interview

จับขัง 2 ครั้งในค่ายทหาร อุดมการณ์และสปิริต ประวิตร โรจนพฤกษ์

วันนี้เป็นวันครบรอบ 8 ปี ‘รัฐประหาร 22 พฤษภาคม’

ผมเคยสัมภาษณ์นักข่าวคนหนึ่งที่โดน คสช.จับขัง (เผยแพร่ครั้งแรกในนิตยสาร WRITER เดือนธันวาคม 2015 ต่อมารวบรวมจัดพิมพ์ไว้ในหนังสือ ‘เดี๋ยวนะ นักฝัน’) เพื่อให้ความป่าเถื่อนนั้นไม่เงียบหาย เพื่อให้ความเลวร้ายของการยึดอำนาจถูกตีแผ่ เปิดโปง วิพากษ์วิจารณ์ในวงกว้าง เพื่อให้สังคมของเราเรียนรู้ประวัติศาสตร์ จึงนำเสนอบทสัมภาษณ์นั้นอีกครั้ง ณ พื้นที่นี้

หลังรัฐประหาร พฤษภาคม 2014 เพียงสองวัน คสช. เรียกนักข่าวอาวุโสของ The Nation ประวิตร โรจนพฤกษ์ เข้าปรับทัศนคติ

ทางเลือกของเขามีสองทาง คือหลบหนี หรือจำยอมถูกจำกัดอิสรภาพ

ประวิตรเลือกอย่างหลัง โดยก่อนเข้าค่ายทหาร  เขาใช้เทปพันปิดปากและชูสองนิ้วหน้ากองทัพบก ภาพนี้เป็นข่าวไปทั่วโลก หนนั้นเขาถูกขังเจ็ดวัน และโดยไม่มีใครคาดคิด, กันยายน 2015 ประวิตรถูก คสช. เรียกเข้าค่ายอีกครั้ง เที่ยวนี้เขาโดนปิดตา ขึ้นรถตู้และขังเดี่ยวอยู่สามวันสองคืน

ประวิตร โรจนพฤกษ์ คือใคร เขาประสบสิ่งใดมาบ้าง นี่คือตราบาปของเผด็จการที่สังคมไทยควรบันทึกศึกษา

รอบแรกที่ถูกเรียกเข้าค่าย เกิดอะไรขึ้น คุณอยู่ไหน รู้ข่าวยังไง

เขาประกาศออกทีวี แต่ผมไม่ได้ดู รู้จากทวิตเตอร์ คำสั่งฉบับที่ 6/2557 ลองคิดดูว่า คสช. ยึดอำนาจ อยากสั่งอะไรบ้าง ฉบับที่ 6 เขาเรียกผมไปคนเดียว ประกาศคืนวันที่ 24 พฤษภาคม คือ 2 วันหลังรัฐประหาร ชื่อโผล่มาคนเดียว ออกทีวี วิทยุ ผมน่าจะเป็นคนแรกที่มีชื่อคนเดียวโผล่ออกทีวี เพราะล็อตก่อนหน้านั้นเรียกยาวเป็นพรืด 20-30 คน

ในทวิตเตอร์ มีทั้งกองเชียร์และคนที่เกลียดผมมาก เพราะเขาสนับสนุนมาตรา 112 สนับสนุนรัฐประหาร ฝั่งที่เกลียด พอผมโดนเขาก็เฮ เฉลิมฉลอง ดีใจ

คุณกำลังทำอะไร อยู่ที่ไหน

ผมอยู่เซฟเฮาส์แห่งหนึ่ง

วิเคราะห์ไว้แล้วว่าอาจจะเข้าข่าย ?

ต้องระวังตัว เพราะวันรุ่งขึ้นหลังรัฐประหาร ทีวีระดับโลกหลายสำนักมาสัมภาษณ์ผม นั่นเป็นเหตุผลหรือเปล่า ไม่รู้ เพราะเขาเรียกผมไปเร็วและเรียกเดี่ยว เหมือนกับตกลิสต์และรีบเอาชื่อผมไป ให้เดา ผมคิดว่าที่พูดกับสื่อต่างชาติมีส่วนมาก ผมบอกว่าคุณประยุทธ์พูดหลายครั้ง ตอนเป็น ผบ.ทบ. ว่าไม่มีรัฐประหาร แต่สุดท้ายก็ทำ แสดงว่าถ้าไม่โกหก แกก็เปลี่ยนใจ ซึ่งไม่ว่าจะโกหกหรือเปลี่ยนใจ ก็ไม่ใช่สัญญาณที่ดี กลายเป็นคนที่ไม่น่าเชื่อถือ

ผมพูดให้สัมภาษณ์ ไม่ใช่แค่วิเคราะห์ แต่ได้ตั้งคำถามเรื่องความชอบธรรม หรือบริบทที่ทำให้เกิดรัฐประหาร นอกจากผมค่อนข้างแอกทีฟในทวิตเตอร์หรือเฟซบุ๊ก อีกอันที่สำคัญคือที่เขียนใน เดอะเนชั่น’ บังเอิญก่อนวันรัฐประหาร ผมวิจารณ์เรื่องกฏอัยการศึก ตอนนั้นมันตุๆ แล้ว ผมเขียนเสร็จ ‘นิวยอร์กไทม์’ เอาไปอ้าง ตีพิมพ์วันที่ 22 พฤษภาคม คือวันรัฐประหารพอดี คนจึงเห็นไปทั่วโลก

ผมคิดว่าจะเอาไงกับชีวิต เพราะก่อน คสช. เรียกผม มีบางคนหนีไปต่างประเทศแล้ว หรือกำลังหนี หรือตัดสินใจว่าไม่ไปรายงานตัว ไม่มอบตัว เรียกยังไงก็ช่าง ผมคิดเป็นชั่วโมงกว่าจะสรุปได้ว่าจะสู้ และสู้แบบเผชิญหน้า

คิดคนเดียว ?

ส่วนใหญ่ผมคิดคนเดียว เพราะสุดท้ายใครมารับผิดชอบแทนเราไม่ได้นะ (หัวเราะ)

เลือกเลยว่าไปลุย ?

ถึงได้เตรียมเทปไปไง ที่เป็นข่าวไปทั่วโลก ผมปิดเทปที่ปากก่อนเข้าหอประชุมกองทัพบก

คุณคิดจะหลบหนีบ้างไหม

เป็นทางเลือกหนึ่ง แต่ถามว่างานหลักผมคืออะไร งานผมคืองานเขียน คือการสื่อสาร ผมให้ความสำคัญกับการที่จะต้องอยู่ในประเทศนี้ และสู้เพื่อเสรีภาพ เพื่อประชาธิปไตย เพื่อสิทธิขั้นพื้นฐาน ถ้าเราพอมีที่ทาง ก็สู้

การเข้าไปในค่ายตอนนั้นเราไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น คือมองย้อนหลังตอนนี้ก็พอรู้ว่า ถ้าไม่ใช่นักโทษ ม.112 เขาคงไม่เอาไปฆ่า.. หรือเปล่า หรืออาจใช้คำใหม่ว่า ถ้าไม่ใช่นักโทษ 112 ก็อาจไม่ต้องกลัวติดเชื้อในกระแสโลหิต

แต่เข้าไปแล้ว เขาก็ยัดข้อหานี้ให้คุณได้อยู่ดี ?

ถูกต้อง มันเป็นการกระโดดลงเหว และเชื่อมั่นในตัวเองว่าเราจะทำยังไง

คุณไปวันที่ถูกเรียกเลยไหม

เขาบอกให้ไปวันรุ่งขึ้น ผมไปตรงเวลานะ แต่ปิดเทปที่ปากก่อน แพลนไว้แล้ว ผมไม่เข้าไปแบบก้มหัวหรือสยบยอม

ต้อง perform นิดหน่อย ?

ไม่เพียง perform  เราต้องแสดงจุดยืนว่าอารยะขัดขืน แม้เขามีอำนาจ แต่เราไม่ยอมรับความชอบธรรมของเขา เราแสดงให้เห็นว่าไม่เห็นด้วยกับสิ่งที่เขาทำ

คุณไม่คิดว่าเป็นการยอมแพ้หรอกหรือ เพราะขณะที่คุณบอกว่าเขาไม่ชอบธรรม แต่คุณก็ไปตามคำประกาศเรียก แง่หนึ่งมันก็คือยอมต่ออำนาจของเขา..

ผมตอบได้เลย และมีพยาน คือกรรมการสิทธิฯ ที่เข้าไปพบผมและคุณธนาพล อิ๋วสกุล และ อ.สุรพศ ทวีศักดิ์ ผมพูดต่อหน้าทหารและคนเหล่านี้ว่า ถ้าเขาให้ผมเขียนสัญญาอะไรที่จะรวมถึงการห้ามวิพากษ์วิจารณ์ทหาร หรือ คสช. ผมจะไม่เซ็น ขังผมไปเถอะ

ผมคิดว่าคนเรามันไม่ได้ทุกอย่างหรอก คนที่หนีไปก็สูญเสียเสรีภาพบางอย่าง ผมเข้าใจนะ พูดแบบนี้ไม่ใช่ดูหมิ่นคนหนี ผมว่าสำคัญกว่านั้นคือคุณสู้ต่อมั้ย ถ้าหนีแล้วเงียบ ผมว่าก็แค่นั้น หรือถ้าอยู่ พอถูกเรียกเข้าค่ายแล้วออกมาเงียบ มันก็แค่นั้น เส้นแบ่งผมชัดเจน เข้าค่ายไปทั้งครั้งแรกและครั้งสอง ถ้าคุณไม่ให้ผมวิพากษ์วิจารณ์ทหาร คุณก็ขังผม และผมให้เครดิต คสช. ว่าในข้อตกลงทั้งสองครั้งก็ไม่ได้ห้ามผมวิจารณ์ คสช. ทุกวันนี้ถ้าดูงานผม ไม่ว่าภาษาไทยภาษาอังกฤษ ผมยังทำหน้าที่เหมือนเดิม วันนี้ก็เพิ่งวิจารณ์เรื่องทหารส่งคนไปถ่ายรูปหน้าบ้านอาจารย์สมศักดิ์ เจียมฯ คุณดูได้ แต่ว่าแน่นอน ตั้งแต่ก่อนรัฐประหาร เราต้องไม่หลอกตัวเองว่าบางเรื่องก็เซ็นเซอร์ตัวเองมานานมากแล้ว อันนี้ผมว่าเราต้องยอมรับ เรื่อง ม.112 ทำให้ไม่สามารถพูดถึงสถาบันกษัตริย์ในเชิงวิพากษ์วิจารณ์ หรือพูดอย่างเท่าทันได้

คุณยอมรับว่าเซ็นเซอร์ตัวเองพอสมควรต่อประเด็นนี้ ?

