(ต่อจากสัปดาห์ที่แล้ว) https://www.nandialogue.com/parn-thalufah/
วันนี้ครบรอบวันเกิดพอดี ความรู้สึกต่อชีวิตวันนี้เป็นยังไงบ้าง
รู้สึกว่ากำลังทำเรื่องที่ใหญ่มากๆ กับอายุแค่เพิ่ง 27 เอง แต่กำลังทำอะไรที่โคตรใหญ่ แล้วก็เสี่ยง ตื่นเต้น ตื่นเต้นที่ปีนี้ได้กลับบ้านด้วย ทีแรกจะไม่ได้กลับ เรามีวัฒนธรรมการกลับบ้านช่วงวันเกิดมาสักพักแล้ว
มีกิจกรรมอะไรกับพ่อแม่มั้ย
อยากอยู่กับที่บ้าน ป่านไม่ค่อยได้คุยกับที่บ้านเท่าไหร่ เป็นคนชวนใครคุยไม่เป็นและที่บ้านก็ชวนใครคุยไม่เป็น เลยไม่ค่อยได้คุยกัน พอวันเกิดเหมือนได้กลับมาเจอกัน กลับมากินข้าวแม่ ไม่มีอะไรเลย นอกจากกินข้าวแม่
เริ่มคุยกับที่บ้านมากขึ้น ?
มากขึ้น แต่ก่อนป่านมีภาวะที่ได้ยินเสียงพ่อกับแม่แล้วหงุดหงิด คือไม่คุยกับที่บ้านมาตั้งแต่เด็ก ป่านมีน้องแท้ๆ เป็นดาวน์ซินโดรม อายุห่างกัน 3 ปี แล้วช่วงที่เราโตมา จะโตมากับประโยคที่บอกว่าก็น้องไม่เหมือนคนอื่น แม่เลยต้องดูแล พ่อเป็นทหารที่กลับบ้านแค่เสาร์ อาทิตย์ ก็เลยไม่มีความผูกพันเท่าไหร่ และรำคาญเสียงพ่อกับแม่ เพิ่งมาคลาย เริ่มคุยเยอะขึ้น พอได้กลับบ้าน ได้กินข้าวที่บ้าน ได้นั่งคุยกัน ป่านโตมากับการที่บอกให้ตัวเองเข้มแข็ง ต้องเข้มแข็ง อย่าร้องไห้ อย่าไปขอความช่วยเหลือแม่มาก เพราะแม่มีน้อง ยิ่งตอน ม. ปลายไปเรียนกรุงเทพฯ ด้วย ไม่ค่อยได้อยู่ด้วยกัน
พ่อแม่รู้มั้ยว่าป่านทำอะไรอยู่
รู้มาตั้งแต่ปี 57 รู้ละเอียด เพราะบอกเขา อธิบาย และมีช่วงหนึ่งที่พี่ๆ นักกิจกรรมมาเที่ยวน่าน ก็พาทุกคนมาบ้าน แนะนำให้แม่รู้จัก ให้ทุกคนคุยกับแม่ ให้รับรู้ว่าใครเป็นยังไง
เจอแม่คนเดียวหรือพ่อด้วย
พ่อด้วย เจอทั้งหมด
เขาเห็นด้วยกับสิ่งที่ป่านทำหรือเปล่า
ไม่ แต่โชคดีที่ที่บ้านไม่เรียกร้อง ไม่ได้บอกว่าต้องเรียนอะไร ให้เราเลือกเอง และรับผิดชอบเพราะเราเป็นคนเลือก มีครั้งเดียวที่แม่เคยถามว่าไปสมัครงานมั้ย ช่วงที่กลับมาอยู่บ้านนี่แหละ เขาบอกว่าตอนที่ป่านเป็นล่ามกับเป็นนักแปล เขาไม่เห็นช่วงเวลาเราทำงาน เขาเห็นตอนเราอยู่บ้านอยู่เฉยๆ ก็จะมีถามบ้าง แต่พออธิบาย เขาก็ไม่พูดต่อ เป็นครั้งเดียวที่เขาพูด อย่างกลับบ้านมารอบนี้เขาก็ถามว่าอยู่กินยังไง มาเล่าให้ฟังหน่อย ก็อธิบายให้เขาฟัง
เปิดเผย ไม่ได้โกหก ?
ไม่โกหก แม่ป่านเคยเจอแม่พี่ไผ่มาแล้ว
ยังต้องพึ่งพาที่บ้านมั้ย เรื่องเงิน
ไม่พึ่งมาหลายปีแล้ว ไม่มีก็ไม่กล้าขอ เพราะไม่ได้พึ่งมานาน
ที่บอกว่าอายุน้อยแล้วกำลังทำเรื่องใหญ่ เรื่องใหญ่ที่ว่าคืออะไร
อยากเปลี่ยนแปลงประเทศ กำลังสู้อยู่ในกระบวนการของตุลาการ กำลังเปลี่ยนแปลงบางอย่างที่มันไม่ใช่แค่เรา คิดว่าสิ่งที่เราทำมันได้กันหมดทั้งประเทศ กำลังสู้เพื่อความหลากหลาย ความเป็นคนเท่ากัน สิ่งหนึ่งที่ทำเพราะเชื่อเรื่องความหลากหลายมากๆ คือมันจะเป็นประเทศที่เปิดกว้าง แล้วให้คนสามารถทำตามความฝันของตัวเองได้ คือมันต้องเริ่มจากความหลากหลาย ก็เลยเชื่อเรื่องนี้ เรากำลังเปลี่ยนแปลงวัฒนธรรมและวิธีคิดของคนในประเทศ แล้วก็กำลังต่อสู้กับกฎหมายด้วย คิดว่ามันใหญ่พอสมควร
ตอนนี้ป่านโดนไปแล้วกี่คดี
18 มั้ง โดนที่ สน. ดินแดง ไป 7 ฉบับ พรบ.ชุมนุม, พรก.ฉุกเฉิน, พรบ.ความสะอาด ข่มขืนใจเจ้าหน้าที่ ร่วมกันประทุษร้ายเจ้าหน้าที่ ที่หนักสุดที่เจอตอนนี้คือข่มขืนใจเจ้าหน้าที่ ไม่รู้ไปข่มขืนใจยังไงเหมือนกัน และการข่มขืนใจมีเงื่อนไขในการประกันตัวคือห้ามออกจากราชอาณาจักร เป็นเรื่องที่รู้สึกว่ามันรุนแรงเพราะปกติเงื่อนไขนี้มันจะมาจากคนที่ถูกตัดสินคดีไปแล้ว อย่างพี่ไผ่ก็โดนตอนตัดสิน 112 ไปแล้ว
18 คดีที่ว่า คือไปเจอเจ้าหน้าที่มาแล้ว ?
