interviews nandailogue
interview

เสียงกระซิบของสาวน่าน–ป่าน ทะลุฟ้า “เวลามันอยู่ข้างปีศาจ”

ในงานดนตรีที่อำเภอแม่จริมเมื่อธันวาคมปีที่แล้ว ข้างกองไฟ หญิงสาวบอกว่าอยากมาพักผ่อนหย่อนใจด้วยการนั่งชิลล์ฟังดนตรี และอีกเหตุผลที่กลับมาบ้านครั้งนี้คืออยากใช้เวลากับครอบครัวในวาระครบรอบวันเกิดปีที่ 27

เธอมีพื้นเพอยู่อำเภอเชียงกลาง จังหวัดน่าน พ่อเป็นทหาร แม่เป็นครูสอนภาษาไทย เรียนจบ ม.ต้นที่บ้าน ขึ้น ม.ปลาย เลือกย้ายไปเรียนดนตรีไทยที่วิทยาลัยดุริยางคศิลป์ มหาวิทยาลัยมหิดล แต่จบ ม. 6 แพสชั่นในดนตรีก็อันตรธานไป 

“เริ่มเล่นดนตรีด้วยความงงๆ ตอนประถมฯ ที่โรงเรียนเปิดชมรมเราต้องหาอะไรทำ เลือกเข้าชมรมดนตรีไทย เพราะครูที่ดูแลชมรมเป็นเพื่อนแม่ เวลาแม่มารับช้าจะไปรอที่ชมรม เป็นคนที่ไม่ชอบอยู่เฉยๆ และการเล่นดนตรีไม่ต้องคุยกับใคร รู้สึกสนุกทุกครั้งที่เล่นเพลงหนึ่งได้ แล้วเล่นเพลงใหม่ต่อๆ ไป มีอะไรให้ฝึกไปเรื่อยๆ ได้เล่นวงโรงเรียน ได้ไปประกวด มีพื้นฐานของการเล่นเครื่องสาย เช่น ซออู้ ซอด้วง ซะล้อ พิณ ซึง จะเข้ ขิม ฯลฯ เครื่องเคาะเล่นฆ้องวงใหญ่ ระนาดทุ้มได้นิดหน่อย

“ตอนเรียนดนตรี เราชอบเรียนรู้เรื่อง MIT ชอบเรื่องปรัชญาดนตรี แต่เรื่องปฏิบัติเรากลับไม่ได้ชอบขนาดนั้น ชอบวิชาที่น่าค้นหา เช่น การเรียนเรื่องไมค์ ไปดูไมค์ว่าใช้งานได้กี่แบบ แอมป์แบบไหนใช้งานแบบไหน สนใจเรื่องเทคนิค เรื่องประวัติศาสตร์ดนตรี แต่หมดแพชชั่นกับการเล่น ประเมินกับตัวเองว่าเราอาจไม่ได้ชอบที่จะเล่นดนตรีขนาดนั้นก็เลยไม่ต่อสายดนตรี อีกอย่างตอนเรียน ม.ปลาย เราถูกบังคับให้ทำคอนเสิร์ต ทำงานต่างๆ ซ้อมเยอะ ซ้อมทุกอย่าง มันไม่ใช่ความสนุกแบบที่ผ่านมา จบจากเรียนดุริยางค์ก็ไม่ได้จับเครื่องดนตรีอีกเลย”

ช่วงเลือกเข้ามหาลัย เธอยื่นสมัครเรียนรัฐศาสตร์  มีรายชื่อติดที่ ม.ธรรมศาสตร์ และติด University College London เป็นสองทางเลือกที่เธอบอกว่าเลือกไม่ได้สักอย่าง มธ.ก็ลังเล อีกที่ทางบ้านก็ส่งไม่ไหว สุดท้ายก็หมดเขตยืนยันการสมัคร 

“แม่เราชอบอ่านหนังสือให้ฟัง เช่นเรื่อง แปลกหรือที่หนูไม่เหมือนใคร พูดเรื่องความแตกต่าง คนมีสีผมไม่เหมือนกัน คนรูปร่างไม่เหมือนกัน ในสมัยนั้นเราได้ฟังเรื่องพวกนี้แล้วรู้สึกว่าตัวเองก้าวหน้ามากที่มีหนังสืออ่าน แม่มีหนังสือ ใบไม้ที่หายไป, เขมรแดง, ขอม, เขมรไทย, ลาว, ด้นดั้นดุ่มเดี่ยวคนเดียวแด มีหนังสืออะไรทำนองนี้อยู่ที่บ้าน เลยได้หยิบจับหนังสือพวกนี้อ่านตั้งแต่เด็ก คิดว่าหนังสือเหล่านี้ทำให้เกิดความสนใจเรื่องรัฐศาสตร์”

เธอยุติบทบาทเส้นทางนักศึกษาสู่การเป็นนักแสวงหาด้วยวิถี Gap Year โดยมีแม่เป็นคนชี้แนะช่องทางที่นำไปสู่รอยต่อของโลกใบใหม่ด้วยการเป็นอาสาสมัครลงไปใช้ชีวิตกับชาวเลที่จังหวัดสตูลราว 2-3 เดือน ได้เจอสิ่งที่ต่างออกไปจากในรั้วบ้านและโรงเรียน 