มันหนีไม่พ้นอยู่แล้ว และผมจะท้าด้วยซ้ำว่าแม้กระทั่งอาจารย์สมศักดิ์ เจียมฯ ถ้ายังอยู่เมืองไทย แกก็เขียนไม่ได้อย่างที่เขียนอยู่ทุกวันนี้ ฉะนั้น ทางเลือกของคุณคือ คุณอาจเขียนงานได้ชิ้นเดียวแล้วเข้าคุกไปเลย หลังจากนั้น สถานการณ์มาถึงจุดว่าในที่สุด บางคนก็หนีไปต่างประเทศและเขียนเหมือนคนในสังคมที่มีเสรีภาพอย่างแท้จริง เหมือนในอังกฤษหรือญี่ปุ่นเขียนเกี่ยวกับสถาบันกษัตริย์ของพวกเขา คนเหล่านี้ทำหน้าที่นี้ไปโดยปริยาย ซึ่งตอนเข้าไปในค่ายทหาร ผมก็พูดกับ คสช. ว่าคุณทำไปทำไม คุณบีบให้คนหนีไปต่างประเทศ และสุดท้ายก็กลายเป็นแบบนี้ ซึ่ง คสช. เสียมากกว่าได้ คุณฉลาดหรือโง่ที่ทำแบบนี้ แทนที่จะพยายามพูดคุย

ก่อนรัฐประหาร คนไทยทุกคน แม้กระทั่งอาจารย์สมศักดิ์ก็เซ็นเซอร์ตัวเองอยู่แล้ว ตอนนี้มันไม่ใช่แล้วไง เมื่อเขาหนีออกไป คนอย่างอาจารย์สมศักดิ์ หรือ ดร.สุดา (รังกุพันธุ์) ตอนนี้เขาพูดแบบไหนล่ะ ในเมืองไทยเขาไม่กล้าพูดแบบนี้ในที่สาธารณะ นี่คือสถานการณ์ที่เปลี่ยนไป

ผมคิดเสมอว่าในเมืองไทยต้องมีคนวิพากษ์วิจารณ์ คสช. เท่าที่จะทำได้ในกรอบ ที่น่าจะพอรับได้ อาจไม่แฮปปี้หรอก แต่ไม่ใช่กรอบที่เลวร้ายที่สุด เราทำในสิ่งที่ใกล้ กับสิ่งที่เราคิดว่าดีที่สุด เพราะถ้าจะให้ทุกคนหนีไปอยู่ต่างประเทศ ผมมองไม่ออกนะว่าจะทำให้สถานการณ์ดีกว่านี้ได้อย่างไร

พอเลือกที่จะไม่หนี แล้วคุณประเมินไว้ยังไงบ้าง ก่อนเข้าไปรายงานตัว

เราไม่รู้หรอก ใครจะไปรู้ ผมว่าอย่างน้อยเราคงไม่ถูกฆ่า เพราะถ้าเชื่อว่าถูกฆ่า คงไม่เดินไปให้เขาฆ่า ผมเตรียมเสื้อผ้าไปครบ 7 วัน เพราะ คสช. อ้างว่ามีสิทธิควบคุมตัวเราไว้โดยไม่ต้องมีข้อหาอะไร 7 วัน ผมเตรียมข้าวของไปครบ

ความคิดความรู้สึกตอนนั้นเป็นยังไง

ความคิดเข้มแข็ง แปลกนะ แล้วเข้าไปก็รู้สึกดีพอสมควร เพราะได้เจอคนอื่นๆ ด้วย เป็นความผิดพลาดของ คสช.หรือเปล่า หรือใจดี ใจกว้าง.. ช่วงที่นั่งรออยู่ในหอประชุมกองทัพบกก็เจอหลายคน เช่น ทนายของคุณยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ชื่ออะไรล่ะ จำไม่ได้ เจอคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน

เราพอดูได้ว่า คสช. มาแนวจิตวิทยา เขาทรีตเราดี ให้นั่งรอในหอประชุมกองทัพบก เข้าใจว่าน่าจะเป็นหอประชุมที่สวยที่สุดของกองทัพบก (หัวเราะ) แม้จะนั่งแบบแขกที่ไม่มีทางเลือก บางช่วงมีทหารยศพันเอกมาพูดคุย ก็เรียบร้อยมาก กุมมือ มีครั้งหนึ่ง คุกเข่ามาคุยกับคนข้างๆ ผม เขาอาจรู้จักกันมาก่อน ไม่รู้.. อาหาร น้ำชา หรือแก้วที่ยกมาเสิร์ฟ เขาใช้แก้วที่มีตราของกองทัพบก นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของจิตวิทยา ทำให้เราหลงรักเขา ผมพูดจริงๆ นะว่ายังไงมันก็ดีกว่าโดนปฏิบัติอย่างเลวร้าย

ฝรั่งบางคนบอกว่าผมถูกหลอก เพราะเสื้อแดงรากหญ้าหลายคนโดนหนักๆ ทั้งนั้น ไม่มีใครเจอการต้อนรับที่ดี เขาทรีตแบบนี้เพื่อให้ผมเขียนด้านบวกให้เขาต่างหาก หลังจากออกไป

 จะเป็นอย่างไรก็แล้วแต่ เราต้องซื่อสัตย์กับสิ่งที่เกิดขึ้น กับความจริงที่เกิดขึ้น เขาดูแลเราดี ในฐานะผู้ถูกคุมขัง ไม่มีการปิดตา ใส่รถตู้ไป มีทหารนั่งอยู่ในรถ เขาไม่บอกว่าไปไหน แต่ไม่ปิดตา มีบางคนต่อรองว่าขอพักในกรุงเทพฯ ได้ไหม อ้างว่ามีธุรกิจยิ่งใหญ่ ต้องเซ็นเช็ค แต่ไม่เป็นผล เข้าไปในนั้นแล้วเหมือนเข้า big brother house เวลาผ่านไป แต่ละคนเริ่มออกอาการ มีบางคนร้องไห้

ในรถตู้มีกี่คน

4-5 คน คนสำคัญที่สุด แง่มีชื่อเสียงหน่อย คือคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน

คุณคุยกับใครไหม หรือนั่งเงียบๆ

เงียบ เครียดพอสมควร ก่อนขึ้นรถตู้ก็นั่งรอในหอประชุม 3 ชั่วโมงกว่า ไม่รู้ชะตากรรม แต่ต้องทำใจดีสู้เสือ พอไปถึงค่ายทหารช่างที่ราชบุรี ทหารเอาพวงมาลัยมาให้ ไม่ใช่ให้เรา แต่ให้เราไปไหว้รูปปั้นในค่าย ผู้บังคับบัญชายศพลตรีมาต้อนรับ สภาพห้องหับก็เรียบร้อยดี มีผลไม้อยู่บนโต๊ะ มันโอเคในระดับหนึ่ง แล้ว ผบ. ค่าย ก็เรียกพวกเราว่าพี่ๆ

ที่ผมจำได้ไม่มีวันลืมคือ เขาบอกว่า–ขอให้พี่ๆ นึกซะว่ามาพักผ่อนแล้วกันนะครับ (หัวเราะ) โอเค มันเป็น vacation ที่คุณปฏิเสธไม่ได้

พอรถตู้พาเราไปส่งหน้าบ้าน ผมเจอคุณธนาพล อิ๋วสกุล กับ อ.สุรพศ ทวีศักดิ์ คุณธนาพลถูกจับไปก่อนหน้านั้น ค้างมาคืนหนึ่งแล้ว ที่ผมช็อกหน่อยๆ และไม่ค่อยสบายใจคือการได้เห็นว่าสองคนนั้นใส่เสื้อยืดคอกลมของทหาร ผมไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น กางเกงขาสั้นก็ดูเหมือนเป็นของทหาร

เป็นบ้านพักในค่าย ?

ใช่, เป็นทาวน์เฮาส์เก่าๆ พอลงรถไป ก็หาบ้าน ว่าใครจะอยู่หลังไหน สุดท้ายผมได้นอนกับคุณพิชิต ชื่นบาน ห้องเดียวกัน นอนคนละเตียง

มีนักธุรกิจคนหนึ่งที่ไปกับเรา ผมไม่ขอเอ่ยชื่อ เพราะอยากเล่าบริบทมากกว่า เขามีธุรกิจใหญ่เกี่ยวกับสื่อ แมกกาซีน เขาใช้ทักษะของเขาคือต้องการบริจาคแอร์ ที่ผมแปลกใจมากคือ เพียงสิบนาทีผ่านไป ช่างแอร์ก็มาถึงหน้าทาวน์เฮาส์ (หัวเราะ) มาติดตั้งแอร์บริเวณชั้นล่าง ชั้นบนมีแอร์อยู่แล้ว หลังจากนั้นไม่นาน ก็มีเคเบิลทีวีตามมา เราสามารถดู HBO ได้

ผมนึกย้อนกลับไป นายทหารในค่ายเขาคงนึกว่าวันหนึ่งคนเหล่านี้ก็ต้องกลับมามีอำนาจอีกอยู่ดี จะไปเป็นศัตรูกับมันทำไม ข้างบนอาจสั่งควบคุมตัว แต่เราก็เดินไปไหนมาไหนในค่ายได้ ไม่ได้ถูกขังอยู่แต่ในห้อง ตกบ่ายมีการเล่นฟุตบอล โดยคุณสมศักดิ์ เทพสุทิน ถ้าจำไม่ผิด แกออกเงิน ฝากเงิน ให้ทุกคนเขียนเบอร์ไซส์รองเท้า และในที่สุดก็เอารองเท้านันยางเข้ามาให้เราใส่เล่นบอลกัน ผมยังเกือบทำอดีตรองนายกฯ ประชา พรหมนอก แขนหัก (หัวเราะ)

คนหนึ่งที่เป็นสีสันมากในค่ายทหาร คือคุณสนธิ ลิ้มทองกุล เขาเข้ามาก่อนผม

ได้คุยกันไหม

ผมเป็นคนแรกๆ ที่เข้าไปหา เพราะแกอยู่ในกลุ่มเล็กๆ ไม่ค่อยคุยกับใคร ผมมองว่าเราเป็นมนุษย์ แม้เรามองต่างทางการเมือง เราควรจะเห็นใจซึ่งกันและกัน พอดีผมเอาหนังสือพิมพ์ไฟแนนเชียลไทม์เข้าไปด้วย ก็ถือไปหาแก เรารู้ว่าคงอยู่ยาว เตรียมเผื่อยาวไว้ก่อน ถ้ามันสั้นกว่าที่คิด ก็โอเค หรือยาวเท่าที่คิด เรายังพอไหว ถ้าคิดว่าไปแล้วต้องกลับภายในวันนั้น และไม่ได้กลับ คุณจะแย่มากกับชีวิต ผมเตรียมไปทุกอย่าง พร้อมลุย หนังสือหนังหา ยาสีฟัน แปรงสีฟัน แต่ทางทหารเขาก็เตรียมไว้ให้บ้าง แม้กระทั่งเบียร์เขาก็มีให้ ไฮเนเก้นนะครับ ไม่ใช่เบียร์ห่วยๆ (หัวเราะ)

ที่มากกว่านั้น มีคนหนึ่งเป็นนักการเมือง เขาเรียกลูกน้องเข้ามาในค่าย ฝ่ายลูกน้องก็ คงรู้สึกว่าเจ้านายที่รวยมากและมีอิทธิพลมหาศาลคนนี้ ปกติคงไม่ยอมให้ใครเลี้ยง แต่นี่เป็นโอกาสดีของมันแล้วที่จะได้เลี้ยงนาย ก็บอกเจ้านายว่าขอเป็นเจ้าภาพ ไปหาอาหารอย่างดีจากข้างนอกมาเลี้ยง พวกเราก็กินด้วยกัน รวมถึงไวน์ออสเตรเลียยี่ห้อ Penfold รุ่น Bin 389 ขวดละสี่พัน ยกมาสิบกว่าขวด บางคืนมีคนสลับมาขอเป็นเจ้าภาพ

มีวันหนึ่ง นักธุรกิจใหญ่ที่ผมไม่ขอเอ่ยนาม เขาบอกผมหลังอาหารเช้าว่าเมื่อคืน นั่งคุยกับพันเอกคนหนึ่ง ไปๆ มาๆ แกด่า คสช. เฉยเลย ผมนั่งฟังนิ่ง กลัวว่าจะลองดูใจเราหรือเปล่า

พี่คนนี้ตลกมาก ถ้าเอ่ยชื่อ ใครก็รู้จัก เพราะเป็นผู้กว้างขวาง วันนั้นไม่เพียงแต่เอาแอร์ เอาเคเบิลทีวีมาติดตั้ง เขายังอุตส่าห์ขอไพ่มาด้วย หลายคนคงได้ข่าวใช่มั้ยครับว่า อีกค่ายหนึ่ง สุดท้ายมีการชกต่อยกัน เพราะว่ามีคนเสียไพ่เป็นแสน ไม่ใช่ค่ายผมนะ ค่ายผมกำลังจะเล่น พี่แกล้างไพ่แล้ว วันนั้น ผบ. ก็นั่งอยู่ ทุกคนกำลังดื่มเบียร์ ดื่มไวน์อย่างดี ทีวีเปิดอยู่ กับแกล้มพร้อม นักธุรกิจล้างไพ่ สักพักทาง คสช. ออกประกาศว่าห้ามเล่นการพนัน (หัวเราะ) มันเป็นโมเมนต์ที่ตลกมาก คือผมไม่ได้มองว่ามีสิ่งแต่สิ่งเลวร้าย ในค่าย เชื่อมั้ยผมสามารถเล่าเรื่องตลกได้ 4-5 เรื่อง

พอมีประกาศห้าม แกก็หันมอง ผบ. ช้าๆ หันมองคนอื่นๆ สักพักแกพูดว่า เล่นวันนี้คงไม่ดี วันนี้ไม่เอาดีกว่า (หัวเราะ) แกบอกว่าถ้าเราออกไปจากค่ายนี้เมื่อไร เราควรไปกินเลี้ยง เลี้ยงรุ่นกัน