รับทราบข้อกล่าวหาหมดแล้ว ขั้นตอนหลังจากนี้ก็เริ่มจะส่งฟ้อง มีคดีหมู่บ้านทะลุฟ้าด้วย หลังจากไปตั้งหมู่บ้านที่หน้าทำเนียบ 14-15 วัน แล้วโดนสลาย ก็โดนไปหลาย พรบ. อยู่
18 คดีที่ว่า โทษสูงสุดคือ..
โทษไม่เยอะ มีปรับ-จำนิดหน่อย
หนักสุดน่าจะเป็นอันที่ห้ามออกนอกประเทศ ?
ใช่ ถ้าเล่าเหตุการณ์มันจะงงมาก คือมันเกิดเหตุการณ์ที่ทำคาร์ม็อบร่วมกับธรรมศาสตร์และพี่หนูหริ่ง แล้วเครื่องเสียงโดนจับไปที่สโมสรตำรวจ อีกวันหนึ่งเราก็ไปเซฟเครื่องเสียง วันที่ป่านโดนหิ้วน่ะ พอโดนหิ้วไปเสร็จ เซฟเครื่องเสียงปุ๊ป เราโดนจับไป ตชด. พวกเพนกวินก็เลยไปเซฟเราหน้า ตชด. พวกเพนกวินก็เลยโดนจับ เพนกวินติดคุก 100 กว่าวันรอบนี้ จากที่ไปเซฟป่านที่ ตชด. เป็นเหตการณ์นี้แหละที่เขาบอกว่าข่มขืนใจเจ้าหน้าที่ แล้วพวกป่านก็ไปพัง ตชด. ไม่พังหรอก ไปสร้างงานศิลปะไว้ที่ ตชด. หลังจากนั้นก็ไม่มีใครได้ไป ตชด. อีกเลย ป่านว่ามันเป็นงานศิลปะอย่างหนึ่ง ตอนที่เขียนภาพเขียนตัวหนังสือต่างๆ เราใช้ทุกอย่างที่มี ใช้ปากกา กาแฟ ใช้สีที่ติดกระเป๋าไป ใช้เลือดประจำเดือน ใช้ทุกอย่างที่เขียนได้
ทั้งหมดที่โดนคดีมา ถูกจำกัดเสรีภาพยังไงบ้าง กี่ชั่วโมงกี่คืนกี่วัน
รวมทั้งหมดที่เคยโดนจับมาก็ 3 คืน ส่วนใหญ่โดนขังที่ ตชด. เพื่อสอบสวน เพื่อให้คดี แจ้งคดี
3 คืนคือรอบเดียวหรือหลายรอบ
หลายรอบ รอบละคืน ส่วนใหญ่เขาจะไม่ให้อยู่เกินหนึ่งคืน ไม่รู้ทำไม
คุกใน ตชด. เป็นยังไง
เหมือนห้องประชุม มีที่นอนให้ มีแอร์ มีความสะดวกนิดๆ หน่อยๆ มีตำรวจคนหนึ่งที่เฝ้าประจำ แกชื่อผู้การต้น ตอนนั้นเป็นรองต้น แกเฝ้าตลอด พวกป่านชอบแกล้งแก ที่มีภาพเกาะขานานๆ แล้วก็พูดว่าอยากกินหมูกระทะไปเรื่อยๆ พอหัวหน้าโดนเกาะแบบนั้น ลูกน้องมันช่วยไม่ได้ไง อยู่ ตชด. ค่อนข้างสบายเพราะมีแอร์ ตอนนี้ไอ้ต้นคนนี้มันได้เลื่อนขั้นเพราะพวกป่านนะ กลายเป็นผู้การ บชน.2 คือยิ่งจับเยอะ ยิ่งได้ตำแหน่งเพิ่ม จับพวกป่านรอบแรก 99 คน รอบสองอีก 60 กว่าคน ผลงานแกเยอะอยู่
แล้วเมื่อวานที่บอกว่ามีคนมาฟ้องอีกคดีใหญ่ ?
ที่ สน.พหลโยธิน แจ้งความคณะบุคคล คือรุ้ง ปนัสยา และพวกอีก 5 คน เขาแจ้งมาตรา 112, 113, 116 ถามว่าชัดหรือยัง คงรอตำรวจรับลูกอยู่ ตอนนี้เขาตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเพื่อหาความจริงว่าจะเข้าคดีไหนบ้าง ยังไม่รู้ว่าจะได้มั้ย แต่ว่ามีสิทธิ์โดน เพราะหัวชื่อมันเป็น รุ้ง ปนัสยา ถ้าไม่ 113 ก็มี 112 แน่ๆ ที่ทนายฝ่ายเราประเมิน
ที่ผ่านมาป่านยังไม่มี 112 ?