พอได้ออกจากบ้านก็เริ่มติดใจ เธอมุ่งหน้าเดินทางต่อไปเป็นอาสาสมัครที่เวียดนาม ฟิลิปปินส์ และญี่ปุ่น โลกของเธอกว้างขึ้นด้วยความหลากหลายจากการได้พูดคุย รู้จักเชื้อชาติ ภาษา วัฒนธรรม สังคม ดินแดนห่างไกลจากพื้นที่ปลอดภัยของเธอช่วยเสริมสร้างประสบการณ์ให้ได้เรียนรู้ว่าสามสิ่งในชีวิตที่จะยึดถือไว้เสมอนั่นคือ ‘คนเท่ากัน เป็นธรรม เท่าเทียม’

ความฝันของเธอคือนักเดินทาง ส่วนความจริงนับรวมการรายงานตัวรอบล่าสุดเมื่อ 12 มกราคม 2022 เธอถูกดำเนินคดีจากการเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งหมด 11 ข้อหา เช่น ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ, ไลฟ์สดในพื้นที่ชุมนุม, ข่มขืนใจเจ้าพนักงาน, ม. 116, ผิด พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์, ถูกกล่าวหาว่าเป็นแอดมินเพจทะลุฟ้า โพสต์ข้อความเชิญชวนคนไปร่วมชุมนุม ฯลฯ 

แม้บางคดีไม่มีหมายจับ หญิงสาวถูกข่มขู่คุกคามผ่านทางโทรศัพท์ บางหมายตำรวจใช้วิธีเดินทางไปหาบุพการีที่จังหวัดน่าน ขณะที่เจ้าตัวไม่อยู่บ้าน 

เธอเล่าอีกเหตุการณ์ที่จำฝังใจของปีที่แล้วให้ฟังว่า 

“หลังจัดม็อบที่แยกนางเลิ้ง เราหลบอยู่ในห้องน้ำ วันนั้นถ้าเราปิดประตู คฝ. จะเปิดแน่ๆ เพื่อเช็กคน เราเปิดประตูไว้และอยู่ในนั้นแบบเงียบที่สุด หลบอยู่หลังประตูเงียบๆ สั่นๆ เพราะวิ่งหนี คฝ. มา คฝ. ตะโกนเรียกว่าอีผู้หญิงคนที่ไลฟ์สด อีตัวอ้วนๆ มึงอยู่ไหน แล้วก็ตีรถ ปัง ปัง ปัง เรามองลอดช่องประตูไป เห็นทุกอย่าง เห็น คฝ. เป็นสิบที่มีอาวุธ ตามหาเราอยู่ เหตุการณ์นี้หนักหนาที่สุดในชีวิต ใจสั่นไปหลายวัน เพราะถ้ามันเดินต่อมาอีกนิดเดียว มีโอกาสที่จะเจอเราสูงมาก ถึงไม่เปิดประตูมันก็ได้ยินเสียงลมหายใจเราอยู่ดี ตอนนั้นชีวิตเหมือนอยู่บนเส้นด้าย” 

nan dialogue ชวนคุยกับ สายป่าน-กตัญญู หมื่นคำเรือง ในวันที่ได้กลับมาทิ้งตัวเนิบๆ ที่น่าน

 

interviews nandialogue

 

ทุกวันนี้นิยามตัวเองว่าเป็นอะไร

ถ้าอยู่ในบ้านทะลุฟ้าจะคุยกันว่าพวกเราเป็นนักปฏิวัติ

ความหมายคำว่านักปฏิวัติของป่านเป็นยังไง

เป็นกลุ่มคนที่กำลังอยากเปลี่ยนแปลงสังคมบางอย่าง อยากปฏิวัติสังคมเก่านำไปสู่ระบอบใหม่ อยากให้เกิดสามข้อที่ยึดไว้ให้ได้ ‘คนเท่ากัน เป็นธรรม เท่าเทียม’ ทุกอย่างเท่ากัน ให้ด้วยความเป็นธรรม และเมื่อเท่าเทียมจะทำให้เราได้คิดได้ฝัน ข้อนี้แหละที่ยังไม่เป็นจริง เท่าเทียมคือให้กันเท่าๆ ไม่ว่าคุณจะเป็นใคร อยู่บ้านนอก อยู่ในเมือง อยู่ในอำเภอ นอกอำเภอ อยู่ขอบชายแดน หรือ แม้กระทั่งเป็นคนจนเมือง ก็ควรจะได้เท่ากันจากรัฐ

เปรียบเทียบง่ายๆ เรามองข้าราชการกับคนที่ขายของไม่เท่ากัน แล้วมันก็ไม่เป็นธรรม ถ้าคนที่เป็นข้าราชการได้สวัสดิการบางอย่าง แต่ประชาชนในประเทศที่เป็นพ่อค้าแม่ค้าหรือทำอาชีพอื่นไม่ได้เลย ถ้ามีอย่างใดอย่างหนึ่งในสามข้อที่ว่า มันจะมูฟไปด้วยกัน เรามีน้องเป็นดาวน์ซินโดรม ไม่อยากให้มีคนที่เกิดมาไม่เท่าคนอื่น และไม่ได้รับความเท่าเทียมเป็นธรรม

พอกลับมาอยู่บ้านที่น่านยังเป็นนักปฏิวัติมั้ย

เป็นเรา (หัวเราะ) 