คุยไว้แบบนี้จริงๆ แต่บังเอิญก่อนหรือหลังออกสักพัก ไม่แน่ใจ ทาง คสช. ออกคำสั่งอีกว่าห้ามทหารที่คุมตัวผู้ที่ถูกเรียกไปสังสันทน์ คือนักธุรกิจคนนี้แกมีตึกอยู่แถวลาดพร้าว มีวงดนตรีสแตนด์บาย อินเฮาส์ หน้าลิฟต์มีสาวสวยยืนอยู่ คอยกด แกเป็นเจ้าของเคเบิลทีวีสำคัญช่องหนึ่ง ลองเดาดูว่าใคร

แกบอกผมว่า–ประวิตร นี่เป็นคืนแรกในชีวิต หลังจากโตแล้ว ที่ผมนอนคนเดียว โดยไม่มีโอกาสกอดสาวสวยๆ

ช่วยเล่าตอนที่คุยกับคุณสนธิอีกหน่อยได้ไหมว่าคุยกันเรื่องอะไร ท่าทีเขาเป็นยังไงบ้าง

คุณจะแปลกใจ หลังจากเราออกมา คุณสนธิเชิญผมไปกินข้าวที่บ้านพระอาทิตย์ ผมไปกินข้าวมันไก่ที่แกอุตส่าห์หามาจากนครปฐม พอดีเลือดครึ่งหนึ่งของผมเป็นไหหลำ แกก็เป็นไหหลำ ดีไม่ดีอาจจะแซ่เดียวกัน

สิ่งที่ผมแปลกใจ ตอนเดินไปหาซึ่งแกนั่งเครียดๆ อยู่ในวันที่สองที่สามหรือไงเนี่ย ผมคุยกับคุณธนาพลว่าน่าจะไปคุยกับเขา ด้วยความเป็นมนุษย์ เราเป็นมนุษย์เหมือนกัน อยู่ในที่เดียวกัน ชะตากรรมเดียวกัน

เขาอยู่บ้านหลังใหญ่ เข้าใจว่าอยู่กับคุณประชา พรหมนอก ก่อนหน้านั้นมีคุณสุวัจน์ ลิปตพัลลภ แต่อยู่ได้สองวัน คุณสุวัจน์ได้ไปก่อนเลย ใครประพฤติตัวดี หรือดูแล้วน่าจะเคลียร์ได้ เขาปล่อยออกไปก่อน เหมือนเกม big brother เพียงแต่ในเกม คนออกก่อนคือคนแพ้ นี่ออกก่อนชนะ แต่ผมมองจริงๆ ว่าคนอยู่นานกว่าอาจเป็นผู้ชนะก็ได้นะ

ตอนจะเข้าไปหาคุณสนธิ ในระยะสัก 5-6 เมตร แกตะโกนหาผมเป็นภาษาอังกฤษ Pravit, I’m proud of you. ซึ่งผมงงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้น คือตอนผมปิดปากก่อนเข้าค่าย คงเป็นข่าวใหญ่พอสมควร ทีวีหลายช่องรายงานข่าว สรยุทธ์เอาไปอ่านออกอากาศ และตอนนั้นคุณสนธิอาจไม่ค่อยแฮปปี้กับทหารเท่าไรแล้ว แม้สื่อเครือผู้จัดการจะเชียร์ทหาร ทุกวันนี้ก็มีทั้งเชียร์บ้างด่าบ้าง นี่คงสืบเนื่องจากข้อสงสัยว่าใครอยู่เบื้องหลัง ใครพยายามสังหารแก

ในสายตาคนอื่น คุณสนธิเหมือนศาสดา แต่ผมเป็นคนมั่นใจในตัวเองสูง เลยไม่รู้สึกอะไร ผมเคยได้ยินแต่คนอื่นด่าแกว่าอีโก้จัด ชอบดูถูกคนอื่น ก่อนหน้านั้นผมไม่เคยคุย แต่จะบอกให้ว่าผมนี่แหละที่เป็นคนตั้งชื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยเป็นภาษาอังกฤษ เพราะรู้จัก สุริยะใส กตะศิลา เราทั้งคู่เป็นศิษย์อาจารย์สุลักษณ์ ศิวรักษ์ เขามาขอ เราก็คิดให้ ว่า People Alliance for Democracy ตัวย่อคือ PAD ความหมายมันดี แปลว่าบันไดที่จะก้าวกระโดดไปสู่อะไรที่มากกว่านั้น

กับคุณสนธิ ก็คุยกันดี คุยสารพัดเรื่อง ผมว่าแกตลกดี ตอนนั้นยังไม่มีใครเป็นนายกฯ ในวงที่นั่งอยู่ด้วยกัน มีทหารยศพันเอกในค่าย มีผม และคนอื่นอีกสามสี่คน ช่วงหนึ่งนายทหารถามพวกเราว่าใครเหมาะที่จะเป็นนายกฯ คุณสนธิบอกว่าผม หมายถึงตัวคุณสนธิเอง (หัวเราะ)

คือเราเจอกันในภาคความเป็นมนุษย์ และวางหมวกทางการเมืองไว้พอสควร

นั่นคือสิ่งที่ผมประสบเกี่ยวกับคุณสนธิ และอย่างที่ว่าหลังจากนั้น แกเชิญผมไปบ้านพระอาทิตย์ คุยกันตัวต่อตัว คุยจิปาถะ ผมมองว่าทุกคนคือมนุษย์ ช่วงเวลาในค่าย ผมพูดเสมอ ผมบอกทหารเท่าที่มีโอกาสว่าผมไม่ได้เกลียดทหาร ไม่เกลียด คสช. แต่เราสู้เพราะเรายึดหลักการประชาธิปไตย เรารับไม่ได้กับการก่อรัฐประหาร ไม่ว่าคุณจะบอกว่านี่คือการแก้ปัญหาก็ตาม

เขาฟังคุณบ้างหรือเปล่า

ไม่แน่ใจ แต่ผมทำหน้าที่ของผม

มีอีกคน คนจากพรรคประชาธิปัตย์ที่ถูกเรียก ถูกขังพร้อมกับพวกเรา คือ ‘คุณอี้’ แทนคุณ จิตต์อิสระ ส.ส.ดอนเมือง ผมไม่เคยเจอตัวมาก่อน รู้จักผ่านทวิตเตอร์เพราะเถียงกันเรื่อง ม.112 แกเป็นคนเปิดกว้างในระดับหนึ่ง แม้ไม่เห็นด้วยกับผม แต่เชื่อว่าต้องปรับ ลดโทษ เคารพสิทธิพื้นฐาน หรือฟ้องร้องให้เป็นเรื่องเป็นราวมากกว่านี้ ไม่ใช่ใครไปแจ้งความยังไงก็ได้ วันหนึ่งขณะที่ผมนั่งดูทีวีอยู่ในค่าย เจอชื่ออี้ถูก คสช. เรียก ผมบอก ผบ. ว่าเอาคนนี้มาที่นี่ได้มั้ย คล้ายๆ ขอตัวน่ะ ซึ่งไม่รู้เพราะผมขอ หรือเขาอยากให้มาที่นี่อยู่แล้ว สุดท้ายวันรุ่งขึ้นอี้ก็โผล่มา และกลายเป็นคู่หูของผมคนหนึ่ง

อี้มีโรงเรียนสอนภาษาจีนกลาง ผมพูดอังกฤษได้โอเค เขาบอกว่าอยากเรียนภาษาอังกฤษกับผม ผมบอกว่างั้นคุณก็สอนจีนกลางให้ผมสิ เรียนหนังสือกัน มีเรื่องตลกคือ วันหนึ่ง ผบ.ค่ายบอกเราว่า เย็นๆ จะมีคนมาเยี่ยม และเย็นนั้นก็มีเฮลิคอปเตอร์มาจากกรุงเทพฯ จริงๆ เป็นนักข่าวจากทีวีช่อง 5 โดยคนที่นำขบวนมาคือ เสธ.ไก่อู

วันนั้นผมนั่งไกล ทางฝั่งหางโต๊ะ ผบ.จัดข้าวปลาอาหารที่ดูไม่อู้ฟู่เกินไป (หัวเราะ) เรารู้ว่าเขามาเพราะอะไร ดูทีวี อ่านหนังสือพิมพ์ ก็พอรู้ มีข่าวลือว่าคนที่ถูกจับเข้าค่ายแล้วถูกซ้อม บางคนอาจจะตายไปแล้วด้วยซ้ำ เขาต้องการมาเก็บภาพเพื่อเอาไปแสดงผ่านช่อง 5 ว่าพวกนี้ยังมีชีวิตอยู่ ผมนั่งอยู่คนสุดท้าย เสธ.ไก่อูเดินไหว้คนมาเรื่อยๆ จนมาถึงผม เขายกมือไหว้ผม บอกสวัสดีครับพี่ประวิตร

เราไม่เคยเจอกัน แสดงว่าทำการบ้านมาพอสมควร (หัวเราะ)

ผมเล่าเรื่อง เสธ.ไก่อู แต่ขอแทรกเรื่องตอนโดนเรียกครั้งที่สอง ซึ่งการปฏิบัติตัวต่อผมแย่มาก สิทธิพื้นฐานไม่มี นักข่าวรุ่นน้องที่เดอะเนชั่นไปสัมภาษณ์ เสธ.ไก่อู แกถามฝากมาถึงผมในทำนองว่าคุณคิดว่าเราทำกับคุณประวิตรหนักไปหรือเปล่า

ผมอยากจะบอกว่า ทุกอย่างที่ คสช. ทำ มีการบวกลบคูณหารไว้แล้ว เขาคิดก่อนว่าผลที่จะได้คืออะไร มีทหารมอนิเตอร์ทวิตเตอร์และเฟซบุ๊กของผม ซึ่งไม่มีปัญหา เขาบอกว่าทหารเรียนรู้ทุกอย่างจากความผิดพลาด จากประสบการณ์ของรัฐประหารกันยาฯ 2549 หมายความว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาตัดสินใจ 3 วัน ก่อนจะทำ เป็นการยอมรับโดยทางอ้อมว่ารัฐประหารครั้งนี้เตรียมตัวมานาน แต่ผมบอกเขาโดยทันทีว่า มีอย่างหนึ่งที่คุณไม่สามารถเตรียมพร้อมได้เลย เพราะไม่มีประสบการณ์มาก่อน เขาทำท่างงๆ

ผมบอกว่าทุกวันนี้พลังโซเซียลมีเดียเติบโตมาก ปริมาณคนที่เข้ามาใช้มีมากกว่าปี 2549 หลายเท่าตัว คุณคุมมันไม่ได้หรอก นี่นำมาสู่การถกเถียงเรื่องซิงเกิลเกตเวย์ ว่าเอายังไงกันต่อ หรือการคุมคนอย่างปวิน ชัชวาลพงศ์พันธ์ คนอย่างสมศักดิ์ เจียมฯ ไม่ได้

เรื่องตลกที่ผมจะเล่าเกี่ยวกับคุณอี้ แทนคุณ เขาบอกผมว่าการเข้ามาในค่ายทหารเพราะถูกเรียกตัวครั้งนี้ บอกแม่ว่าจะไปเข้าวัด ปฏิบัติธรรมอาทิตย์หนึ่ง พอช่อง 5 มาถ่าย ทีวีเขาก็เลือกสัมภาษณ์อี้เพราะเป็นดาราเก่า ผมให้เครดิต ส.ส.ประชาธิปัตย์คนนี้นะว่า แม้ขณะให้สัมภาษณ์หน้ากล้อง เขาก็วิจารณ์ คสช. (หัวเราะ)

อี้น่าจะเป็นคนเดียวในประชาธิปัตย์ที่วิจารณ์ คสช. เขาผิดหวังกับทางพรรคพอสมควร เขาบอกคุณอภิสิทธิ์โทร.มาให้กำลังใจก่อนเข้าค่าย แต่ ส.ส. ผู้ใหญ่บางคนไม่ชอบสิ่งที่เขาทำ บอกวิจารณ์ไปทำไม มีประโยชน์อะไรตอนนี้

ในโลกปัจจุบัน เขาเห็นด้วยกับผมว่ารัฐประหารเป็นสิ่งที่ยอมรับไม่ได้ ไม่ว่าใครทำ ไม่ว่าอ้างอะไร มันขัดหลักประชาธิปไตยพื้นฐาน ก็เลยจัดหนักทางทวิตเตอร์

ให้สัมภาษณ์เสร็จ เราดูทีวีช่อง 5 เขาดูดเสียงของอี้ออกไปหมด ไม่เพียงเท่านั้น แม่ของเขาได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนว่าฉันว่าลูกเธอไม่ได้ไปปฏิบัติธรรมหรอก เพราะเพิ่งเห็นออกทีวี อยู่ในค่ายทหาร (หัวเราะ)