ยัง เราเก็บตัวเองดีพอสมควร ในทีมทะลุฟ้ามีแค่สองคนที่โดน 112 คนแรกคือพี่ไผ่ กับน้องผู้ชายอีกคน คนนั้นหมายแรกก็เจอ 112 เลย ถูกกล่าวหาว่าเผาซุ้มที่ดินแดง
เคสหลังสุดที่ว่า ป่านประเมินไว้ยังไง ถ้าโดนจริงๆ จะรับมือแบบไหน
มีหลายคนมากมาคุยว่าจะลี้ภัยมั้ย จะเอายังไงถ้า 113 มาจริง 113 มันคือกบฏ ป่านมีน้อง ถึงติดคุก ป่านยังอยู่ไทย ป่านเลือกที่จะเผชิญหน้า คือป่านไม่ได้เข้มแข็งขนาดนั้น แต่รู้สึกว่าต้องเผชิญหน้า อย่างน้อยๆ อีก 30 ปีข้างหน้าอาจจะได้ออกมาก็ได้ แต่ถ้าออกไปแล้วมันอาจจะเป็นแบบพี่ต้าร์ วันเฉลิมก็ได้ หรือมันอาจจะลำบากมากๆ เหมือนคุณจรัลก็ได้ คุยกันไว้ว่าถ้าใครจะลี้ภัยก็ลี้เลย เราไม่ลี้ เราเลือกที่จะไม่ไป เรายังเชื่อว่าสิ่งที่ทำ มันไม่ผิด เพิ่งได้คุยกับพี่ไผ่เรื่องนี้ เพราะไม่ผิดก็เลยจะอยู่เพื่อพิสูจน์ ถ้ามันจะต้องติดคุกตลอดชีวิตก็ไม่เป็นไร มันเป็นราคาที่ต้องจ่ายกับการที่เราเลือกที่จะทำ พูดตอนนี้ป่านยังไม่รู้สึกมาก แต่รู้สึกแล้ว ถ้าเห็นหมายอาจจะแย่กว่านี้ แต่ตอนนี้ที่ยังไม่เห็นหมาย ยังไม่เห็นอะไรเลย และเลือกว่าไม่ลี้ภัย การลี้ภัยไม่ได้ปลอดภัยขนาดนั้น
เรื่องหลังสุดนี้ไผ่รับรู้หรือยังนะ
รู้แล้ว จริงๆ ไม่ได้อยากบอก แต่ทนายไปบอก วันนั้นเจอแกก็เลยถามเรื่องนี้ว่าจะเอายังไง พี่ไผ่มันพูดว่า ควย แล้วถามว่าเหตุการณ์วันนั้นคืออะไร คือเราจะมีม็อบวันที่ 14 พฤศจิกาฯ เพื่อยืนยันว่าเราไม่รับคำวินิจฉัยของศาลรัฐธรรมนูญ แล้วในตัวทะลุฟ้า เราไล่ประยุทธ์มาตลอดเพื่อเซฟ แล้วอยู่ดีๆ 31 ตุลาฯ เรายกระดับตัวเองให้มาทำยกเลิก 112 มันเปลี่ยนข้อแล้ว พอยกเลิก 112 วันที่ 31 ตุลาฯ คือผ่านมาแค่สองอาทิตย์ มันจะไปเป็นข้อสามแล้ว ป่านเป็นทีมประเมิน ก็เห็นแล้วว่ามันเสี่ยงนู่นนี่นั่น คุยกับน้องในทีมว่าพร้อมมั้ย ทุกคนก็บอกว่าพร้อมแหละ แต่ว่ายังไม่เข้าใจว่ากำลังเจอกับอะไร พอถามจริงๆ จี้จริงๆ ก็ไม่รู้ว่าจะต้องเจอกับอะไร ไม่รู้ว่าข้อนี้ที่เราเล่นมันจะไปถึงไหน ป่านเลยเลือกที่จะไปแถลงข่าวเอง เพราะไม่อยากให้คนอื่นที่ไม่ได้รับรู้เป็นคนไปแถลงข่าวแล้วต้องมาเจออะไรแบบนี้ ก็นี่แหละ ก็เลยเป็นเหตุการณ์ที่โดนเล่นงานอีก แล้วในแถลงการณ์ที่อ่าน มันเป็นการอ่านย้ำ 10 ข้อนั้น ถึงไม่ใช่เราอ่านก็เป็นร่วมกันอยู่ดี ฉบับเดียวกัน แต่ป่านไม่รู้สึกว่าพลาดตรงไหน ไม่รู้สึกว่าถ้าย้อนกลับไปได้จะไปแก้ไข ป่านว่าถูกต้องแล้วที่เรายืนยันแบบนั้น เพราะคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญครั้งนั้นมันเป็นการรัฐประหารโดยตุลาการ จริงๆ ไม่ใช่แค่รัฐประหาร แต่มันพาประเทศกลับไปเป็น absolute monarchy จริงๆ
เรื่องปฏิรูป = ล้มล้างเหรอ ?
ใช่ๆ อันนี้แหละ ป่านว่ามันเป็นรัฐประหารโดยตุลาการ เลยต้องยืนยันว่าเราไม่รับคำวินิจฉัยนี้ คุยกันกับหลายๆ ทีมว่าเราไม่เอาระบอบสมบูรณาฯ ป่านไม่ได้มองว่าตัวเองก้าวพลาดหรืออะไร รู้สึกว่าถูกต้องแล้วที่ทำ
ป่านดูผูกพันกับ ไผ่ ดาวดิน ?
ใช่ๆ เราผูกพัน เพราะวิธีคิดของเรามันคล้ายๆ กัน แล้วเขานำให้เราทำได้
รู้จัก ไผ่ ดาวดิน วันแรกที่ไหน
ที่บ้านดาวดิน เคยได้ยินชื่อพี่ไผ่ ตอนแกไปยืนชูสามนิ้วต่อหน้าประยุทธ์ หลังจากนั้นไม่เกินอาทิตย์สองอาทิตย์ก็ไปเจอกันที่บ้านดาวดิน ตอนนั้นมีการคุยกันของนักกิจกรรมว่าจะไปช่วยกันซัพที่ขอนแก่น ก็ได้ไปด้วยแบบงงๆ ก็ไปเจอที่นั่น first impression คือไอ้เหี้ยนี่เป็นใครวะ ขี้เมาจัง (หัวเราะ) รู้ว่าเป็นพี่ไผ่แหละ แต่โคตรขี้เมา นั่นแหละคือภาพแรก ทุกคนแม่งเมามาก
ทำไมถึงผูกพันกับไผ่