เป็นยังไง

การได้กลับมาบ้าน เรารู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ปลอดภัย เป็นบ้าน เป็นเพื่อน เป็นครู เป็นคนที่เราคุ้นเคยที่เห็นเรามาตั้งแต่เด็ก พวกเขาบางคนอาจจะไม่เห็นมุมนักปฏิวัติของเราเลยด้วยซ้ำ เลยรู้สึกว่ามันเป็นพื้นที่ปลอดภัยที่ทำให้เราเป็นเรา เป็นป่าน เป็นน้องของพี่ๆ เป็นเพื่อน เป็นคนเพี้ยนคนหนึ่งที่อยู่ที่นี่ 

ไปอยู่กับสังคมอื่นๆ มาพอต้องกลับมาเจอสังคมที่บ้านมีความรู้สึกไม่ชอบใจกับพื้นที่ปลอดภัยแห่งนี้บ้างมั้ย

ก็มี เพราะเราสู้เรื่องเท่ากันเรื่องความแตกต่างมา ไม่แปลกถ้ายังรู้สึกไม่ดีกับคนที่เล่นมุกอะไรที่ไม่ PC แบบนั้น ซึ่งเราก็ยังรับได้ไม่ได้ปิดกั้นขนาดว่าทำไม่ได้นะเว้ย ถามว่าอยากพูดมั้ย อยากพูดจนตัวสั่น แต่ว่าถ้าพูดไปมันจะบวกหรือลบล่ะ 

เพราะพวกเขาอาจไม่ได้มีพื้นฐานความเข้าใจขนาดนั้น เราจะไม่พูดเลยว่าสิ่งที่พวกเขาพูด พวกเขาเล่นกันมันคือความไม่ PC เราจะใช้วิธีแบบเรา เช่น การถามกลับว่าแล้วไงๆ เป็นกระเทยแล้วไง สวยล่ะกัน ใช้วิธีถาม วิธีคุย วิธีบอกแบบอ้อมๆ เราจะไม่ไปบอกคนอื่นว่าพูดแบบนี้หรือคิดแบบนี้ไม่ได้นะ อย่างเพื่อนที่พอคุยได้ เราก็จะบอกเขาว่า เฮ้ย มึง มันไม่ค่อยน่ารักนะ พูดได้ถ้ากับคนที่สนิทเข้าใจกัน แต่อย่าพูดบ่อย อย่าไปล้อเขาบ่อย 

คนต่างจังหวัดเคลื่อนช้า เราจะเอาวิธีคิดแบบชี้หน้าใส่กันแล้วบอกว่านี่คือ sexual harassment นะ นี่คือการริดรอนสิทธิ์นะ เราว่าไม่สามารถทำแบบนั้นได้ ยังต้องทำความเข้าใจเรื่องพื้นฐานสังคมและความแตกต่าง สร้างฐานความเข้าใจกันต่อไป 

เรามีเพื่อนหลากหลายมาก มีเพื่อนแถวบ้าน เพื่อนที่ต่างอำเภอ โตมาด้วยกันตอนประถมฯ มีเพื่อนตอนมัธยมฯ ต้น เป็นเด็กในเมือง พอไปอยู่กรุงเทพฯ ไปเจอคนชนชั้นอีลิตก็อีกแบบหนึ่ง มีเพื่อนเยอะมากหลายรูปแบบ คุยกันคนละภาษา ถ้าคุยกับเพื่อนที่บ้านก็ต้องคุยอีกแบบ พอมาเจอเพื่อนในเมืองน่านก็เป็นเพื่อนอีกแบบหนึ่ง 

เราจัดการรูปแบบความสัมพันธ์ได้จากการมองคนด้วยวิธีคิดแบบสัตว์ 4 ทิศ ทำให้เรามองคนเป็น ทำให้เรารู้ว่าควรจะคุยกับคนอื่นแบบไหน เขาสนใจอะไร เราจะคุยกับเขาได้แบบไหน ที่จะไม่ไปขัดกับความรู้สึกเขา 

วิธีคิดแบบสัตว์ 4 ทิศ เป็นยังไง

จะแบ่งสัตว์เป็น 4 ประเภท กระทิง, เหยี่ยว, หมี และหนู กระทิงมันมีความมุทะลุดุดัน เหยี่ยวจะรอบคอบหน่อยคอยโฉบเฉี่ยว หมีเป็นนักจัดการ ไอ้หนูเป็นนักข้อมูล เรามองว่าตัวเองเป็นหมี เป็นนักจัดการเราเป็นนักวางแผน นักวางสเต็ป นักออกแบบ เราเป็นนักอ่านมาก่อน เราจึงชอบคิด ชอบวางแผน ตัวเองจะเป็นคนที่มีแพลตฟอร์มในชีวิต มีลำดับการทำงานว่ากี่โมงจะทำอะไร แต่เดี๋ยวนี้เริ่มมีความเป็นกระทิงเข้ามา ด้วยบุคลิกที่เป็นคนใจร้อนแบบกระทิง แบ่งเป็นหมี 70% เป็นกระทิง 20% เป็นเหยี่ยวอีก 10% ส่วนหนูยังเป็นไม่ได้

คนรอบตัวเจอสัตว์อะไรบ้าง

เรามีทุกสัตว์ เพราะการจะเป็นทีมที่ดีได้ต้องมีสัตว์ 4 ชนิดประกอบอยู่ในทีม อย่าง พี่ไผ่ ดาวดิน แน่นอนว่าเป็นกระทิง มีน้องในทีมที่รอบครอบทำงานเกี่ยวกับข้อมูล มีคนเป็นทั้งกระทิง หนูเหยี่ยว เราถูกฝึกให้เป็นให้ได้ทุกอย่าง ถามว่าจะเป็นหนูได้มั้ย ในเวลาที่จำเป็นจริงๆ ก็ทำได้ ถูกฝึกให้เรียนรู้ทั้ง 4 แบบ

เป็นนักปฏิวัติต้องใจกว้าง ?