นอนหลับไหม ระหว่างที่ถูกควบคุมตัว

เชื่อมั้ย ผมนอนหลับทุกคืน ตื่นเช้ามา มีอาหารเช้ารออยู่ แค่รู้สึกงงๆ บ้างว่าจะอยู่ไปนานแค่ไหน จะเอากับเรายังไง แต่ผมนอนหลับ ห้องนอนติดแอร์ ห้องน้ำอาจจะเล็กและไม่สะอาด แต่โอเค เรื่องอาหาร เห็นเขาบอกว่าหัวละ 470 กว่าบาท/วัน ถ้าจำไม่ผิด นี่ยังไม่รวมเรื่องลูกน้องนักการเมืองฝั่งเพื่อไทยหลายคนที่เข้ามาจัดเลี้ยง ผมถึงบอกว่า สำหรับทหารแล้ว ถ้าไม่ถึงขั้นแตกหัก เขาก็ต้องคิดว่าอย่าแตกหัก เพราะวันหนึ่งคนเหล่านี้ก็คงกลับมามีอำนาจอีก

โทรศัพท์ใช้ได้ไหม

ทิ้งไปก่อนแล้ว เพราะเรารู้ว่าเอาไปก็ถูกเก็บ อยู่ในค่าย คุณใช้โทรศัพท์ของเขาได้ แต่เขาจะยืนฟัง และคุณต้องเขียนเบอร์ไว้ว่าโทร.หาใคร ผมเลยไม่โทร. คนที่มาเยี่ยมผมคนเดียวคือกรรมการสิทธิฯ เยี่ยมผมพร้อมคุณธนาพล และ อ.สุรพศ เพราะเขารู้จักทั้งสามคน

ทางต้นสังกัด คือหนังสือพิมพ์เดอะเนชั่นทำอะไรบ้าง ตอนคุณถูกกักขัง

ผมมารู้ภายหลังว่าเขาออกแถลงการณ์ ก็คงพยายามเต็มที่ในส่วนของเขา ผมพูดแบบแบ่งรับแบ่งสู้นะ ส่วนหนึ่งเขาอาจมองว่าผมแหลมไปจนเป็นเป้า และเดือดร้อนองค์กรโดยใช่เหตุ.. หรือเปล่า แต่เขาออกแถลงการณ์เรียกร้องให้ปล่อยตัวผม คุณไปค้นดูได้ ที่ผมแปลกใจและขอบคุณคือทางสมาคมนักข่าวฯ ก็ออกแถลงการณ์ ทั้งที่ผมไม่ใช่สมาชิกของสมาคมฯ ถ้าเข้าใจไม่ผิด สมาคมผู้สื่อข่าวต่างประเทศแห่งประเทศไทย และองค์กรอื่นๆ พวกสื่อนานาชาติ คณะกรรมการคุ้มครองสื่อที่อยู่นิวยอร์ก กลุ่มนักข่าวไร้พรมแดนที่ปารีส ก็ออกแถลงการณ์ ผมไม่ได้คาดหวังอะไร ผมสู้ในส่วนของผม แต่ยอมรับว่าใจชื้นขึ้นบ้างหลังวันเข้าค่าย ที่เห็นข่าวตัวเองในทีวี รูปที่ผมเอาเทปปิดปากออกสื่อเยอะ ทั้งในและต่างประเทศ

ล่าสุด กลุ่มผู้สื่อข่าวไร้พรมแดน กรุงปารีส ออกรายงานประจำปีเกี่ยวกับเมืองไทย ก็ใช้รูปผมที่ยืนปิดปากตัวเองหน้ากองทัพบกเป็นภาพปกของรายงาน 44 หน้า

วันที่จะออก เขาบอกล่วงหน้านานไหม

แป๊บเดียว เหมือนเล่นเกม และมีไม่กี่คนที่อยู่ครบ 7 วันเหมือนผม ส่วนใหญ่ 3-4 วัน เขาไปแล้ว มีช่วงหนึ่งผมอยู่คนเดียวด้วยซ้ำ ที่เหลือคือทหารหมด ประมาณ 4-5 ชม. ตอนเหลือสองคนสุดท้าย อีกคนคือคนดูแลสื่อของพรรคเพื่อไทย ชื่ออะไร ผมจำไม่ได้ เขาถูกเรียกมาและกลับออกไปแล้ว ปรากฏว่ารายนี้ พอสองทุ่มกลับมาอีก เขาโกรธมาก เซ็ง เครียด เขาบ่นว่าพรรคเพื่อไทยอาจไม่จ้างเขาแล้ว อยู่ค่ายนานจนถูกมองว่าเป็นสายให้ คสช.แล้วมั้ง ผมอยู่คนเดียว 4-5 ชม. สุดท้ายคืนนั้นทหารไปเอานักธุรกิจปิโตรเลียมมาอีกคน

เวลา 7 วันในค่าย เขาปรับทัศนคติอะไร คุยอะไรกับคุณบ้าง

โชคดีหรือได้รับเกียรติ ไม่รู้ ผมไม่เคยถูกเรียกหรือสอบถามเป็นเรื่องเป็นราว สิ่งที่เกิดขึ้นคือการคุยช่วงอาหารเช้า เที่ยง เย็น พักผ่อน กินชา

นั่งคุยจริงจัง ไม่มี ?

ไม่มี มีแต่แลกเปลี่ยน ถามความเห็นการเมือง วิเคราะห์สถานการณ์ เขาแฟร์กับเราถึงขนาดมีพันเอกคนหนึ่งมาพูดกับผม บอกความจริงกับผม ขณะที่ คสช. ไม่พูดความจริงกับสังคม ตอนที่พยายามปิดเฟซบุ๊ก บล็อกไปเกือบชั่วโมง ตอนนั้นผมอยู่ในค่าย นายทหารคนหนึ่งบอกผมเองว่า คสช. ทำ ผมเลยรู้นายทหารคนนั้นแสดงข้อความทางไลน์จากลูกสาวให้ดู ลูกสาวเรียนอยู่จุฬาฯ เพื่อเป็นการยอมรับว่า แม้กระทั่งลูกสาวทหารระดับนี้ก็ไม่เห็นด้วย ลูกสาวบ่นกับพ่อ บอกว่าพวกพ่อปิดเฟซบุ๊กทำไม หนูจะโหลดแฮร์รี่ พอตเตอร์ ทางเฟซบุ๊ก มันทำไม่ได้แล้ว

ผมว่าเขาเริ่มรู้ว่ามันผิด ไปกับยุคสมัยปัจจุบันไม่ไหว สุดท้ายไม่ถึงชั่วโมง เขาก็ยูเทิร์น คนในค่ายบอกผมตอนนั้นเลย ข้างนอกค่าย ภายหลัง บริษัทอะไรล่ะของฟินแลนด์ บริษัทที่ถูก คสช. ขอความร่วมมือ ออกมาให้สัมภาษณ์ว่านี่คือสิ่งที่ คสช. ขอให้เขาทำ

สุดท้ายมันไม่ไหว ไทยไม่ใหญ่เหมือนจีน เราต้องพึ่งการค้าขาย ใช้การสื่อสารแบบเปิด ถ้าคุณปิด มันกระทบแน่ ประเทศที่ต้องพึ่งลงทุนต่างชาติ พึ่งการส่งออก จะปิดตัวเอง ไม่เอาเฟซบุ๊ก ไม่เอาทวิตเตอร์ มันไม่ได้ สุดท้ายเขาต้องยอมเปิดเฟซบุ๊กเหมือนเดิม

ที่เห็นชัดอีกเรื่อง ที่คุณประยุทธ์บอกว่าจะปิดประเทศ สังเกตมั้ยว่าโดนด่าเละ ชัดเจนว่าไปไม่รอด การที่คิดว่าจะปิดประเทศแบบเกาหลีเหนือ ไปไม่รอดหรอก

แล้วตอนที่บอกว่าจะให้ออกจากค่าย คุณต้องเซ็นอะไรบ้าง

ข้อตกลงหลักๆ ที่เขาให้เซ็นยอมรับคือ หนึ่ง, ห้ามเข้าร่วม หรือสนับสนุน หรือนำขบวนการต่อต้านคณะรัฐประหาร สอง, ถ้าจะออกนอกประเทศ ต้องขออนุญาต และได้รับอนุมัติจาก คสช. ส่วนจะได้ไปหรือไม่ได้ไปขึ้นอยู่กับเขา สาม, ถ้าละเมิดข้อตกลงนี้ แปลว่าเรายินดีให้เขาระงับธุรกรรมทางการเงิน คือฟรีซเงินในแบงก์ และดำเนินคดีตามคำสั่ง คสช. ถ้าจำไม่ผิด มีโทษสูงสุดคือจำคุกสองปีมั้ง

ผมคิดอยู่นานว่าจะเซ็นไหม พูดกันตรงๆ เลย เหตุผลหนึ่งผมต้องออกมา เพราะผมกังวลเรื่องพ่อแม่ที่สูงอายุ ต้องอะลุ้มอะล่วย

ทำให้ต้องยอมเซ็น ?

ถูกต้อง และนั่นไม่ได้รวมถึงการห้ามวิพากษ์วิจารณ์ คสช. ซึ่งผมทำมาโดยตลอด และในที่สุด นำมาสู่การขังเดี่ยวในห้องเล็กๆ ที่มองไม่เห็นเดือนเห็นตะวัน นอกจากพ่อแม่ เหตุผลหนึ่งคืองานผมคืองานเขียน ผมต้องออกมาทำงานที่เดอะเนชั่น ถ้าตัวเบาขนาดที่ไม่มีความสัมพันธ์ หรือไม่ต้องไปดูแลจิตใจคนอื่น ถ้าเราตัวคนเดียวจริงๆ ผมคงไม่เซ็น นี่พ่ออายุเยอะแล้ว แค่ผมวิจารณ์ไม่หยุด มันก็เกินกว่าสิ่งที่เขาอยากเห็น การยอมเซ็นคือการพบกันครึ่งทาง ผมไม่ใช่คนหัวรุนแรง อะไรที่ประนีประนอมได้ ถ้าไม่เหลือบ่ากว่าแรง แม้กับเผด็จการทหาร ผมก็ถ้อยทีถ้อยอาศัย

เรื่องไปเมืองนอก ที่ผ่านมาคุณได้ไปบ้างไหม

ผมขอทั้งวิจารณ์และให้เครดิต คสช. ตอนนี้สิทธิขั้นพื้นฐานของผมหายไปหมดแล้ว ถ้าไปเที่ยวชายแดนเขมร เผลอข้ามไปฝั่งโน้น ผมกลายเป็นคนผิดกฎหมาย กฎหมายของ คสช.