แกเหมือนเป็นพี่จัดตั้งเรา เหมือนเวลาเราอยู่ด้วยกันก็จะมีคนหนึ่งที่คอยดูแล คอยสอน ให้หนังสืออ่าน คุย เกาะติด ช่วงนั้นเป็นพี่ไผ่ที่มาดูแลเรา มีหนังสือที่บ้านเยอะมาก ค่อยๆ หยิบหนังสือให้อ่าน ก็เลยสนิทกัน แล้วด้วยนิสัยพี่ไผ่ มันเป็นคนรีเช็กคน เป็นคนติดตามว่าใครเป็นอะไร ที่ไหน ยังไง ก็เลยสนิท และมาสนิทมากๆ ช่วงปี 58 ที่แกมารวมกันเป็น 14 นักศึกษา ก่อนหน้านั้นแกอยู่บ้านดาวดินไม่ได้ คือมันมีตำรวจมีอะไรมาตามตลอด มีเรื่องหมายจับ เรื่องนู่นนี่นั่นเยอะแยะ นักศึกษาทั้ง 7 คนดาวดินต้องหนีไปอยู่วังสะพุง ที่เมืองเลย เหมืองแร่ทองคำ ตอนนั้นเราเป็นคนเดียวที่ต้องไปด้วย ไม่รู้เลือกจากอะไร ให้เราไปดูแล 7 คนนี้ สมัยนั้นทุกคนพกโทรศัพท์ไม่ได้ ป่านเป็นคนเดียวที่มีโทรศัพท์ได้ ก็ไปอยู่ด้วยกันที่วังสะพุงเดือนกว่าๆ เป็นช่วงที่แบบว่า ระวังนะ มีเรื่องที่จะมีคนมายิง รีบเข้าหมู่บ้านนะ แต่ในหมู่บ้านนาหนองบงค่อนข้างเข้มแข็ง ก็เลยปลอดภัย เลยสนิทกัน อยู่ด้วยกันเดือนกว่าๆ
ที่ขอนแก่นอยู่นานเท่าไหร่
ก็หลายเดือน หลังจากที่มีประชุมนักกิจกรรม เขาก็ชวนว่าอยู่ต่อมั้ย ไปลงพื้นที่กัน ก็ลองไป เราอยากเห็นประเด็นชาวบ้านอยู่แล้ว ก็เลยอยู่บ้านดาวดินมาเรื่อยๆ พอออกจากวังสะพุงก็เข้ากรุงเทพฯ ไปที่ สน.ปทุมวัน มันเป็นการเปิดประสบการณ์มากๆ เพราะมีการออกแบบว่าจะเอารถไปกี่คัน ใครนั่งคันไหน ไปเจอกันที่ไหน ออกเวลาไหน เป็นการเข้ากรุงเทพฯ ของกลุ่มภูธรครั้งแรกจริงๆ และไปรวมกับเพื่อนกรุงเทพฯ ที่มีกิจกรรมไปยืนหน้าหอศิลป์ รวมตัวกันเป็น 14 นักศึกษา หลังจากนั้นป่านก็อยู่ด้วยกันที่กรุงเทพฯ มาตลอด
วันนั้นไม่โดนจับ ?
ไม่โดน เพราะว่ามาทีหลัง แล้วหลังจาก 14 นักศึกษาถูกจับ เหลือ 3 คน ก็เลยเป็นป่านที่ออกไปแถลงข่าว แล้วก็กลายเป็นโฆษก ช่วงนั้นทำ NDM เป็นขบวนการนักศึกษาที่ใช้ชื่อว่า NDM new democracy movement เป็นการรวมกันครั้งแรกของนักกิจกรรมกรุงเทพฯ กับต่างจังหวัด ที่ทำขบวนเพื่อต่อต้านรัฐประหาร ครบรอบหนึ่งปีรัฐประหาร เป่าเค้ก
อยู่ตรงนั้นยาวเลย ?
ใช่ค่ะ
ไผ่ก็อยู่กรุงเทพฯ ?
ใช่ ติดคุก ป่านผันหน้าที่ตัวเองไปเป็นคนจัดคิวเยี่ยม ส่งอาหารที่เรือนจำพิเศษกรุงเทพฯ ให้ 14 คน หลังจากนั้นสมัชชาคนจนส่งป่านไปเรียนโรงเรียนการเมืองที่บราซิล เป็นโรงเรียนการเมืองที่ก่อตั้งขึ้นมาจากองค์กรที่ชื่อ MST องค์กรไล่รื้อที่ดินของลาตินอเมริกา เป็นโรงเรียนที่เอานักกิจกรรมทั่วโลกมารวมกัน แล้วก็สอน movement politics
นานเท่าไหร่
จริงๆ คอร์สมันประมาณ 2-3 เดือน แต่ป่านใช้เวลาเพิ่มไปอีก 2-3 เดือน ในการเที่ยวลาติน ไปอยู่กับองค์กรนี้ในประเทศนี้ ไปอยู่องค์กรนั้นในอีกประเทศ แล้วก็เที่ยวไปเรื่อยๆ ประมาณ 5 เดือน
ได้รู้ได้เห็นอะไรบ้าง
ฉลองวันเกิดที่โรงเรียนนั้นตอนอายุ 20 ได้คลาสเมตที่เป็นนักกิจกรรมทั่วโลก แล้วเราอายุน้อยที่สุด เราเห็นการผ่านอะไรมาของเพื่อนๆ ทุกคนเจออะไรที่หลากหลาย เจอรูปแบบที่ต่างกัน แลกเปลี่ยนประสบการณ์กัน ทำให้เรามองหลายเลนส์ขึ้น จากที่เคยมองเลนส์เดียวหรือสองเลนส์ ทำให้เรามองหลายด้านขึ้น รู้จักใช้เหตุผล ทำให้เราไม่ตัดสินคน คือทำให้เราเห็นความหลากหลายจริงๆ ในคลาสมีอันหนึ่งที่ชอบมากๆ คือดีเบต ซึ่งไม่ใช่แค่ดีเบตอย่างเดียว มันเป็นการสอนให้เราได้ฝึกจับประเด็น เวียนกันเป็นผู้นำวง กระบวนกรผู้นำวง คนที่ชวนคุย สมมติพี่ชวนป่านคุย ในวงประชุมก็จะต้องมีคนหนึ่งทำหน้าที่ควบคุมการประชุม ขึ้นกระดานคนหนึ่ง แต่จะมีอีกคนหนึ่งคอยบอกว่าแบบนี้ใช่มั้ยครับ คุณเห็นแบบนี้ใช่มั้ย ถกเถียงกันด้วยเรื่องนี้ แล้วหาทางออกยังไง เราชอบคลาสนี้มากๆ เห็นคนถกเถียงแล้วเรายังเห็นคนที่พยายามเก็บประเด็นเพื่อไม่ให้ตกหล่น คุยร่วมกันเพื่อหาทางออก อีกอันที่ชอบมากคือวัฒนธรรมประเพณีบางอย่างที่ทำตอนเช้าเพื่อเรียกพลัง เพื่อเรียกหัวจิตหัวใจ อาจจะเป็น performance เป็นการร้องเพลง หรืออาจจะเป็นฟีลแบบเคารพธงชาติ ทุกๆ เช้าจะมีแบบนี้ มันทำให้คนตื่นและกระตุ้นให้เราพร้อมที่จะเรียนรู้ แล้วมีครั้งหนึ่งที่ต้องทำอันนี้ ป่านไปตะโกน ‘พี่น้องเอ๊ยๆๆๆ’ อยู่ชั้น 3 (หัวเราะ)