ต้องยอมรับก่อนข้อแรกว่าเราทุกคนเกิดมาไม่พร้อมกัน ขนาดฝาแฝดยังไม่พร้อม ดังนั้น พื้นฐานความรู้ความเข้าใจ การเติบโต วิธีคิด อ่านหนังสือเล่มเดียวกันตีความก็ไม่เหมือนกัน เราว่าความใจกว้างที่หมายถึงคือพร้อมจะเปิดรับทุกวิธีคิด ทุกวิธีการให้ได้ ทุกคนมีแนวทางของตัวเองมันเลยทำให้คนหลากหลาย พอมีคนหลากหลายมาอยู่รวมกัน บางทีก็มีกระทบกระทั่งเรื่องทฤษฏี หลักการ วิธีคิด หรือ การใช้ชีวิต การยอมรับวิถีทางของใครของมันให้ได้นี่แหละคือความใจกว้าง ถ้าเป็นการคุยกันอย่างให้เกียรติ มันมีความหลากหลายได้หมด แต่ถ้าวันไหนที่มีใครข่มหรือกดทับกัน แบบนี้คือเราไม่ใจกว้าง

เจอกันในงานดนตรี ถือว่าเป็นการพักผ่อนจริงจังแค่ไหน ระหว่างนั่งฟังเพลง นั่งรอบกองไฟ ยังมีความคิดอะไรเกี่ยวกับสิ่งที่ไม่ชอบมั้ย

งานดนตรีสำหรับเราคือที่ที่ฟังเพลง ไปฟังซาวนด์ ไปดูแสงสี ไปสัมผัส สิ่งที่ขัดหูขัดตามากคือเสียงดัง แต่วัฒนธรรมการดูดนตรีเพิ่งจะมีเยอะๆ เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ผู้คนก็อาจจะใหม่ ยังไม่เข้าใจวิถี บางคนอาจจะคิดว่าก็มากินเหล้ากับเพื่อน เราก็พยายามใจกว้าง คิดว่าไม่เป็นไรหรอก เพราะคนอื่นก็ยังไม่ได้เข้าใจหลายๆ อย่าง เรามีเลนส์อีกเลนส์ที่สวนทางกับหัวสมอง  เมื่อรำคาญคนเสียงดัง อีกเลนส์จะสวนมาว่า เอาน่า เขาอาจจะเพิ่งเคยมางานดนตรี เขาน่าจะไม่เข้าใจว่างานดนตรีคือที่ที่คนมาฟังเพลง การดูดนตรีเป็นกิจกรรมอย่างหนึ่งที่เกิดขึ้นกับเราตลอด ถามว่าพักผ่อนมั้ย มันเป็นการพักผ่อนสำหรับเรามากในชีวิตปกติ 

ถ้าป่านไม่ได้เข้ามาสู่เส้นทางการเป็นนักกิจกรรมตอนนี้ชีวิตปกติกำลังทำอะไร

จินตนาการไม่ได้ เพราะมองไม่เห็นว่าอนาคตจะออกมาแบบไหน ไม่เห็นจริงๆ ว่าถ้าชีวิตนี้ มันปกติ ถ้าไม่ทำงานการเมืองแล้วจะเป็นแบบไหน นึกมันไม่ออกไปแล้ว ถ้าถามก่อน 8 เดือนที่ผ่านมา ก็คิดว่ายังคงทำทัวร์ที่น่าน ทำงานโรงแรมอยู่ที่น่าน น่าจะผันตัวไปเป็นคนทำธุรกิจ 

ปกติเราเป็นคนเดินทางต่างประเทศเยอะมาก ถ้าประเทศนี้มันดีเราคงได้เดินทาง เราเป็นคนชอบมองหาความหลากหลาย พอตอนนี้มันเป็นแบบนี้ อย่างหนึ่งที่หายไปและไม่กล้าจะคิดคือเรื่องเดินทางนี่แหละ จริงๆ ปีที่แล้วต้องไปไซบีเรีย 90 วัน ก็ติดโควิด

 

interviews nandialogue

 

ตอนเดินทางช่วง Gab Year ไปเจออะไรมาบ้าง

เริ่มแรกไปอยู่สตูล ที่อำเภอละงู มีอาสาสมัคร 20 คน เป็นคนไทย 4 คน นอกนั้นเป็นต่างชาติหมดเลย เรามีรูมเมดเป็นคนเกาหลีอายุไล่เรี่ยกัน มีป้าเกษียณแล้วมาใช้บั้นปลายกับการเข้าร่วมโปรเจ็กต์นี้ เป็นอาสาสมัคร ไม่มีเงินให้แล้วก็ต้องเสียเงินให้เขาด้วย 