แล้วจริงๆ เคยมีเรื่องต้องไปไหม

ตั้งแต่ออกมาจากค่ายทั้งสองครั้ง ผมขอไป 4-5 รอบ เขาให้หมด ผมเดินทางไปต่างประเทศได้ ผมคิดว่าเขาก็ดูว่าถ้าคุมอยู่ เอาอยู่ คสช. พยายามผ่อนเท่าที่จะผ่อนได้ ส่วนผมก็ทำหน้าที่ของผม ผมไปพูดที่เกาหลีใต้สองงาน ไปนอร์เวย์อีกงานหนึ่ง Oslo Freedom Forum ที่มีวิดีโอแปลเป็นไทยออกมาตอนหลัง ซึ่งผมก็จัดเต็ม ตอนขากลับมาเมืองไทยก็นึกๆ อยู่ว่าจะถูกจับขังที่สนามบินมั้ย ..วัดใจกัน

หัวข้อที่ไปพูด คุณบอก คสช. ไหม

บอกสิ และเขาปล่อยให้ไป แน่นอนว่าจู้จี้พอสมควร ทุกครั้งที่ขอ ต้องบอกว่าไปที่ไหนบ้าง จองไฟล์ทอะไร เมื่อไร บอกที่พัก เขาพยายามให้ผมเปิดโรมมิ่ง ซึ่งผมไม่ทำ นี่ไง อะไรที่ผมว่าเกินไป ผมไม่ทำ ผมบอกเขาว่าคุณมีเบอร์โรงแรม ถ้าคุณอยากโทร.หาผม ก็โทร.ได้ ผมไม่เข้าใจว่าคุณจะอยากคุยกับผมทำบ้าอะไร อยู่เมืองไทย ก็โทร.มาได้ตลอด จะมาคิดถึงอะไร ตอนผมไปเมืองนอกไม่กี่วัน

ทุกอย่างผมมองว่า ไม่มีอำนาจใดเบ็ดเสร็จเด็ดขาดหรอก ไม่ว่าใคร ไม่ว่าอำนาจอะไร และหน้าที่ผมคือพยายามยืนอยู่ในบทบาทสื่อ ยืนยันเรื่องเสรีภาพ ทั้งเสรีภาพสื่อ และเสรีภาพพลเมืองขั้นพื้นฐานที่สุด เท่าที่จะทำได้ ส่วนหนึ่งเราทำโดยผ่านการต่อรอง ยืนกรานทำในสิ่งที่เราถือว่าถูกต้อง และเป็นเหตุเป็นผล

เวลาถึงสนามบิน ตม. ตรวจ แดงขึ้นมา คนมองว่าเราเป็นอาชญากร คนคิดว่าไอ้ห่านี่ไปทำอะไรมา เขาแยกตัวเราไป ที่ผมโกรธมากและต้องขอวิจารณ์คือ เขาไม่ยอมออกเอกสารอะไรที่เป็นลายลักษณ์อักษรเลย ใบอนุมัติไม่มี ตำรวจตรวจคนเข้าเมืองถามผมว่าทำไมไม่มีใบอนุญาต จะให้ผมบอกยังไง ก็เขาไม่ออกให้ ทุกวันนี้ผมคาดคะเนว่าที่เขาไม่ทำ เพราะ เขากลัวว่าผมอาจจะใช้เป็นหลักฐานไปฟ้องร้องในอนาคต หลัง คสช.ไม่มีอำนาจ กลัวถูกเอาไปประจาน

ผมอยากแสดงให้คุณเห็นว่ายังไง (หยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา) นี่คือทหารคนเดียวที่ผมเก็บนามบัตรเขาไว้ในกระเป๋า เพราะจะไปต่างประเทศเมื่อไร ต้องไปยื่นเรื่องกับแก ให้คุณดู เพื่ออธิบายว่าชีวิตมันเป็นแบบนี้ เราเป็นคน cosmo ก็ถูกเชิญไปนู่นนี่บ้าง สำหรับผม การไปเมืองนอกและต้องขออนุญาต คสช. เป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก ระหว่างผมนั่งรอ ตม.ตรวจคอมพิวเตอร์และนั่งลุ้น ผมนึกเสมอว่าถ้าเขาจะแกล้ง พอตรวจเสร็จ ก็บอกผมว่าไม่อนุญาต เพราะตอนบอกอนุญาต เขาบอกทางโทรศัพท์ ไม่มีหลักฐานอะไร พอทหารคนนี้โทร.มา ผมไปได้ แล้วเกิดแกพูดไม่จริง กลายเป็นว่าผมพยายามหนีออกไปแบบผิดกฎหมาย แล้วผมจะไม่โดนเหรอ

คุณรู้ไหม ผมสรุปว่าปัจจัยหนึ่ง เขาพยายามทำให้เราไว้วางใจเขา เอาอนาคต ชะตากรรม ไปฝากไว้กับเขา เพราะถ้าคุณเชื่อว่าเขาไม่ซื่อ คุณก็จะไม่เสี่ยง ก็มันไม่มีหลักฐานอะไรเลย นอกจากคำพูดทางโทรศัพท์ว่าได้แล้ว ผ่านแล้ว แต่เข้าแถวทีไร ขึ้นตัวแดง คนมันมองผมเลิ่กลั่ก ขากลับ เขาเอาพาสปอร์ตผมไปซีรอกซ์ทุกหน้า เพื่อดูว่าผมแอบไปพบใคร พบคุณทักษิณหรือเปล่า ผมเดาว่าแบบนั้นนะ เพราะบอกไปอังกฤษ อาจแวะที่อื่น ทางเทคนิคทำได้ใช่ไหม ที่ คสช. ทำกับผมเป็นระบบที่สอนให้คุณฝากผีฝากไข้ไว้กับเขา  

โดยสรุป ออกมาจากการกักขังแล้วคุณวิพากษ์วิจารณ์ตามปกติ หรืออ่อนลง ยอมมากขึ้น เพราะเข้าใจเขา

เป็นความจริงว่า ทางสื่อต้นสังกัดขอให้ผมระมัดระวังตัวมากขึ้น โดยเฉพาะการแสดงออกทางโซเชียลมีเดีย แต่ถ้าคุณมอนิเตอร์ คุณจะรู้ว่าผมเปลี่ยนไปหรือเปล่า ผมอยากให้คนอื่นตอบดีกว่า ว่าผมรอมชอมกับ คสช. แค่ไหน เอาเป็นว่า ถ้าความกล้าหาญในการวิจารณ์ คสช. ถูกใจได้คะแนนสิบ ผมว่าผมก็ยังอยู่ในระดับ 8.5 ถึง 9 ที่เหลืออีกส่วนหนึ่งเป็นเส้นที่เราลดเพื่อรักษาสัมพันธ์กับองค์กร

จับรอบแรกผ่านไป 14-15 เดือน มาเจอเรียกตัวรอบสองอีก คุณว่ามันเกิดอะไรขึ้น

ใครจะไปนึกว่า คสช. อยู่ในอำนาจมาปีกว่า ยังรู้สึกหวาดระแวงหรือไม่มั่นคงในอำนาจ ผมก็ไม่นึก แต่ผมเห็นสัญญาณแล้ว ยิ่งพอรู้ว่าคุณเก่ง การุณ กับอดีตรัฐมนตรีอีกคนของพรรคพเพื่อไทย ถูกเรียกตัวอีก ผมถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น เรียกแล้วหายไปในค่ายเลย โดยเฉพาะเก่ง การุณ ภรรยายังไม่รู้ด้วยซ้ำ กว่าจะรู้คือผ่านไปเป็นวันแล้ว หาสามีไม่เจอ มันนำสู่การตั้งคำถามว่าทำไม ทหารรู้สึกไม่มั่นคงในอำนาจหรือ ประเทศกำลังเข้าสู่จังหวะเปลี่ยนผ่านแบบที่เขารู้สึกว่าคอนโทรลไม่อยู่หรือ เขาถึงต้องเรียกใหม่ จนกระทั่งได้เข้าไปเองผมถึงรู้ อย่างน้อยก็สิ่งที่เขาอ้าง มันมีข้อความในทวิตเตอร์และในไลน์ ซึ่งในไลน์ ผมบอกแล้วว่าไม่ใช่ของผม ผมแทบไม่ใช้ไลน์เลย

ไม่ใช่ของคุณ แล้วเขาว่าเป็นของคุณได้ยังไง

มันไม่ได้โชว์ว่าเป็นของผม แต่เขาสรุปเอาเองว่าน่าจะเป็นของผม ผมบอกว่าไปดูได้เลย เพียงแต่ว่าตอนเข้าค่ายรองสอง มือถือผมฝากไว้ที่เจ้าหน้าที่ยูเอ็น โอเค อีกข้อความหนึ่งเป็นของผมจริง ผมเซ็นรับทันที เรากล้าทำ เราก็กล้ารับ ทวิตเตอร์ชื่อเราชัดเจนอยู่แล้ว

สาเหตุที่ถูกเรียก ผมเดาว่าเป็นทวิตเตอร์ที่ตั้งคำถามเรื่องยศของพลเอกประยุทธ์ว่ายังอยู่หรือเปล่า สำหรับผม คุณประยุทธ์ไม่ได้เป็นพลเอกตั้งแต่วันยึดอำนาจ ฉีกรัฐธรรนนูญ ทำรัฐประหาร ทวิตเตอร์นั้นมันเป็นสองภาษา คสช. เป็นเดือดเป็นร้อนมาก เขาบอกผมว่ายังเป็นพลเอก เหนืออื่นใด เฉพาะในหลวงเท่านั้นที่พระราชทานตำแหน่งนี้ แต่งตั้ง และใช้กระบี่แตะบ่าด้วยซ้ำ ผมบอกว่าเป็นหน้าที่ของทหารนะที่จะปกป้องรัฐธรรมนูญ พิทักษ์รัฐธรรมนูญ ไม่ใช่ฉีก ถ้าคุณฉีก ไม่ว่าจะชื่ออะไร ตำแหน่งอะไร..

ก็เป็นกบฎ ?

ก็นั่นไง เขาถึงไม่แฮปปี้ เรื่องไลน์ เขาตั้งข้อสงสัยว่าเป็นผม เขาต้องการโทรศัพท์ของผม ซึ่งผมยินดี แต่ตอนนี้มันอยู่กับเจ้าหน้าที่สหประชาชาติแล้ว เขาโกรธมาก ทหารระดับพันเอก 6 คน นั่งล้อมผมที่กองบัญชาการกองทัพภาคที่หนึ่ง เขาถามผมว่าทำไมเอาไปฝากเจ้าหน้าที่ยูเอ็น ผมมองหน้าเขาและบอกว่า ก็เพราะว่าเจ้าหน้าที่ยูเอ็นไม่ได้อยู่ภายใต้อำนาจมาตรา 44 ของ คสช. เขายิ่งโกรธ นึกออกไหม ผมจะไปฝากคนไทยทั่วไปที่อยู่ภายใต้อำนาจ ม.44 ได้ไหม ผมจะทำแบบนั้นทำไม ก็ต้องฝากคนอื่นสิ แต่บอกเลยว่าถ้าคุณอยากเห็นโทรศัพท์ คุณอยากดูว่าผมทำอย่างนั้นจริงหรือไม่ ผมยินดี ก็ให้ผมติดต่อเจ้าหน้าที่สหประชาชาติสิ จะให้ผมไปเจอเขา หรือให้เขามาในค่าย ได้ทั้งนั้น

บอกแบบนี้ไป ทหารเขาก็คิดหนัก สุดท้ายเขาคิดว่าการลากเอาสหประชาชาติเข้ามาเกี่ยว ยิ่งทำให้เรื่องบานปลาย โดยเฉพาะอีก 10 วันหลังจากนั้น เจ้านายใหญ่คือคุณประยุทธ์ก็จะเดินทางไปสหประชาชาติ เขาโกรธ อยากไปค้นห้องผม บ้านผม ผมบอกได้เลย แต่ผมต้องการเจ้าหน้าที่สหประชาชาติ ทนายสิทธิฯ และตำรวจ เขาฟังแล้วทำหน้างงๆ คงนึกในใจว่าเขามีอำนาจล้นฟ้า ทำอะไรก็ได้ ไอ้นี่เป็นใครมาอวดดี

เขาพูดว่าเรามี ม.44 นะ ผมมองหน้าและบอกว่าผมเข้าใจ แต่ผมให้ความร่วมมือไม่ได้ นอกจากจะทำให้เป็นขั้นตอนทางกฎหมายที่ถูกต้อง อาจเป็นเพราะแบบนี้มั้ง สุดท้ายผมถูกสอบปากคำนาน 6 ชม. ซึ่งทุกอย่างที่เขาถาม ผมตอบได้หมด และเขายิ่งโกรธ เลยเอาผมไปขังในห้องเล็กๆ โดยไม่เจอใคร 20 ชม. ขังโดยไม่รู้ชะตากรรม

ตอนที่แจ้งมาว่าขอเรียกครั้งที่สอง มายังไง

จะเรียกว่าผมโชคดีก็ได้ เขาไปหาภรรยาเก่าผมก่อน ภรรยาเก่าซึ่งเป็นชาวญี่ปุ่น ผมรู้ เพราะเธอโทร.มาบอกว่ามีทหารมาหาที่บ้าน วันนั้นเป็นวันเสาร์ ทหารไปตามหาผมที่ออฟฟิศ วันนั้นคือวันที่ 12 กันยาฯ ผมรู้ทางทวิตเตอร์ พวกเนชั่นที่เกลียดชังผมทวิตฯ ว่ามีทหารมาหา ผมเลยรู้ ว่าต้องเตรียมตัวแล้ว

รุ่งเช้า ผมไปทำข่าวที่ธรรมศาสตร์ รุ่นน้องที่อยู่วอยซ์ทีวีจมูกไว มาสัมภาษณ์ผม อัดวิดีโอไว้ พอรู้ข่าวชัวร์ว่าโดนเรียกตัวแน่ๆ ผมทวิตฯ ว่าผมไม่หนีไปไหน ยังอยู่เมืองไทย ถ้าต้องการตัวผมก็ไม่ต้องไปหาที่ไหน ไม่ต้องไปที่บ้าน เพราะ คสช. มีเบอร์ผมอยู่แล้ว ผมไม่เข้าใจว่าทำไมต้องทำแบบนั้