มองไผ่ยังไงบ้าง ทำไมถึงยังอยู่กับเขามายาวนาน
เขาเป็นคนทำ เป็นมนุษย์ลงมือทำ ตั้งแต่วันที่รู้จักจนถึงวินาทีนี้ เขาก็ยังลงมือทำ แม้กระทั่งอยู่ในคุกมันก็ยังทำ เขาเป็นคนทำ เราเป็นนักคิด ไม่ทำสักที แต่เขาเป็นนักคิดและเขาทำ พี่ไผ่เหมือนเป็นพลังงานบวกที่ชวนเราทำเรื่องใหญ่ๆ ได้ เขามีบางอย่างที่นำพา คือเรามีชุดอุดมการณ์ มีความเชื่อ มีใจที่อยากจะทำ แต่มันไม่มีอะไรนำพาให้เราทำ เขาเป็นคนที่นำพาเราไปทำ ที่ยังอยู่กับพี่ไผ่ก็คือรู้สึกว่าเขาไม่หยุดสักที เขาโดนอะไรต่ออะไรไม่รู้มากมาย ติดคุกไปแล้ว โดนคุกคามสารพัดก็ไม่หยุด ป่านเลยรู้สึกว่า เชี่ยย มันยังไม่หยุดเลย แม่งกูหยุดมารอบหนึ่งแล้ว มึงก็ยังไม่หยุด แล้วสิ่งที่เขาทำมันใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เขารวบรวมได้เรื่อยๆ แล้วเขาส่งต่อวิธีคิด คือเขาเหมือนเป็นผู้นำจิตวิญญาณ ไม่ใช่สำหรับเราคนเดียวด้วย น้องๆ ในทะลุฟ้าก็พูดเหมือนกัน คาแรกเตอร์หรือความเข้าใจมันเลยชัด เพราะมีผู้นำจิตวิญญาณแบบนั้น แม้กระทั่งตอนนี้แกอยู่ในคุกก็ยังไม่หายไปไหน สิ่งที่แกทำมันชัดทุกวินาที ทุกอย่างที่แกทำ โดนเชี่ยอะไรก็ไม่หยุด ทั้งๆ ที่ออกคุกมาแล้วจะหยุดก็ได้ โดน 112 มาแล้วสองปีกว่าๆ มันก็ไม่หยุด ออกคุกมาวันแรกก็โทรฯ หาป่าน ถามว่ากลับมามั้ย เอาไง นั่นแหละเป็นจุดหนึ่งที่มันยังมีคนทำอยู่จริง มันยังมีคนที่ฝันอยู่จริง และไม่ได้แค่ฝัน มันกำลังทำอยู่ด้วย มันหยุดไม่ได้ พอวันหนึ่งที่ป่านมาทำแล้ว ป่านว่าที่หยุดไม่ได้ไม่ใช่เพราะพี่ไผ่แล้ว แต่เพราะเรายังเห็นแสงสว่างอยู่ เห็นทางออก จะเรียกชัยชนะก็ไม่ได้ เพราะการสู้ครั้งนี้ไม่มีแพ้หรือชนะ เราสู้เรื่องการเปลี่ยนแปลง ป่านเห็นการเปลี่ยนแปลงบางอย่าง เห็นรายชื่อคนที่ลงยกเลิก 112 เห็นคนที่ออกมาใช้แฮชแท็กยกเลิก 112 เห็นเพื่อนที่เป็นอิกนอร์มาตลอดชีวิต แต่มาม็อบสมรสเท่าเทียม มันเป็นแสงสว่าง มันหยุดไม่ได้ พี่ไผ่ก็เหมือนกัน เขาจุดแสงสว่างให้ป่าน เขาใช้ไฟแรงและมันยังไม่มอดสักที
ชีวิตป่านใกล้ชิดคนคุกตลอด เคยลังเลสงสัยบ้างมั้ยว่าที่ทำอยู่แบบนี้มันใช่หรือเปล่า มาถูกทางมั้ย
เขาไม่ควรติดคุกตั้งแต่แรก ดังนั้นเขาไม่ใช่ขี้คุก แล้วคนที่อยู่ในคุกไม่จำเป็นจะต้อง negative มีแพะอีกมากมายที่อยู่ในคุก มีคนที่เข้าถึงทนายไม่ได้ ป่านไม่รู้สึกอะไรเลยกับการติดคุกของคนเหล่านี้เพราะพวกเขาไม่สมควรที่จะไปอยู่ข้างในนั้นตั้งแต่แรก วินาทีเดียวก็ไม่สมควรเข้าไป รัฐธรรมนูญก็บอกว่าเรามีสิทธิเสรีภาพทำทุกอย่างตามที่เราทำได้ ก็เลยคิดถึงประโยคของพี่เต้น (ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ว่าเป็นนักสู้ ไม่ใช่นักโทษ ป่านไม่ได้มองคนเหล่านี้เป็นขี้คุก
ไม่ลังเลสงสัยว่าคบคนผิด ?
ไม่เลย ที่เขาทำมันไม่ได้ผิดอะไรเลย
แล้วที่ป่านโดนคดี คิดว่าตัวเองทำผิดหรือเปล่า
มีแวบหนึ่งที่ถามตัวเอง หรือว่ากูทำผิดวะ แต่สุดท้ายก็… กูไม่ได้ทำอะไรผิด ทำไมกูต้องรู้สึกผิดด้วยวะ เลยไม่คิดเรื่องนี้อีกแล้ว
ถ้าจะต้องติดคุกก็ยอม ?
ถ้ามันออกมาอย่างนั้นจริงๆ ติดก็ติด
มันทั้งชีวิตเลยนะ ?