ได้ไปปรับตัวอยู่กับชุมชนมุสลิม เริ่มเข้าใจความหลากหลายอย่างแท้จริง วัฒนธรรมใหม่ เริ่มได้เห็นความเหลื่อมล้ำจากการได้มองเห็นสิ่งต่างๆ ในชุมชน เริ่มตั้งคำถามกับระบบการศึกษา เริ่มตั้งคำถามกับประมงพื้นบ้าน ดูน้ำขึ้นน้ำลงเป็นจากการไปนั่งถามชาวบ้านในชุมชน ไปรู้เรื่องท่าเรือน้ำลึกปากบารา ชาวบ้านเล่าให้ฟังว่าถ้าที่นี่มีท่าเรือน้ำลึกก็จะทำประมงพื้นบ้านไม่ได้แล้ว ถามชาวบ้านว่าทำไมปลามันสดกว่าไปซื้อเรือใหญ่ ชาวบ้านบอกมันสดเพราะเรือใหญ่ออกทีสามวัน แต่ประมงพื้นบ้านออกคืนเดียว เราก็สงสัยต่อแล้วอะไรคือประมงพื้นบ้าน เขาก็พาออกทะเลไปหาปลา มีครั้งที่ออกเรือไปกับชาวบ้านแล้วไม่ได้ปลาเลย ได้รู้ว่าเรือใหญ่ช็อตปลาไปหมดแล้ว ไม่เหลือลูกปลาไว้เลย เราก็ถามว่าลูกปลาคืออะไร ประมงแบบนั้นส่งผลเสียอะไร เลยได้คุยกับชาวบ้านเรื่องพวกนี้ ได้เห็นปัญหา จากที่จะอยู่แค่สองเดือนก็อยู่ต่อเป็นสามสี่เดือน

เรามีความสุขกับการได้ไปเป็นอาสาสมัคร อาจเป็นความคิดแบบเด็กๆ ช่วง 17-18 ปีด้วย สนุกกับการวางแผนไปต่างประเทศ ได้อยู่ร่วมกันกับคนอื่น ได้ใช้ภาษาอังกฤษ เราอยากพูดภาษาอังกฤษได้ ในคลาสมีคนฮังการี เขาบอกว่าเขาพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย ซึ่งเราเข้าใจมาตลอดว่าฝรั่งพูดภาษาอังกฤษได้ทุกคน แล้ววันหนึ่งไปเจอหน้าโคตรฝรั่งแล้วเขาบอกว่าพูดภาษาอังกฤษได้นิดหน่อย มันเปิดโลกการไม่กลัวภาษาอังกฤษของเรา จะไปกลัวอะไรแค่พูดผิด หลังจากนั้นก็กล้าที่จะพูด 

ตอนไปอาสาสมัครที่เวียดนามมีเพื่อนร่วมโปรเจ็กต์ 6-7 คน ไม่มีคนไทยเลย มีเกาหลี มีเพื่อนจากยุโรป จากอเมริกา เม็กซิโก มีคนผิวดำจากแอฟฟริกา เห็นความหลากหลายชัดเจน องค์กรที่ไปคือให้คนเอเชียกินข้าวชั้นหนึ่ง ผิวขาวกินข้าวชั้นสองได้ เริ่มเข้าใจคำว่า class struggle ในตอนนั้น ได้ไปเห็นเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เห็นขนส่งสาธารณะที่ย่ำแย่มาก

ตอนไปฟิลิปปินส์ได้ลงพื้นที่ชุมชนสลัมตั้งแต่อาทิตย์แรก เห็นคนเสพยาต่อหน้า เห็นพ่อแม่ตีกัน ตีเสร็จก็ตีลูก มีคนเดินมาเปิดหำให้ดู มีคนมาขอเย็ด มีทุกอย่าง ได้เห็นมนุษย์เยอะขึ้น 

ตอนไปญี่ปุ่น เจอหมู่บ้านที่หนาวมากหิมะเยอะ ฤดูหนาวคนในหมู่บ้านจะย้ายตัวเองไปอยู่ที่อื่น เพราะว่าหนาวเกินไป จะมีคนแก่ที่ไม่มีญาติอยู่ที่นั่น บ้านก็พร้อมพังตลอดเวลาเพราะว่าหิมะอยู่บนหลังคา เลือกไปโปรเจ็กต์นี้เพราะอยากเจอหิมะ พอเจอหิมะก็พบว่าแม่งลำบากสัสๆ เราเคยเห็นประเทศญี่ปุ่นเป็นประเทศในฝัน แล้วเราได้ไปเห็นญี่ปุ่นในมุมที่คนแก่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ ไม่มีรัฐเข้ามาช่วย หนาวจนขี้ไม่ได้ต้องห่มผ้าห่มไปขี้ไป ฉีดตูดก็ไม่ได้ เอาอะไรเช็ดก็ไม่ได้ เจอพายุเข้า 4-5 วันไม่มีอะไรกิน ไปเจอรองเท้าที่ใช้เดินบนหิมะ เห็นโรงเรียนที่หมู่บ้านข้างล่างไปโรงเรียนไม่ได้เพราะว่ามีหิมะ 

ตอนที่เป็นอาสาสมัครอยู่ค่ายไม่ได้รู้สึกโรแมนติกกับญี่ปุ่น ออกมาอยู่ในเมืองถึงเห็นญี่ปุ่นแบบที่รู้จัก ในเมืองสบายกว่า ใช้บัตรใบเดียว ไปไหนก็สะดวก แอพพลิเคชั่นมากมายใช้ได้หมด ทุกอย่างตรงเวลา ประเทศเขาสร้างทุกนาทีให้มีความหมาย จากเมือง Fukui ที่ไปเป็นอาสามาถึงเมืองหลวงที่ญี่ปุ่นก็ยังใช้รถแบบเดียวกัน ยังเป็นความสะดวกสบายแบบเดียวกัน มีบัตรโดยสารแบบเดียวกัน ที่ญี่ปุ่นกะว่าไปเที่ยวล้วนๆ 