ไม่มีใครโดนเรียกเข้าค่ายนานมาแล้ว นานไม่รู้กี่เดือนหลังรัฐประหาร ผมว่ามันประหลาด แสดงว่าต้องมีอะไรสักอย่าง ผมเตรียมทำใจ

คุณวิเคราะห์ว่ายังไง ทำไมเขาถึงเรียกอีก

คงรู้สึกว่าไม่มั่นคง อาจอยู่ช่วงเปลี่ยนผ่าน หรือมีอะไรฉุกเฉินหรือเปล่า ผมอยู่กับภาษาอังกฤษ อยู่กับสื่อนานาชาติมาก เขาอาจกังวลว่าถ้ามีอะไรแล้วผมพูด ข่าวมันไปเร็ว ไปไกล

จากการกระทำจุดไหน เขาถึงจิ้มมาที่คุณ

ทวิตเตอร์ของผมมั้ง ที่เขารับไม่ได้ และผมไม่ขอโทษ ผมว่าผมพูดถูกต้องในเรื่องตำแหน่งคุณประยุทธ์ ตำแหน่งที่จบไปหลังทำรัฐประหาร

วันรุ่งขึ้น ตอนเก้าโมงครึ่ง มีคนโทร.มาบอกว่าทาง คสช. เชิญไปพบที่กองทัพภาคที่หนึ่ง ผมถามเขาว่าหนนี้อยู่ยาวไหม ไปเช้าเย็นกลับหรือเปล่า คือเราไม่ใช่เด็กใหม่ จะได้เตรียมข้าวของถูก เขาบอกว่าไม่รู้ อยากให้โทร.ไปหาพลเอกคนนี้ ผมขอแจงก่อนนะว่า ก่อนถูกจับขังรอบสอง ผมเคยเจอทหารชั้นผู้ใหญ่ของ คสช. สองรอบ แต่ไม่ได้พบกันในค่าย เป็นการคุยธรรมดา ซึ่งเขามาขอร้องผมให้ระมัดระวังการแสดงความเห็นเรื่องมาตรา 112 หรือสถาบัน ผมก็รับปากในระดับหนึ่ง อย่างที่บอก อะไรที่ทำได้ผมยินดี ครั้งแรกเขานัดเจอที่สตาร์บักส์ ตอนนั้นตำแหน่งยังเป็นพลโท ตอนนี้เป็นพลเอกแล้ว เป็นเบอร์สอง เบอร์สามของกองทัพภาคที่หนึ่ง บอกชื่อก็ได้ ชื่อพลเอกอัศวิน แจ่มสุวรรณ

การเจอกันทั้งสองรอบไม่ได้เจอกันในค่าย ผมให้เครดิตพลเอกอัศวิน ว่าเขาพยายามทำให้ผมสบายใจ จริงๆ ก่อนไปฝรั่งเศส เขาขู่ว่าจะไม่ให้ผมไป ถ้าผมไม่ไปเจอเขาก่อน ครั้งสอง เจอที่ห้องอาหารมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต ในรอบสอง ก่อนเข้าค่ายผมโทร.ไปถามว่าต้องเตรียมอะไรแค่ไหน เขาบอกไม่รู้ ผมเลยเตรียมไปครึ่งหนึ่ง กะว่า 3-4 วัน เขาขอให้ผมไปถึงกองทัพภาคที่หนึ่งตอนสิบเอ็ดโมง ผมบอกว่าไปไม่ทัน เพราะนี่มันเก้าโมงครึ่งแล้ว และผมต้องเคลียร์งาน ต่อรอง ขอเป็นบ่ายสอง เพราะมีงานต้องทำจริงๆ

ก่อนเข้าไป ผมติดต่อสหประชาชาติ ทนายสิทธิฯ แจ้งเพื่อนนักข่าวและตัว บก.เดอะเนชั่น ผมไม่อยากให้มันเป็นเรื่อง แค่บอกไว้ว่าถ้าวันรุ่งขึ้นผมไม่กลับมา คุณจะเล่นข่าว หรือจะทำอะไร ก็ทำไปเลย

ไปถึงบ่ายสองโมงเศษๆ เขาไม่ยอมให้ทนายสิทธิฯ และเจ้าหน้าที่ยูเอ็นเข้าไปด้วย ไปถึง เขาวัดความดันให้ผม และพบว่าความดันขึ้นสูงพอสมควร เขาตกใจเล็กน้อย ครั้งก่อนก็วัดความดัน แต่วัดในค่ายทหาร พาพยาบาลสวยๆ มา เขายังพูดเองว่าคัดมาแล้ว เพื่อให้คุณสบายใจ นี่เป็นสแตนดาร์ดระดับหนึ่งของเขา

ความดันผมสูง หมอที่เป็นทหารตกใจ หมอแนะนำว่าผมควรไปตรวจอย่างจริงจังหลังออกมาจากค่าย ก็ดี นี่คือด้านบวก ทำให้ได้รู้ เพราะวัดความดันคราวที่แล้วก็ตอนเข้าค่าย ตอนนั้นยังปกติอยู่เลย แปลว่าหลัง คสช. มีอำนาจ ผมคงเครียดขึ้น กินอยู่ไม่ระวังนัก กินเผื่อ อยากกินของดีๆ เผื่อไปติดอยู่ยาว หรือชีวิตนี้อาจไม่ได้กินอีก สุขภาพเลยแย่ลง

ตรวจความดันเสร็จก็ลุยเลย ทหาร 6 คน พูดเรื่องไลน์ที่อ้างว่าเป็นของผม และผมปฏิเสธ เป็นการเริ่มต้นที่ไม่สวย พันเอกคนหนึ่ง แต่งชุดเต็มยศ แนะนำตัว ผมก็สไตล์นักข่าว พยายามจดชื่อ ลูกน้องเขานั่งอยู่อีกหัวโต๊ะ บอกผมว่าห้ามเขียน พูดเสียงกระด้างกระเดื่อง ผมแปลกใจ ก็คุณแนะนำตัว ผมก็จดไว้ ผมเลยฉีกกระดาษที่จดส่งคืนไปให้ พอถึงมือ เขาขยำทิ้งต่อหน้าผม มันเสียมารยาท พูดตรงๆ ผมใช้คำนี้ ครั้งแรกที่เรียกตัวผมเข้าไป เขาไม่เคยเสียมารยาท ทุกคนต้อนรับอย่างดี ด้วยมิตรภาพอย่างที่เราไม่มีสิทธิเลือก แต่ก็เป็นมิตร แต่ครั้งนี้ไม่ใช่ ผมรู้แล้วว่าทุกอย่างไม่เหมือนรอบแรกแน่นอน

วันออกมา ผมบอกสื่อต่างชาติว่า party is over !

ถ้าการเข้าค่ายครั้งแรกเป็นปาร์ตี้ ครั้งนี้มันจบแล้ว เขาสอบสวนผมเต็มที่ พ่อแม่เป็นใคร บ้านพักอยู่ที่ไหน

คุณบอกเขาไหม

ผมก็ใส่ที่อยู่อีกที่หนึ่ง ทุกวันนี้ไม่จำเป็นต้องอยู่ที่เดียวแล้วมั้ง แล้วผมจะอยู่ที่เดียว เพื่อรอให้ทหารมาหิ้วไปทำไม ถามจริงๆ เถอะ ที่น่าสนใจคือใน 6 ชม. ของการพูดคุย ผมบอกแต่ต้นว่าผมไม่ขอโทษใคร เพราะไม่ได้ทำอะไรผิด ผมบอกทุกอย่างที่คุณถาม สามารถตอบอย่างเป็นเหตุเป็นผลได้ครบถ้วน เขาอยากรู้หลายเรื่อง เช่น ทำไมไม่เห็นด้วยกับ ม.112 ทำไมไม่เห็นด้วยกับรัฐประหาร เป็นพวกเสื้อแดงใช่ไหม ถ้าไม่ใช่แล้วเป็นพวกไหน คือเขาคงอยากเอาชื่อผมไปใส่ไว้ในแผนที่ของเขา ผังอะไรก็ตาม ต้องการสรุปให้ได้ว่าผมเป็นพวกไหน สุดท้ายเขางง เพราะพบว่าผมไม่ใช่พวกไหน

อย่างคณะนิติราษฎร์ ผมก็วิจารณ์เยอะ ว่าจะด้วยเจตนาหรือไม่ นักกฎหมายกลุ่มนี้ก็ได้สร้างสภาวะแฟนคลับ หรือภาวะที่เชิดชูตัวบุคคลมาก ซึ่งผมไม่คิดว่าเป็นประโยชน์ต่อวัฒนธรรมประชาธิปไตย

เขาถามผมเรื่องคุณทักษิณ ผมบอกว่า คุณก็ไปกูเกิ้ลดูชื่อผม ทั้งภาษาไทย ภาษาอังกฤษ ชื่อผม ทักษิณ ยิ่งลักษณ์ ดูว่าผมเขียนยังไง เขาไม่เข้าใจ เหมือนเขามองว่าสังคมเรามีแค่สองฝั่ง ซึ่งมันตลกมาก ผมบอกว่าโทษนะ น่าสนใจนะ ถ้าคุณจะไปอ่านทฤษฎีความสลับซับซ้อนเสียบ้าง โลกมันมีหลายปัจจัย คนมีหลายกลุ่มในสังคม ไม่ได้มีแค่สองกลุ่ม แล้วบางครั้งคุณอยากทำอะไร พอทำไป ผลออกมาเป็นตรงกันข้ามด้วยซ้ำ เพราะปัจจัยไม่ได้มีแค่สอง   

ผมยกตัวอย่าง จส.100 ประกาศว่าตอนนี้รถติดหนักที่แยกลำสาลี หรือที่ไหนก็ตาม อีกสิบนาทีรถจะติดน้อยลง และไปติดที่อื่นแทน เพราะคนฟังหนีไปทางอื่น กลายเป็นว่าแยกลำสาลีไม่ติดมาก นี่คือความสลับซับซ้อน

ผมเตือนเขาว่าอย่าถีบคนไปอยู่อีกฝั่งหนึ่ง อย่าถีบคนเห็นต่างตกเหว หลายคนที่หนีไปหลังรัฐประหาร เป็นไงล่ะ ตอนนี้เขาไปจัดหนักแบบไม่เกรงใจใคร ถ้าอยู่เมืองไทย ผมเชื่อว่าคนพวกนี้ยังเซ็นเซอร์ตัวเองในระดับหนึ่ง แต่เพราะพวกคุณไม่ใช่เหรอ ที่ทำให้เขารู้สึกไม่ปลอดภัย ต้องหนีไปอยู่ต่างประเทศ แล้วเป็นไง เขาเกรงใจอะไรไหม เห็นหน้าพระอินทร์พระพรหม เขากลัวไหม เขาไม่กลัวแล้ว นี่คือสิ่งที่เกิดขึ้น

ผมพูดเรื่องความซับซ้อนของโลกโซเชียลมีเดีย ที่ คสช. คุมไม่ได้ สุดท้ายเขายอมรับกับผม พันเอกนายหนึ่งบอกว่าเรามองคุณเป็นผู้นำทางความคิดคนหนึ่ง โดยเฉพาะบทบาทในโซเชียลมีเดีย แถมคุณแสดงออกเป็นสองภาษา ผมขำๆ นึกในใจว่าพวกคุณวิตกจริตเกินไปไหม ผมไม่ได้พูดขนาดนั้นนะ แต่หมายความแบบนี้ ผมยังพูดเชิงหยอกล้อว่าทำไมไม่เอาคนอย่าง ใบตองแห้ง’ มาบ้าง (หัวเราะ) และหนหนึ่ง ผมไปงานศพ เจอคุณใบตองแห้ง ผมบอกเขาเรื่องนี้ เขายังขำๆ แต่ฝืดหน่อย (หัวเราะ)

พันตรีคนหนึ่งเข้ามาช่วงท้ายๆ ก่อนจับผมปิดตายัดใส่รถตู้ เขาพูดว่าเมื่อไม่นานมานี้ ได้ไปลงเรือ ดินเนอร์ล่องเจ้าพระยา ในเรือมีนักธุรกิจจีนไทย คนพวกนั้นบอกว่าเป็นบุญล้นเหลือ ที่บรรพบุรุษเขาไม่ไปเขมร ไม่ไปประเทศอื่นๆ แต่เลือกมาเมืองไทย ถ้าไปเขมรอาจถูกฆ่าแล้วมั้ง