นั่นดิ ทั้งชีวิตเลยนะ ใช่ และตอนนี้ยังไม่เห็นหมายไง ตอบแบบนี้ได้ ถ้าเห็นหมายอาจจะลังเล ป่านมีคนสนิทอยู่สองคนที่เคยลี้ภัย สนิทมากๆ คนแรกเป็นเพื่อนที่ลี้ภัยไปอยู่เกาหลีใต้ ไอ้ตูน (ชนกนันท์ รวมทรัพย์) เป็นเพื่อนสนิทมากๆ ตอนทำ NDM เป็นทุกอย่างให้กันและกัน อีกคนคือพี่ต้าร์ วันเฉลิม กูมีคนสนิทสองคน คนหนึ่งต้องตายไป อีกคนชีวิตก็ไม่ได้ดีเลย แต่โชคดีที่ไอ้ตูนบ้านมันรวย แล้วถ้าเป็นเราล่ะ เราจะออกไปทำอะไร นึกไม่ออก ไม่ได้มีความสามารถ ไม่ได้เก่ง ไม่มีปริญญาด้วยซ้ำ แล้วมันเป็นคดีการเมือง เรายังเชื่อว่ามีคนอยากให้เปลี่ยนแปลงอยู่ วันใดวันหนึ่งเราอาจจะได้ออกมาก็ได้ ถ้าโดน 112 ป่านคิดว่าติดดีกว่า อย่างถ้าไอ้ตูนติดคุก ป่านนี้มันคงได้ออกมาแล้ว แต่พอลี้ภัยมันไม่รู้จะได้กลับมาวันไหน
ถ้าต้องติดจริงๆ ?
เราไปเวิร์กช็อปติดคุกมาละ เตรียมความพร้อม
ใครสอน
พี่กอล์ฟ เจ้าสาวหมาป่า ‘มันทำร้ายเราได้แค่นี้แหละ’ คือถ้ามันจะติดก็ต้องติด เราเลือกตั้งแต่วันที่ก้าวเข้ามาทำงานนี้แล้ว รู้เรื่องราคาที่ต้องจ่าย ดังนั้น ก็พร้อมระดับหนึ่ง แต่พอมาเป็น 113 ก็มีลังเลหน่อย แต่ ณ ตอนนี้ก็อยากเผชิญหน้ามากกว่า ไม่ได้อยากไปไหน
ที่ว่าทำการใหญ่ เท่าที่เห็น มันเริ่มขยับหรือเปลี่ยนแปลงไปบ้างมั้ย
เคลื่อนเยอะมาก ช่วงแรกๆ เลย ปี 57 มันก็มีคณะอาจารย์ที่ทำยกเลิก 112 ตอนนั้นเราได้แค่ทำแคมเปญ แต่ที่ผ่านมาเราพูดชื่อเขาได้แล้ว เราเห็นคลื่นของคนที่ไม่กลัวเขาอีกแล้ว เราเห็นคลื่นของคนที่กล้าออกมาพูดเรื่องเจ้ามากขึ้น มันเปลี่ยนไปมั้ยใน 7-8 ปีที่ผ่านมา มันเปลี่ยนมากๆ พี่โรมก็เข้าไปอยู่ในสภา ที่พูดเรื่องพวกนี้ฉิบหาย พูดไม่หยุด นอกสภาเราก็เห็นพี่ไผ่ที่ยังสู้ พวกป่านโดนตราหน้า ทะลุฟ้าโดนตราหน้าว่าพวกมึงแม่งไม่เล่นเจ้า ไอ้เหี้ยไม่เล่นยังไง แม่งคนในทีมติด 112 ตั้งแต่แรกๆ วันที่พี่ไผ่โดน 112 มันไม่มีการพูดกันขนาดนี้ ไม่มีใครพูดถึงมาตรานี้ขนาดนี้ ไม่มีคนที่พูดถึงเจ้าเลยด้วยซ้ำ ไม่มีคนกล้าเอ่ยชื่อเขา ไม่มีคนกล้าล้อเลียน ทุกคนอยู่ในอำนาจสยบยอมหมด เราพูดกันได้แต่ในที่ลับๆ ทุกวันนี้มีคนล้อเลียนเต็มโซเชียลมีเดีย
อยู่ในวันเวลาต่อสู้ที่รู้สึกว่าไม่ได้ว้าเหว่ ?
ไม่ว้าเหว่เลย ในช่วง 14 นักศึกษา มีคนมาม็อบ 100 คน กลับไปร้องไห้กันเพราะดีใจที่มีคนมาม็อบ แต่ปีที่แล้วมันขึ้นหลักแสน ในปีนี้ที่สภาวะสังคมโลกที่ฝ่ายซ้ายแม่งถดถอยมากๆ ในลาตินอเมริรกาเองยังไม่กล้าสู้กับเผด็จการเลย แต่ประเทศเราแม่งมีคนลุกขึ้นสู้หลักพันหลักหมื่น ม็อบยกเลิก 112 มีคนลงชื่อหน้างาน 5,000 กว่าคน มีคนที่ไปลงผิด ไปลงบูธแอมเนสตี้อีกที่ไม่รู้ว่าเป็นคนละอัน มันมีบูธลงชื่อเยอะมาก อย่างน้อยๆ เป็นหมื่นชื่อนะวันนั้น มีคนออกหน้ามาขนาดนี้ ป่านว่ามันไม่ได้ถดถอยไปไหน มันไปข้างหน้าเร็วมาก ป่านเคยคุยกับหลายคนว่าการจะเอ่ยชื่อเขาได้ อย่างน้อยๆ ต้องใช้เวลา 10-20 ปี แต่มันผ่านมาแค่ 6-7 ปีเอง มีคนพูดชื่อเขาที่สนามหลวง มีคนเปลี่ยนทุกอย่างไปโดยสิ้นเชิง มีคนไม่กลัวข้อกฏหมายนี้เลย มีคนอีกมากมายที่แม่งเข้าใจเรื่องนี้แล้ว และมีคนอีกมากที่กำลังทำความเข้าใจเรื่องนี้ ป่านว่ามันเป็นแสงสว่าง
ป่านทำอาชีพอะไรทุกวันนี้
เป็นนักปฏิวัติ ไม่มีเงินเดือน ไม่มีอาชีพ ไม่มีอะไรเลย สู้อย่างเดียว กินข้าวจากเงินบริจาคของประชาชน ในบ้านรวมที่อยู่กันเยอะมาก แล้วมีแม่ครัวทำกับข้าวให้กิน
อยู่กันกี่คน
30 คน นอนรวม ไม่มีห้องส่วนตัว แยกหญิงชาย มีพื้นที่ส่วนกลาง
นักปฏิวัติเป็นยังไง