นักปฏิวัติ สามารถกลับไปใช้ชีวิตปกติแบบที่ผ่านมาได้มั้ย

เรารู้เยอะไป การที่รู้เยอะไป ทำให้เห็นสังคม เห็นความเหลื่อมล้ำ เห็นคนจนเมือง เห็นคนฐานราบ ยังเห็นเบี้ยค่าอาหารกลางวัน ส.ส. วันละ 800 แต่เบี้ยคนพิการเดือนละ 600 ยังเห็นสิ่งเหล่านี้อยู่ หยุดไม่ได้ 

พอเรียกตัวเองว่าเป็นนักปฏิวัติ ใช้คำนี้แล้วเขิน (หัวเราะ) ถามว่าออกมาจากความรับผิดชอบนี้ได้มั้ย ก็ได้ แต่บอกเลยว่าวันหนึ่งก็จะกลับไปเป็นอยู่ดี เหมือนที่เราเคยออกมาครั้งหนึ่ง แล้วก็กลับเข้าไปใหม่

ออกเพราะ ?

วันที่ออกคือวันที่พี่ไผ่ (จตุภัทร์ บุญภัทรรักษา) ติดคุก 2 ปี 6 เดือน พิพากษาแล้ว ตัดสินแล้ว ติดคุกแล้ว หลังจากพี่ไผ่ติดคุก เราเหมือนคนไร้หลัก ไร้คนที่เคยซัพพอร์ต ไร้คนที่เคยปรึกษาพูดคุยเป็นวันที่ล้ม จากที่เรามีแค่ภาวะซึมเศร้าก็กลายเป็นคนซึมเศร้าเต็มรูปแบบ จากดีเพรสก็กลายเป็นซูเปอร์ดีเพรส 

เราเลือกกลับมาอยู่บ้าน 3 ปี สุดท้ายก็กลับไป เพราะว่ายังมีคนที่สู้ เห็นทางที่จะเปลี่ยนแปลง ประยุทธ์ยังอยู่ โครงสร้างทางการเมือง ระบบข้าราชการยังอยู่ คนจนเมืองเพิ่มขึ้นทุกวัน เวลาก้าวไปข้างหน้า แต่ความเหลื่อมล้ำและทุกอย่างยังคงอยู่ที่เดิม มันขาดกลไกและฟันเฟืองในการขยับไปข้างหน้า เราเลยอยากเป็นฟันเพืองที่ขยับเรื่องพวกนี้

กลับมาน่าน 3 ปี มาทบทวนตัวเอง ?

กลับมาปีแรกเรารับงานเป็นล่ามรัฐศาสตร์การเมือง ด้านสิทธิมนุษยชน เกษตรนิเวศชาวบ้าน ล่ามประเภทนี้คนทำงานน้อย พอคนทำน้อย ได้เงินเยอะเลยรับงานเดือนละครั้งได้ หลังๆ รับงานแปล thesis จากนั้นก็ทำงานโรงแรม และออกมาทำทัวร์ต่อ 3 ปีนั้นทำ 3 อย่าง

อยู่บ้านก็ดีนี่ ?

เมื่อต้นปี 2021 มันมีการเดินทะลุฟ้าจากโคราชเข้ากรุงเทพฯ ไปมอบตัว เพื่อยืนยันว่าการกระทำของตัวเองไม่ผิด พี่ไผ่ไม่เคยเรียกร้องอะไรจากเราเลยในสามปีที่กลับมาอยู่บ้าน เขาเคยถามครั้งหนึ่งตอนที่ออกมาจากคุกว่าจะกลับมาทำมั้ย ตอนนั้นเราปฏิเสธไป เพราะเพิ่งทำทัวร์ เราทบทวนและคิดว่าพี่ไผ่ไม่เคยขอร้องอะไรจากเรา เลยตัดสินใจลงไปช่วยงานต่อ 

หลังจากเดินเสร็จ เราอยู่ต่อเป็นเดือนจนพี่ไผ่ออกจากคุก เขาก็ถามว่าเอาไงต่อ ตอนนั้นเราบอกว่าจะกลับบ้าน แต่เราก็ไม่ได้กลับ เพราะรู้สึกว่ามีความสุขที่ได้ทำงานตรงนี้ ได้พัฒนาตัวเอง และอยากพัฒนาสิ่งที่ทำมาด้วยกันกับทีม หลังจากพี่ไผ่เดินมาติดคุก เราทุกคนในทีมก็เดินหน้าต่อ มันไม่ใช่แค่พี่ไผ่ที่ทำสิ่งนี้ขึ้นมา แต่เป็นพวกเราทุกคนที่ทำมันขึ้นมาเลยไม่อยากหยุด จนวินาทีนี้ เราก็ไม่อยากหยุด อย่างหนึ่งที่เรารู้สึกเหมือนพี่ไผ่คือ เราเคยผ่านช่วงเวลาที่เจอคนมาม็อบ 100 คน แม่งดีใจมากๆ  แต่ปี 2020 คนมาเรือนแสน ปี 2021 ก็ยังเป็นพันๆ เรารู้สึกว่ามันไม่ได้ถดถอยลงไปเลย การต่อสู้ของประชาชนมันมากขึ้นด้วยซ้ำ 

