิดกว้างให้ตัวเอง ไม่จำกัด”

13
ความทรงจำช่วงเปิดหมวกที่ลานข่วงเมืองดูสวยงาม นักท่องเที่ยวมาเยอะ มาจากหลากหลายประเทศ หลายวงการ บางครั้งมีนักดนตรีรุ่นใหม่ๆ มาดู บางคนบ่นเสียดายที่ไม่ได้หิ้วกีตาร์มา ไม่งั้นคงได้แจม แค่มองแค่ฟัง นักดนตรีด้วยกันจะรู้ ว่าใครแค่ไหน วางนิ้วระบบสัมผัสหรือจ้องอ่านโน้ต

“แขกบางคนมารอเต้นลีลาศ สนุกสนาน ไม่ไล่ไม่เลิก ช่วงนั้นได้เงินเยอะ คนมุงมืดฟ้ามัวดิน กล้องเป็นสิบยี่สิบตัว ไม่รู้จะมองกล้องไหน ..ขึ้นเพลงคันทรี่ แขกจะเต้น ชอบ เดี๋ยวนี้ไม่มีเปิดหมวกแล้วตรงนั้น มันขาดสีสันไปเลยนะ ปกติมีคนวาดรูป เล่นดนตรี จังหวัดอื่นไม่มีแบบนี้ เสียดายเขาจัดการไม่ดี คนมันอิจฉากันด้วย และโควิดก็ทำให้ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงหมดเลย เศรษฐกิจแย่”

พิชิตบอกว่าก็ปรับตัวไปตามสภาพ ถ้าไม่มีธุระจำเป็นก็อยู่ในสวน พยายามประหยัด ไม่ยุ่งกับใคร ตื่นเช้า ออกไปร้องเพลง กลับบ้าน ตกเย็นถ้าเป็นหน้านี้ก็เข้าสวนเก็บเงาะ เตรียมไปวางขายที่ตลาด ใช่, เล่นดนตรีและขายผลไม้จากสวนที่บ้าน ถามว่าคิดถึงสังคมนักดนตรีกลางคืนในผับบาร์บ้างมั้ย เขาบอกว่าไม่ เรื่องราวเหล่านั้นมันจบแล้ว ถามใจจริงๆ เลย เขาชอบอยู่กับนักท่องเที่ยวมากกว่า มันหลากหลาย แต่ละวันเจอคนไม่ซ้ำหน้า

“ไม่ใช่แค่คนไทย มันมาจากทุกที่ทั่วโลก”

ก็จริง เราเคยเห็นภาพนั้นอยู่บ้างเหมือนกัน ความหลากหลายงดงามเสมอ

“อยู่กับนักท่องเที่ยวสนุกนะ เหมือนเราได้ต้อนรับแขกบ้านแขกเมือง ตอนนี้เปลี่ยนหักมุมเลย เช้ามาเข้าตลาด ก็คุยๆ กันว่าถึงหน้าหนาวเดี๋ยวนักท่องเที่ยวคงมา ไม่ใช่เจอกันเองหน้าซ้ำๆ แบบนี้ กลัวคนเบื่อด้วย เราเองก็อาจจะไม่สนุก ถ้าเล่นทุกวัน”

14
มีเรื่องที่ยังลังเลๆ อยู่อย่าง ในท่ามกลางความลงตัว จังหวะหายใจสบายๆ การงานผ่อนคลาย มีคนชวนไปเล่นดนตรีที่ภูเก็ต

ไม่ได้ว่าจ้าง แต่ชวนไปเล่นเปิดหมวกแบบนี้ ตลาดที่นั่นพอมี เพราะฝรั่งเริ่มเข้ามาบ้างแล้ว เขานึกถึงบรรยากาศเก่าๆ ของข่วงเมืองแล้วก็คล้ายหัวใจเต้นแรง อยากเห็นดนตรีมันทำหน้าที่ดนตรี คนเล่น เล่นด้วยรัก คนฟัง ฟังอย่างมีอารมณ์ร่วม

“ถามใจจริงๆ ผมอยากไปนะ เราได้อยู่กับนักท่องเที่ยว เป็นความท้าทายด้วย ปีนี้อายุหกสิบเก้า แต่อยากไปลุย เจอคนหลากหลาย ได้ภาษา ได้ประสบการณ์ ดนตรีมันไม่มีขีดจำกัด ดนตรีไม่มีที่สิ้นสุด”

แล้วเอาไง ?

“ยังไม่ตัดสินใจ ไปก็ได้ ไม่ไปก็ได้ เพราะอยู่น่าน อยู่บ้านเราก็สบายดี”

15
พิชิต ชัยพินิจ หยิบหมวกกันน็อกมาสวมใส่ ไม่ได้กันน็อก แต่กันมด เวลาเดินเข้าไปเก็บเงาะ

เย็นนี้เป็นชาวสวน และทุกๆ เช้า เป็นนักดนตรีเปิดหมวกในตลาด หากมีโอกาสพบเจอ ก็น่าจะลองแจมกับเขาสักเพลง.  

 

 

nandialogue

 

 

เรื่องและภาพ: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

You may also like...