จริงๆ ไม่รู้จะนิยามตัวเองยังไง เรียกกันเท่ๆ ว่าเป็นนักปฏิวัติ ใครๆ ก็เป็นนักปฏิวัติได้ ถ้าอยากจะเปลี่ยนแปลงอะไรสักอย่างแล้วลงมือทำ ป่านมีมายด์เซ็ต มีความฝันที่อยากเห็นสังคมที่เท่ากันจริงๆ แล้วจังหวะที่เดิน ที่ก้าว แม้กระทั่งขบวนทะลุฟ้า เราเปลี่ยนแปลงอะไรบางอย่าง ถ้าสังเกตดีๆ ช่วงที่มีคนเอาศพไปวางอยู่บนพานอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย คลุมผ้าสายรุ้ง พยายามเปิดพื้นที่ความหลากหลายมากๆ เอาคนที่มีปัญหามารวมกัน เปิดพื้นที่ความหลากหลายให้มาคุยกัน อย่างหนึ่งเลยคือถ้าไม่พูดเรื่องความหลากหลาย ประเทศนี้มันก้าวหน้าไปไม่ได้ คนต้องเข้าใจความหลากหลายก่อน
มีกำหนดมั้ยว่าจะทำไปถึงเมื่อไหร่
ยังไม่คิดถึงการปิดจ็อบ งานพวกนี้มันไม่ได้เสร็จเร็ว เรากำลังเปลี่ยนแปลงสังคม มันไม่มีเวลาปิดจ็อบหรอก นอกจากจะผันตัวเองไปทำอย่างอื่น แต่ยังไม่มีโปรเจ็กต์ว่าจะไปทำอะไร ยังอยากขับเคลื่อนไปกับทีมทะลุฟ้า
คิดว่ามีมวลชนสักเท่าไหร่ที่เห็นด้วยกับหลักการแนวคิดนี้
300 นิ่งๆ ถ้ามีม็อบ จะมีคนพวกนี้ อันนี้นับแค่ในกรุงเทพฯ เป็นคนที่เจอกัน ทักกัน จำหน้ากันได้ แต่ถ้าพูดในมุมกว้างน่าจะหลักพัน หลายพัน
นักปฏิวัติมีลูก มีคนรักได้มั้ย
มี แต่ป่านยังเชื่อเรื่อง 3 ช้าอยู่ เพราะถ้ามีแฟน บางวันป่านตอบคำถามไม่ได้แน่ๆ ว่าไปไหน ไปประชุมกับใคร กลับกี่โมง คำถามพวกนี้ตอบไม่ได้จริงๆ มันยังเป็นงานปิดลับอยู่ ป่านเคยพยายามไม่สามช้า แล้วคุยกับคนอื่น คุยกับใครบางคน สุดท้ายเราตอบคำถามพวกนี้ไม่ได้ เราให้คำตอบชัดเจนไม่ได้ว่าเราทำอะไรอยู่ ทำที่ไหน ทำอะไร เราอยู่ยังไง มันไม่แฟร์กับเขา แล้วการอยู่แบบชีวิตรวมหมู่ของเรา อยู่กันเป็น 30 คน วันๆ มีเป็น 30 เรื่อง เรามีน้อง มีเพื่อน มีเครือข่าย มีอะไรเยอะแยะไปหมด เราไม่รู้ว่าใครจะมาเข้าใจวิธีอยู่บ้านสามสิบคนของเรา เราไม่รู้ว่าเขาจะมีคำถามกับการที่เราตอบว่า บอกไม่ได้นะ แล้วหายไปเลย มันอาจเป็นความไม่ไว้ใจก็ได้ เลยรู้สึกว่า ป่านยังไม่พร้อม อาจจะยังไม่พร้อม หรืออาจยังไม่เจอใครที่เข้าใจแบบนี้ก็ได้ แต่ป่านไม่อยากมีความรักในขบวน เพราะถ้ามี แล้ววันหนึ่งเกิดเลิกลากันไป มันแปลว่าคนใดคนหนึ่งต้องหายไปแน่ๆ เพราะไม่มีใครตัดความรู้สึกของตัวเองได้ ก็เลยไม่ค่อยคิด
แปลว่าการเลือกเดินทางสายนักปฏิวัติ ก็คงเป็นหนทางที่ห่างจากวิถีของมนุษย์ปกติพอสมควร ?
ใช่ ในทีมทะลุฟ้า ป่านถูกห้ามไปไหนมาไหนคนเดียวในกรุงเทพฯ นี่เป็นครั้งแรกที่ป่านได้เดินทางคนเดียวเพื่อกลับบ้าน อยู่ในกรุงเทพฯ ในทีมจะไม่ให้ป่านไปไหนคนเดียว เพราะมันอันตราย เคยมีเหตุการณ์ที่ไปคนเดียวแล้วมีคนมาโชว์หมายจับ ทำอะไรไม่ได้เลย เอามือถือของตัวเองขึ้นมาไลฟ์ไม่ได้ เพราะ ปอท. จ้อง ถ้ามันหยิบหมาย ปอท. ขึ้นมาอีกอัน แล้วยึดมือถือเราไป มันจะฉิบหายมากๆ ไปม็อบก็โดนตำรวจเดินตามตลอดเวลา ทั้งๆ ที่เวลาไปม็อบ ป่านไม่ทำอะไรอยู่แล้ว หน้าที่คือไม่ทำอะไร ดูภาพรวมอย่างเดียว แต่เขาเดินตามป่าน เดินตามอยู่อย่างนั้นตลอด ก็เลยมีมติในทีมว่า speaker และเราห้ามไปคนเดียว คือเราไม่ไปคนเดียว คนที่ไปกับเราเป็นผู้ชาย ใครจะกล้าเข้าหาป่าน มีผู้ชายอยู่ด้วยตลอดเวลา วิถีชีวิตเปลี่ยนมากๆ มือถือใช้ซิมชื่อคนที่ปิดโทรฯ ตลอดเวลา เปิดแค่เน็ต และก็ต้องใช้ VPN ตลอดเวลา เพราะว่าโดนเจาะทุกอย่าง ถ้าโทรฯ ก็โดนสัญญาณแทรก ต้องเปลี่ยนมือถือทุกเดือน เพราะถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจ free youth และทะลุฟ้า
ตำแหน่งหน้าที่ในขบวนของป่านเรียกว่าอะไร