เราไม่ได้เตรียมตัวมาเป็นนักกิจกรรม ไม่ได้เตรียมตัวกลับมาเป็นนักปฏิวัติ เราเห็นอะไรที่เป็นมูฟเม้นต์ว่ามันเคลื่อนไปข้างหน้า มองเห็นแสงสว่างบางอย่าง รู้สึกว่านั่นแหละความหวัง ได้เปลี่ยนชีวิตตัวเองไปอีกแบบได้เรียนรู้อะไรเยอะ อย่างหนึ่งที่รู้สึกสำเร็จมากๆ คือเราเอาชนะตัวเองได้ ข้ามผ่านขีดจำกัดตัวเองไปได้ในหลายๆ เรื่อง ได้เจอคนที่อยากจะเปลี่ยนแปลงสังคมมากๆ ด้วยกัน มันเป็นแรงขับเคลื่อนที่ดี มีคนรอบตัวที่อุทิศตนมาร่วมเคลื่อนไหวและทุกคนล้วนจิตใจดี 

ความรู้สึกว่าจะแพ้มีมั้ย

ไม่ เราไม่แพ้ คนในประเทศไม่แพ้หรอก แต่อยู่ที่ว่าคนในประเทศเขามองชัยชนะแบบไหน คือเราไม่เคยมองชัยชนะแบบที่ว่าพรุ่งนี้เจ้าจะสละราชสมบัติ เราไม่ได้มองว่าพรุ่งนี้ประยุทธ์จะลาออก ชัยชนะของเราเล็กน้อยมาก อย่างปีที่แล้วเราพูดชื่อเจ้าได้ พูดออกไมค์ด้วย พูดให้คนได้ยินทั้งประเทศ พูดได้ไปทั่วโลกเลย นี่เป็นชัยชนะแบบสูงสุดแล้ว ถ้ามองว่าจะชนะมั้ย ต้องถามว่าชนะอะไร แล้วจะแพ้อะไร อย่างเดียวที่แพ้ได้ง่ายที่สุดคือแพ้ใจตัวเอง แพ้เพราะสิ่งที่กำลังคุกคามเราอยู่ ถามว่าจะชนะมั้ย เราชนะมาตลอด เวลามันอยู่ข้างปีศาจ ปีศาจแบบที่ เสนีย์ เสาวพงศ์ บอกไว้ เรามองว่าไม่แพ้ ไม่มีทาง ลองดูเด็กรุ่นใหม่สิ มันเป็นชัยชนะที่ใหญ่มากในยุคที่มีรัฐประหารเข้ามา มีรัฐบาลที่มาจากอำนาจเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ มันไปไกลและคนตื่นตัวมากๆ 

เคยคุยกับพี่ไผ่เมื่อ 6 ปีที่แล้วว่า อีก 20 ปีนู้นแหละ คนจะกล้าพูดชื่อเจ้า แต่หลังจากนั้นผ่านมาแค่ 6 ปีเองมันรวดเร็วทุกอย่างพลิกฟ้าพลิกแผ่นดินได้ไวมากๆ คนที่ทำงานอยู่ข้างหลังอย่างเรา รู้สึกว่านี่แหละแรงผลักดัน นี่แหละแรงกระเพื่อม 

เราเห็นยอดเงินบริจาคของทะลุฟ้า ยอดที่เจอเยอะสุดคือ 20 บาท 5 บาท 112 บาท ยอดหลักพันน้อย ยอดหลักหมื่นยิ่งน้อยกว่า แต่เงินที่รวมกันเป็นแสน มันไม่ใช่การรวมจากเงินก้อน แต่คือเม็ดเงินที่คนบริจาคมาเพื่อสู้จริงๆ กองทุนราษฎรประสงค์มีเงินที่ใช้ไปแล้ว 50 กว่าล้าน เพื่อประกันตัว สิ่งเหล่านี้ทำให้เรารู้สึกว่าคนในประเทศนี้ไม่ได้หายไป สิ่งที่เราทำอยู่มันไม่ได้ผิด 

ถามว่าเราอยากหยุดมั้ย เราท้อ เราเหนื่อย แต่มันมีคนที่ยังสู้อยู่ มันดีมากเลยนะ ได้เงินยอดแค่นี้แต่พอมารวมกันแล้วทำให้สามารถจัดม็อบให้ก้าวต่อไปได้ เราเป็นนักปฏิวัติ ไม่มีเงินเดือนอยู่แล้ว จะทำยังไงให้อยู่ได้ เงินพวกนี้มีค่ามาก

 

interviews nandailogue

 

หมีอย่างป่านวางแผนอะไรไว้มั้ยในปีหน้า

ยังจะทำขบวนอยู่ ยังไม่ถอย ปีหน้ามีเป้าหมายการทำงานเรื่องยกเลิก 112 อยู่ เพราะรู้สึกว่าถ้าไม่ผ่านบันไดขั้นนี้ไป เราจะไม่มีทางพูดถึงระบบอุปถัมภ์ในไทยได้ ไม่สามารถพูดถึงระบบการเมืองของไทยได้ ไม่สามารถปลดแอกบนความเป็นทาสของพวกเราได้ ปีหน้าวางแผนไว้ว่าจะไม่โหมงานมากเกินไปจะคิดถึงตัวเองบ้าง จะหมั่นสำรวจตัวเอง จะเดินสายเป็นนักเคลื่อนไหวต่อไป 