นึกออกไหมว่าเป็นการทวงบุญคุณ คงมาพูดในฐานะส่วนหนึ่งผมมีเลือดจีน แต่เขาคงไม่รู้ ว่าส่วนหนึ่งผมมีเลือดอำมาตย์ ฝั่งแม่ผม นามสกุลพระราชทานจากรัชกาลที่ 6 เขาพูดด้านเดียวไง พูดว่าทหารมีบทบาท ปกป้อง คุ้มครองประเทศมาตลอด ใช่, แต่อีกด้าน ทหารกดขี่ประชาชนมาตั้งกี่ยุค ทำไมคุณไม่เห็นพูดบ้าง มันเป็นความทรงจำคัดสรร เลือกที่จะจำด้านเดียว เขาไม่แฮปปี้ เพราะผมไม่อิมเพรสสิ่งที่เขาเล่า ตอนหลังพลตรีคนนี้เดินมาอยู่ข้างหลังผม พูดเสียงแดกดันว่า ‘ไอ้นักข่าว’ ..ก็จบไม่สวย หลังจากนั้นจับผมปิดตา ขึ้นรถตู้

พาไปไหน คุณรู้มั้ย

ไม่รู้ แต่พอเดาได้ว่าน่าจะเป็นต่างจังหวัด จากค่ายทหารออกไปแล้วรถไม่ติด คงไปทาง.. ไม่ราชบุรี ก็กาญจนบุรี ดุสิตอยู่ทางทิศตะวันตกของกรุงเทพฯ เขาคงไม่วิ่งสวนไปทางทิศอื่น

ก่อนขึ้นรถ มีชายสี่คน ใส่ชุดซาฟารีแขนสั้นสีดำ ทั้งสี่คนใส่หน้ากากปิดจมูกปิดปากเหมือนหมอผ่าตัด รถตู้ไม่ใช่รถตู้ทหาร เป็นรถเก่าๆ ไม่มีป้ายบอกว่าเป็นรถราชการ แง่นี้มันดูน่ากลัว ว่ามันจะเอาเราไปทำปุ๋ยหรือเปล่า กระจกปิดมืด ชายสี่คนคือคนคุมผม ปิดตาผม ปิดสองถึงสามชั้น ชั้นนอกสุดเป็นผ้าขาวผ้า รถออกแล้วผมไม่เห็นอะไรเลย

ก่อนปิดตา เขาขอโทษคุณไหม

เชอะ (น้ำเสียงเย้ยหยัน) ไม่มีอะไรทั้งนั้น ผมทำใจดีสู้เสือ ไม่สติแตก นิ่ง ผมรู้ว่าคนเหล่านั้นถูกสั่งมาไม่ให้คุย ตอนนั้นเราไม่ได้ถูกทรีตเหมือนมนุษย์หรือเหมือนพลเมือง เราเหมือนเชลยศึก ผมนั่งเงียบ เพราะรู้ว่าพูดไปก็ไม่มีประโยชน์ หน้าตาทุกคนเหมือนมือปืน แต่คาดว่าเป็นทหารชั้นผู้น้อย เรารู้ว่าการคุยดีๆ มันจบแล้ว 6 ชม. ที่ว่าแย่ก่อนหน้านั้นก็ยังไม่แย่เท่านาทีที่อยู่ในรถตู้ นั่นคือบทสรุป ในเมื่อ 6 ชม. ผมยังเหมือนคนกร่าง ตอบได้ทุกอย่าง ไม่ขอโทษ ไม่ขอความเมตตา ก็ต้องจบแบบนี้ไง ซึ่งผมเตรียมทำใจแล้ว นี่รอบสอง และผ่านมาปีกว่าแล้ว

รอบแรกเป็นจิตวิทยาด้านบวก ถ้าเป็นพ่อค้าก็หยุดแล้ว เขาไม่เคลื่อนหรอก ทุกคนเงียบกันหมดจริงๆ แต่ผมเป็นสื่อ อยากเห็นสังคมเป็นประชาธิปไตย ก็ต้องสู้ต่อ จะให้เงียบได้ยังไง ถ้ามองแง่ดี นี่คือปริญญาบัตรจาก คสช. เพราะถ้าคุณไม่เวิร์ก ไม่ฟังก์ชั่น เขาไม่เรียกคุณเข้าไปรอบสอง

เมื่อกี๊คุณใช้คำว่า เหมือนเป็นเชลยศึก ?

ชัวร์ ก็ถูกทรีตแบบนั้น.. โทษนะ คืนแรกผมนอนไม่หลับเลย กว่าจะนอนได้ก็ปาเข้าไปหกโมงเช้า คงเครียดมาก เครียดตั้งแต่รถออก เขาจะพาไปไหน ไม่รู้ พาไปฆ่า ไปหมก..

ภายในใจ คุณคุยกับตัวเองยังไง

ตอนมีสติ ผมคิดว่าอะไรจะเกิดก็ต้องเกิด เราทำดีที่สุดแล้ว เราไม่ใช่เด็กๆ ปีนี้ผมอายุ 47 ปีแล้วน่ะ ถ้าต้องตาย ก็เอา พยายามประคองสติ พอลงรถ เขาจูงมือผมเดินเหมือนคนตาบอด ค่อยๆ ขึ้นบันได พื้นลื่นเพราะฝนตกหน่อยๆ อากาศดีกว่ากรุงเทพฯ เสียงแมลงดัง

พอเข้าห้อง เขาถึงเปิดผ้า เปิดมาสว่างจ้า ด้วยแสงไฟนีออนยาวๆ สองดวง ..ผมถึงค่ายบ่ายสอง เขาสอบปากคำผมถึงสามทุ่มเศษ กว่าจะถึงห้องขังนี้ก็น่าจะราวสักห้าทุ่ม คนเป็นหัวหน้าบอกว่าชายทั้งสี่จะผลัดกันดูแลผมอยู่นอกห้อง มีอะไร ให้บอกเขา พรุ่งนี้จะมาแจ้งว่ามีโปรแกรมอะไรบ้าง

ในห้องขนาดสักสี่คูณสี่เมตร มีน้ำดื่ม มีทีวีเก่าๆ เครื่องหนึ่ง เขาพาผมไปนั่งบนเตียงเหล็ก สักพักผมอาบน้ำ พยายามทำชีวิตให้ปกติ ควบคุมอารมณ์ไม่ให้สติแตก แต่อดไม่ได้ที่จะแปลกใจและรู้สึกไม่ปลอดภัย เพราะหน้าต่างปิดหมด ไม่มีกระจก CCTV ติดอยู่บนเพดาน ห้องล็อกจากข้างนอก

มีห้องน้ำในตัว ?

ห้องน้ำเล็กๆ มีฝักบัว โถส้วม ภายในห้องนอนไม่มีแอร์ แต่มีแอร์ตั้งพื้นที่ทำงานไม่ปกติ ผมลองดูแล้วพบว่าอุณหภูมิไม่ลงต่ำกว่า 29 องศา และมันปั่นเอาความชื้นขึ้นมาเยอะเลย ทำให้หายใจไม่ออก ออกซิเจนเหลือน้อย ผนังห้องน้ำก่ออิฐบล็อกเป็นช่องๆ ผมมารู้ตอนเช้า ที่หายใจไม่ออก เพราะว่าเขาเอากระดาษปิดช่องนั้นไว้จากข้างนอก เพื่อไม่ให้มองเห็น และไม่ให้อากาศถ่ายเท เช้ารุ่งขึ้นผมโวยวาย และขอให้ผมออกไปข้างนอกเป็นระยะ เพราะหายใจไม่ออก ความดันก็ไม่ปกติ

เขายอม แต่บ่น หลังจากปล่อยออกไปหายใจนอกห้องครั้งที่สอง ที่สาม บ่นว่าทำไมยุ่งจัง ผมบอกว่าผมไม่ขออะไรเลยนะ ผมขอสิทธิพื้นฐาน ขออากาศหายใจ ถ้าไม่มี ผมจะมีชีวิตยังไง ผมไม่ได้ขอโค้ก ขอชาจีนไปก็ไม่มี แต่เขาอุตส่าห์เอาโอวัลตินมาให้ครึ่งถ้วย ใส่แก้วโลหะ ตอนนั้นมันจะเป็นจะตาย เราเอาชีวิตไปฝากไว้กับเขาแล้ว จะใส่ยาพิษในโอวัลติน จะเอาเราไปหมก ชีวิตเราขึ้นอยู่กับเขาแล้วจริงๆ

คืนแรก นอนหลับหกโมงเช้า ?

มันร้อน หายใจไม่ออก แย่ อยู่คนเดียว และไม่รู้ว่าจะต้องอยู่นานแค่ไหน กระสับกระส่าย พยายามนอน พลิกตัวไปมา เหงื่อออก ผ่านไปสิบกว่าชั่วโมง ปรับตัว ขอออกไปนั่งข้างนอก ตกลงกันว่าขอออกจากห้องทุก 2-3 ชม. เขาปิดตาผมจากในห้อง หันหลังให้ประตู ปิดตา แล้วพาออกไปนั่งหน้าห้องซึ่งจากสภาพอากาศและเสียง พอที่จะทราบว่ายังอยู่ในตัวตึก ไม่ได้ออกไปสนามหญ้า อากาศยังไม่ได้ดีมาก แต่ดีกว่าในห้อง ระหว่างนั้นผมขอให้เขาเปิดประตูทิ้งไว้ เพื่อให้อากาศถ่ายเท ผมออกมาได้ครั้งละ 15-20 นาที ต่อรองเป็นระยะ เหนื่อยมาก

การพูดของผู้คุมที่มีคำว่าครับ’ เริ่มหายไป เรารู้ว่ามันเลวร้ายขึ้นมาเรื่อยๆ แต่ต้องทำใจเย็น ใจดี พูดสุภาพสู้กับเขา เพราะชีวิตเราขึ้นอยู่กับเขาแล้ว ในสภาพนั้นมันเป็นการไซโคฯ ทางจิตใจมากๆ

เข้าค่ายครั้งที่สองและถูกขังเดี่ยวเป็นเวลานานเท่าไร

สามวันสองคืน สิ่งที่แย่สุดคือ 20 ชม. แรก คนที่มาคุมผมทั้งสี่ สลับกันมาทีละสองคน ไม่มีใครพูดกับผมเหมือนมนุษย์ เราถาม ถ้าไม่จำเป็นเขาก็จะไม่ตอบ เรารู้ว่ามันไม่ปกติ เขาคงถูกสั่งให้ทำกับเราแบบไม่ใช่มนุษย์ เราคือเชลยศึก ตอนแรกที่บอกว่าพรุ่งนี้จะมีคนมาคุยด้วย แต่ทั้งวันผ่านไปก็ไม่มีใครมา จนสองทุ่มกว่า ผมเตรียมใจไว้แล้วว่าอาจจะต้องอยู่แบบนี้อย่างน้อย 7 วัน ต้องเอาตัวรอดให้ได้ ต้องทน กินข้าวได้น้อยมาก พยายามออกกำลังกาย ฝืน ไม่งั้นเป็นง่อย ผมเดินในห้องสี่ก้าว เลี้ยวขวา สองก้าว เดินสี่ก้าว วนเวียนอยู่แบบนั้น ไม่ว่าเลี้ยวซ้ายหรือขวา เดินไปสักพักผมรู้ว่าไม่มีประโยชน์

เอาขวดน้ำมายก พยายามออกกำลังกายแขน และพบว่าไม่มีประโยชน์อีกเหมือนเคย เพราะออกซิเจนในห้องมีน้อย และยิ่งจะน้อยเข้าไปใหญ่ พอเราหายใจแรงขึ้น จึงไม่ควรทำแบบนั้น เพราะสิ่งที่อันตรายกว่าการง่อยเปลี้ยคือขาดอากาศหายใจ ซึ่งอาจเป็นไปได้ และรู้สึกว่าเริ่มจะขาดจริงๆ

วันที่สอง ผมรู้สึกว่าไม่สนใจแล้ว มันจะตายหรืออะไรก็ตาม ผมเอาแปรงสีฟันจุ่มน้ำ ปีนโถส้วม เสียบกระดาษที่ปิดคลุมช่องลม แทงทะลุให้เป็นรู ทำอย่างเงียบๆ ถึงมีคนเห็นก็ไม่แคร์แล้วว่าใครจะว่ายังไง เพราะผมหายใจไม่ออก.. 20 ชม.ผ่านไป มีทหารชั้นผู้ใหญ่มาหา แนะนำตัวว่าเป็นพันเอก ใส่เสื้อแดงมาเลย คงนึกว่าผมจะดีใจมั้ง เห็นคนใส่เสื้อแดง ผมบอกเขาว่าผมไม่ใช่เสื้อแดง เขางงๆ (หัวเราะ) เขาเล่าว่าเคยดูแลเสื้อแดงหลายคน หลังรัฐประหารใหม่ๆ

คุยกันภายในห้อง ?