เป็นทีมยุทธศาสตร์ รวมที่ปรึกษาก็ประมาณ 4-5 คน พอพี่ไผ่ติดคุกกลายเป็นป่านที่เป็นพี่ใหญ่สุด เคยเป็นน้องมาตลอด วันหนึ่งมาเป็นพี่ ปรับตัวเยอะเหมือนกัน ต้องเข้มแข็ง ต้องเป็นที่ปรึกษา ต้องนำ ต้องมอบพลังงานบวก เป็นทุกอย่าง อายุน้อยร้อยหน้าที่
รับผิดชอบเยอะขนาดนี้ เวลาอ่อนแอ ป่านมีวิธีจัดการตัวเองยังไง
ก่อนหน้าที่จะกลับบ้านรอบนี้ พัง เพราะว่าเก็บไว้ เป็นพี่ใหญ่คุยกับใครไม่ได้ เป็นคนไม่พูด เป็นสาวอินโทรเวิร์ต แต่ว่าหลังๆ ประเมินตัวเองว่าไม่ได้แล้ว แบบนี้ ป่านเลยเอาตัวเองกลับไปหาพี่เก่าๆ กลับไปเป็นน้องบ้าง กลับไปใช้ชีวิตแบบมนุษย์บ้าง เริ่มเอางานที่ตัวเองทำแบ่งให้คนอื่นบ้าง ลองแบ่ง แล้วก็คุยกับพี่ให้มากขึ้น ปรึกษาพี่ เริ่มขอความช่วยเหลือ เมื่อก่อนปากหนัก ไม่ค่อยขอความช่วยเหลือใคร หลังๆ เริ่มรู้สึกว่าไม่ได้แล้ว เรามีพี่ไปเพื่ออะไร เรามีคนพวกนี้ไว้เพื่ออะไร ก็เลยเริ่มขอคนช่วยเหลือ จะเห็นว่าป่านไปเมาอยู่ร้านพี่แก้วใส (the ordinary bar) ทุกวันเลย เออก็ใช่ มันเป็นวิธีการหนึ่งที่ทำให้เรารู้สึกว่าเป็นพื้นที่ให้ได้คลายบางอย่างออกไป ก่อนหน้านี้เราไม่ขอความช่วยเหลือจากใคร แบกไว้เยอะ เลยพัง หลังๆ รู้ว่ามีพี่น้อง ไม่ได้โดดเดี่ยวเดียวดายใต้ฟ้ากว้าง พอท้อแท้ถดถอยและทนทุกข์มีคนมาปลดทุกข์แล้วบ้าง ตอนนี้ก็ดี ป่านรู้สึกว่าตัวเองกลับมาแล้ว หนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็แย่ๆ อยู่ พอมันเป็นบ้านรวม เวลาเหนื่อย พื้นที่ร้องไห้คือห้องน้ำ แต่ร้องดังไม่ได้ เดี๋ยวคนได้ยิน มันไม่มีพื้นที่ให้ได้อยู่กับตัวเอง หลังๆ ก็ไปหาพี่ ไปนอนบ้านพี่ เปลี่ยนไปเยอะมากๆ กับก่อนหน้านี้ที่อยู่ จ.น่าน คนละเรื่องเลย อยู่น่านทำงานวันละ 3-4 ชั่วโมง อยู่ที่โน่นทำงานแทบจะ 24 ชั่วโมง แม้กระทั่งนอนก็หลับร้อยเปอร์เซ็นต์ไม่ได้ หลับอยู่เดี๋ยวก็มีตำรวจมาบุกบ้าน
ธุรกิจท่องเที่ยวที่เคยทำที่น่านจบแล้ว หรือมีโอกาสกลับไปทำอีก ?
ยังอยากทำอยู่ ตอนนี้มีจ็อบเสริมบ้างคือรับจองที่พักในน่าน จากธุรกิจทัวร์ก็เลยกลายเป็นธุรกิจจองโรงแรม
เคยคิดมั้ยว่าปีหน้าอาจจะไม่ได้กลับบ้าน
ยังเชื่อว่าจะได้กลับมาอยู่ มันจะแย่ก็คงหลังมีนาฯ ตามกระบวนการศาล การกลับมาอยู่น่าน ลงเครื่องบินแล้วรู้สึกกลับบ้านมากๆ ทุกที่เป็นพื้นที่ปลอดภัยได้หมด มันรู้สึกว่าเป็นการพักผ่อน ไม่รู้ทำไม แค่กลับมาในตัวเมืองน่าน แค่ถึงสนามบินก็รู้สึกพักผ่อน ยังไม่ได้คิดว่าจะได้กลับมาอีกมั้ย แต่มันเป็นพื้นที่ที่ทำให้ได้พักจริงๆ แม่งทำอะไรก็ได้ นั่งคุย ไปดูคอนเสิร์ต ไปเจอคนอื่นๆ ก็เป็นการพัก เพราะทุกคนตรงนี้เป็นเซฟโซน ตำรวจที่นี่ คนที่นี่ไม่ได้ทำร้ายป่าน คนที่ทำร้ายป่านคือคนที่อยู่กรุงเทพฯ เมืองหลวงนั่นแหละที่ทำร้าย อะไรหลวงๆ นี่แหละ ถ้าพรุ่งนี้มะรืนนั่งเครื่องบินออกไปแล้ว ถามว่าจะรู้สึกยังไง คงใจหาย ไม่ได้คิดเรื่องกลับบ้านไม่ได้ ไม่เคยคิดเรื่องนี้เลย ได้ ยังไงป่านก็ได้กลับ ต้องได้กลับมา (ยกมือปาดน้ำตา) มันเป็นความเชื่อ อยู่บนความเชื่อมากๆ เปอร์เซ็นต์เดียวก็เชื่อ เชื่อว่าจะได้กลับมา เคยถามแม่ด้วยว่าอยากให้ป่านลี้ภัยมั้ย แล้วพ่อกับแม่ก็พูดว่ามันเป็นคดีการเมือง ไม่เป็นไรหรอก ก็เลยยังเชื่อว่าจะได้กลับมา และถ้าจะติดคุกก็ยังไม่ใช่ตอนนี้ (ธันวาคม 2021) ยังไม่ใช่ต้นปีหน้า กลางปีไปแล้วค่อยว่ากันอีกที
วันเกิดปีหน้าจะได้กลับมาที่บ้านอีก ?
มันต้องได้กลับมา ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาด แต่ถ้าไม่ได้กลับมา ก็ให้รู้ไว้ว่ายังเชื่อมั่นเสมอว่าจะได้กลับมา แล้วก็เลือกแล้ว.
nandialogue
เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์
ภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น