อีกเรื่องคือประเทศนี้ควรกระจายอำนาจ คนส่วนใหญ่ในประเทศไม่ได้อยู่ในกรุงเทพฯ ไม่ได้เป็นคนชนชั้นกลาง แต่เป็นคนหาเช้ากินค่ำ อย่างแม่เราที่เป็นครูต่างจังหวัดกล้าพูดเลยว่าแม่ก็เป็นคนที่ต้องได้รับความรู้เพิ่ม 

สมมติว่าที่น่านมีหนึ่งแสนคน หนึ่งแสนคนเสียภาษี แต่เงินภาษีถูกเข้าส่วนกลางในกรุงเทพฯ แล้วค่อยกระจายออกมา การกระจายกลับมาจะต้องหักๆๆๆ กว่าจะมาถึงภูมิภาค แต่ถ้าการกระจายอำนาจแบบที่คนน่านเสียภาษีให้จังหวัดน่าน แล้วกระจายแค่ในจังหวัด เราไม่ต้องรอถนนที่เป็นโครงการที่ผ่านการอนุมัติจากส่วนกลาง ห้วยโทนจะไม่ต้องรับบริจาคเงินเพื่อทำถนนแค่ทางล้อ มณีพฤกษ์จะมีโรงคั่วกาแฟที่ดี ห้องสมุดจะได้ใช้จริงๆ 

คนต่างจังหวัดไม่เข้าใจเรื่องภาษี แม้แต่ข้าราชการบางคนก็ไม่รู้ว่าเงินเดือนตัวเองมาจากภาษีประชาชน เราว่าการกระจายอำนาจจะทำให้เห็นชัดเจนว่าเงินที่หมุนเวียนในแต่ละเขตจะได้เห็นเงินที่กระจายจริงๆ ได้เห็นอะไรกลับมาบ้าง เลยมองว่าการกระจายอำนาจและลดบทบาทเมืองหลวงจะทำให้มนุษย์เท่ากันมากกว่าตอนนี้ จะทำให้การเกิดมาของใครสักคนมีค่าเท่ากัน ไม่รู้สึกว่าการเกิดมาของกูแม่งไม่มีค่าเลย 

มองเห็นน่านว่าจะเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง หากมีการกระจายอำนาจ

ที่ทำได้เลยคือ การท่องเที่ยว วัฒนธรรม งานฝีมือ อาหาร จริงๆ น่านแทบจะเรียกว่าเป็นประเทศได้แล้วนะ มีเหนือ กลาง ใต้ เป็นประเทศเล็กๆ ที่มีความหลากหลายด้วยตัวเองอยู่แล้ว มีภูเขา มีพื้นที่ราบ มีประมงชายฝั่ง อยู่ในจังหวัดเดียว 

ถ้าถูกกระจายอำนาจ ถ้า ททท. มีทุกจังหวัด หรือแค่มีในทุกหัวเมือง การท่องเที่ยวน่านจะดีกว่านี้ ในการถูกควบคุมราคา ควบคุมปริมาณ สามารถจำกัดและทำทุกอย่างได้ ถ้าการกระจายอำนาจมาถึง การท่องเที่ยวจะหลากหลาย มีโฮมสเตย์น่ารักๆ เยอะมากที่ไม่ผ่านการโปรโมต ไม่สามารถเอาเงินจ้างบล็อกเกอร์ได้ ที่น่านมีคนทำงานคราฟต์เยอะ มีงานฝีมือคุณภาพดี มีการทำเครื่องเงินที่ดี พวกนี้จะถูกส่งเสริม เมืองน่านที่น่ารักอยู่แล้วจะน่ารักขึ้นไปอีก 

น่านเป็นตัวอย่างที่ดี น่านไปกึ่งการกระจายอำนาจเพราะจังหวัดจัดการตัวเอง แล้วคนในจังหวัดก็ดูแลกัน มีการส่งเสริมกันเอง ถ้าถูกส่งเสริมด้วยรัฐ ด้วยส่วนกลาง จะดีกว่านี้ และไปได้ไกลกว่านี้ มีคนรับรู้ในวงกว้างมากกว่านี้

ความฝันของเด็กรุ่นใหม่วัยย่างเข้า 27 ปีคืออะไร

คือความหวัง หน้าที่ของเราเป็นคนสร้างความหวังให้คนในประเทศลุกขึ้นมาสู้ เป็นฟันเฟืองหนึ่งของสังคม เคยถามคำถามนี้กับเพนกวินด้วยนะ ถามว่าความฝันของคุณ พริษฐ์ ชิวรักษ์ คืออะไรในวัยที่กำลังศึกษาเล่าเรียน มันตอบว่าผมไม่เคยอยากเรียนรัฐศาสตร์ ผมอยากเรียนประวัติศาสตร์ แต่ผมเลือกเรียนรัฐศาสตร์เพราะผมอยากเปลี่ยนแปลง ความฝันของเขาคือการเปลี่ยนแปลง ส่วนความฝันของเราคือเป็นฟันเฟืองที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลง.

 

อ่านต่อในสัปดาห์หน้า

 

 

nandialogue

 

nandialogue

เรื่องและภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น

You may also like...