ใช่, เหมือนเดินมาทักทาย ทีแรกผมนึกว่าคงไม่มีใครมาคุยกับผมแล้ว จะรอดหรือเปล่า ต้องเอาตัวให้รอด ควบคุมสติ CCTV จ้องเราตลอดเวลา  ทหารคนนี้มาคุยยาวกว่าที่ผมอยากให้เขาคุย จนผมต้องเชิญเขาออก เพราะเหนื่อย หมดเสียง ดูละครดีกว่า น้ำเน่ายังไง เบลอๆ ยังไง ก็ทนไป

คุยนานแค่ไหน

ชั่วโมงกว่า มาทำความรู้จักมากกว่า คุยกันแล้วเขาแปลกใจว่าทำไมนักข่าวจบปริญญาโทจาก Oxford ผมบอกเขาว่าสื่อสำคัญนะ ถ้าสื่อไม่มีคุณภาพ ก็ไม่ต่างจากเภสัชกรที่ไม่มีคุณภาพ เภสัชกรจ่ายยาผิด เดือดร้อนเลยนะ ทำไมคุณถึงคิดว่าคนทำงานสื่อต้องเรียนหนังสือมาห่วยๆ

เขาพยายามพูดว่าเขาไม่ได้เกลียดทักษิณ ผมบอกไม่มีปัญหา ผมไม่ใช่แฟนคลับทักษิณ ผมมองเห็นทั้งสองด้าน เขานึกว่าผมเป็นแดง อาจผิดหวัง ..ก็ผมไม่ใช่แดงนี่หว่า (หัวเราะ)

ก่อนเชิญเขาออก เพื่อขอพักผ่อน เขาถามว่ามีอะไร ต้องการอะไรไหม ผมบอกเขาเรื่องอากาศ เขาเลยยอมเปิดห้อง แต่จะให้ผมนั่งบนเก้าอี้ ขวางประตู หันหน้าเข้าไปข้างใน เพื่อไม่ให้รู้ว่าข้างนอกเป็นยังไง นั่งคุยกับเขาในท่านั้น ลมพัดบ้าง นั่นถือเป็นความกรุณา พูดตรงๆ นะ ไม่ใช่ความดัดจริต ทั้งที่จริงควรเป็นสิทธิของผม แต่ว่าในตอนนั้นมันกลายเป็นความกรุณาไปแล้ว พอเขาให้ขอ ผมเขียนบอกไปว่าสองอย่างแรกที่ผมขอคือ อากาศกับแสงแดด ผมอยากเห็นแสงแดด อยากเห็นฟ้า

มนุษย์มีนาฬิการ่างกายทางชีววิทยา ที่จะปรับตัว พอพระอาทิตย์ตก ร่างกายจะบอกให้เตรียมตัวนอน แต่ผมอยู่ในห้องนี้ รู้เวลาจากนาฬิกา ทีวี แสงทีวี มองไม่เห็นท้องฟ้า มันเป็นสิ่งที่เลวร้ายมาก ในความเข้าใจของผม นักโทษทั่วไปยังมีโอกาสออกกำลังกาย เห็นแสงแดด ท้องฟ้า แต่ผมไม่มี

สองอย่างแรกที่ผมขอคือแสงแดดกับอากาศบริสุทธิ์ ซึ่งก็ไม่ได้ จนเขาปล่อยตัวออกไป หลังจากขังอยู่สองคืน

ตอนปล่อยตัว คุณต้องเซ็นอะไรอีกบ้าง

รายละเอียดผมเขียนลงฟ้าเดียวกัน’ เพื่อบันทึกประวัติศาสตร์ไว้ให้คนรุ่นหลังเรียนรู้ ว่าสภาพสังคมภายใต้เผด็จการทหารเป็นอย่างไร หลักๆ เขาห้ามผมเป็นผู้นำ ช่วยเหลือ หรือเข้าร่วมม็อบต่อต้านรัฐประหาร และถ้าจะไปต่างประเทศ ผมต้องขออนุญาตเหมือนเดิม

ขากลับกรุงเทพฯ คุณถูกปิดตาอีกไหม

ปิด เพราะเขาไม่ต้องการให้ผมรู้ หลังเซ็นสัญญาในห้อง มีทหารที่ทำงานด้านทางกฎหมายเดินเข้ามา ขอให้เซ็น ผมเซ็น เขาให้เราเก็บของ ผมถามว่าเก็บหมดเลยใช่มั้ย เขาบอกเก็บหมด แล้วมีคนชุดดำสองคนเข้ามาปิดตาผม พาผมเดินออกไป ทั้งที่เป็นเวลากลางวันแสกๆ ออกไปหลังเที่ยงกว่า ก่อนบ่ายสามโมงถึงกรุงเทพฯ ใส่รถตู้กลับ ไม่แน่ใจว่าคันเดิมมั้ย แต่ลงรถแล้วเขาพาไปห้องเดิม

เปิดตาแล้ว ผมเห็นทหารชุดเดิมรออยู่ วันนี้พวกเขาแต่งกันเต็มยศ อาจเพราะเป็นวันธรรมดา ทุกคนใส่ชุดมีป้ายชื่อ บรรยากาศผ่อนคลายกว่าเดิม เขาให้ผมไปตรวจวัดความดันกับหมอคนเก่า ผมไหว้เขา หมอคือหนึ่งในไม่กี่คนที่ผมไหว้ ไหว้ด้วยความที่เขาเป็นแพทย์ ผมยังอยากจะเชื่อว่า.. เพราะนี่คือการให้สัมภาษณ์หลังเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับคุณปรากรมกับหมอหยอง ว่าสำหรับแพทย์ ไม่ว่าทำงานให้ทหาร กรมราชทัณฑ์ หรือตำรวจ จะต้องรักษาชีวิตคนไข้ ให้ค่ากับชีวิตคนไข้ ไม่ใช่ทำตามคำสั่งจากใคร หรืออะไรที่เป็นอื่น

ความดันผมลงไปนิดหน่อย แต่ยังสูง วัดเสร็จผมเดินกลับไปโต๊ะเดิม ที่มีนายทหาร 6 คน รออยู่ เขาให้ผมเซ็นนั่นนี่ รวมทั้งรายการข้าวของที่ผมนำมา เพื่อพิสูจน์ว่าของทั้งหมดไม่ได้ถูกยึดไว้ สักพัก เขาบอกว่าเดี๋ยวนายเขาจะมา นายที่ว่าคือพลโทอัศวิน แจ่มสุวรรณ ซึ่งตอนนี้เป็นพลเอก ผมคิดว่ามีอะไรบางอย่างในตัวพลเอกอัศวิน ที่ทำให้ผมนึกถึง ส.ศิวรักษ์ บางคนคิดว่าเป็นตลกร้าย ผมจะไปเทียบนายทหารที่ทำงานให้ คสช. กับอาจารย์สุลักษณ์ได้อย่างไร ผมสนิทกับอาจารย์สุลักษณ์ นับถือแก อย่างน้อยการที่ผมเจอพลเอกอัศวิน ก็จบกันไปด้วยดีพอสมควร เจอนอกสถานที่ และไม่ได้เอาทหารมาข่มขู่

ที่เขาบอกว่าเดี๋ยวนายจะมา ตกลงเขามามั้ย

มา

คุยอะไรกันบ้าง

พลเอกอัศวินเดินมาจับมือผมด้วยท่าทีที่ดี ผมหันไปมองพวกลูกน้องของแก ทหารเหล่านั้นทำหน้าเลิ่กลั่ก คงสงสัยว่าสองคนนี้ไปมีความสัมพันธ์กันตอนไหน ถ้าจำไม่ผิด พลเอกอัศวินพูดว่าท่านประวิตร หน้าดูอ่อนกว่าเดิมนะเนี่ย ไม่ได้พบกันตั้งนาน

ผมไหว้ และบอกว่า ขอแสดงความยินดีด้วยครับ ที่ได้เป็นพลเอก (หัวเราะ) แกดีลกับสื่อเป็นหลัก ผมมารู้ตอนหลังว่าตอนผู้บริหารมติชนถูกเรียกไป ก็เจอพลเอกอัศวิน ล่าสุดที่น้องนักข่าว ‘ประชาไท’ ถูกเรียกตัว ก็เจอพลเอกอัศวิน คือเขาเป็น คสช. ยศสูงสุดในสายที่ดีลกับสื่อ

เริ่มต้น ถามสารทุกข์สุกดิบกัน พอเข้าเรื่อง แกบอกว่าคราวนี้ให้ใบชมพูนะ

ตอนอยู่ค่ายที่ราชบุรี เขาบอกไม่ต้องห่วง ที่พวกเราถูกเรียกมารายงานตัวเหมือนโดนใบเหลือง แค่ตักเตือน พลเอกอัศวินพูดว่าตัดสินใจให้ใบชมพู ทั้งที่จริงนักข่าวไปรอที่ศาลทหารแล้ว ดำเนินการแจ้งความไว้ที่ตำรวจแล้ว เรื่องที่ผมไปวิจารณ์คุณประยุทธ์ แต่เปลี่ยนใจนาทีสุดท้าย ทางคณะกรรมการกลาง ผมฟังแล้วรู้สึกเหมือนคอมมิวนิสต์เลย (หัวเราะ) มีกรรมการกลาง คล้าย police bureau สุดท้ายกรรมการกลางตัดสินใจว่าเอาไว้ก่อนทั้งสามคน ให้ใบชมพู แต่ถ้าล้ำเส้นอีก ต้องโดน..

แกย้ำเรื่องยศของคุณประยุทธ์ บอกว่าผมขอ

ผมรับปาก จากนี้จะไม่ไปตั้งประเด็นอะไรมากมาย จริงๆ ผมงงนะ ทำไมเขาอ่อนไหวนักกับเรื่องตำแหน่ง เขาย้ำว่าผมขอนะครับคุณประวิตร

และสุดท้าย พลเอกอัศวินบอกผม–หวังว่าเราไม่จำเป็นต้องเจอกันอีกนะครับ (หัวเราะ)

คุยจบ เรียบร้อย แกจะให้คนไปส่งที่บ้าน ผมบอกไม่ต้อง ส่งแค่บีทีเอสก็พอ คนที่ขับมาส่งผมเป็นพันเอก คนนี้จากที่เคยเคร่งเครียดมากเมื่อสามวันก่อน อยู่ๆ ออกตัว พูดว่าขอโทษ หวังว่าจะไม่โกรธ เพราะผมทำตามหน้าที่ของผม เล่นไปตามบท

ผมบอกว่าผมไม่เคยโกรธทหาร หรือ คสช. ผมสู้เพื่อประชาธิปไตย สู้เพื่อเสรีภาพ ผมไม่ถือว่าเป็นเรื่องส่วนตัว

ตรงประเด็นที่ว่าอย่าล้ำเส้น เขาบอกไหมว่าเส้นนั้นคืออะไร

เขาไม่พูดหรอก และตอนนั้นผมอยากจะถามอะไรมั้ยล่ะ ถ้าจะให้เครดิตอีกสักอย่าง พลเอกอัศวินบอกว่า–ผมห้ามคุณประวิตรไม่ให้วิจารณ์ คสช. ไม่ได้หรอก

ฉะนั้น คำตอบคือไม่มีใครรู้ เขายึดอำนาจไว้ เขาอยากขีดเส้นตรงไหน เราไม่รู้จิตใจเขา แต่เราทำด้วยความจริงใจ เราทำในส่วนที่เป็นเหตุเป็นผล เราไม่เคยใช้คำหยาบ ไม่เคยแสดงความเกลียดชัง ตอนเข้าไปในค่าย ผมพูดเสมอว่าผมไม่เห็นด้วยกับการแสดงความเกลียดชัง ไม่ว่าฝ่ายไหน แน่นอน,แง่หนึ่งตอนนี้เราเหมือนลูกไก่ในกำมือพวกเขา แต่เราก็ไม่ยอมศิโรราบ ยังสู้เท่าที่เราทำได้.

 

 

nandialogue

 

 

หมายเหตุ : อ่านบทสัมภาษณ์ฉบับเต็มได้ในหนังสือ ‘เดี๋ยวนะ นักฝัน’ พิมพ์ครั้งแรก มีนาคม 2017

เรื่องและภาพ: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

You may also like...