หลายคนกำลังมองมา แต่ชะตาชีวิตบางคนกำลังจะจาก ‘น่าน บ้านแสนรัก ริมแม่น้ำ’ ค่อยๆ เคลื่อน แปลงปัจจุบันเป็นอดีต
‘หนุ่มสวนมะลิ’ ทศพล เตชะอำพลกุล กับ ปลา-จันทร์จิราภรณ์ ‘สาวลพบุรี’ แต่งงาน ใช้ชีวิตร่วมกันอยู่ในเมืองหลวงประมาณสิบปี ตลอดเส้นทางรัก เขาและเธอมองหาบ้านต่างจังหวัด วิวภูเขา ใกล้แม่น้ำหรือทะเล เคยไปหาที่จันทบุรีแล้วไม่ได้ เช่นเดียวกับอุทัยธานีและเพชรบุรี ที่สุด มาลงหลักปักฐานที่ จ.น่าน
วัย 42 ปี ทศพลเลือกเกษียณตัวเอง ทิ้งเงินเดือนหลักแสน มาทำสวน อยู่บ้าน ทำกับข้าวให้ภรรยากิน นโยบายอันเคร่งครัดของครอบครัว ‘เตชะอำพลกุล’ คือใช้เงินเดือนละห้าพัน
เก็บผลไม้ขายตามฤดูกาล (ทั้งสดและแปรรูป)
มีรถยนต์หนึ่งคัน หมาสองตัว ไม่มีลูก
ช่วงการเมืองเข้มข้น คนหนุ่มสาวลุกขึ้นมาเสนอปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ ทศพลนั่งรถทัวร์จากน่านมาม็อบเมืองกรุง ไกล แต่ไม่เป็นอุปสรรค รวมทั้งชีวิตมิติอื่นๆ ที่น่าน เรียกว่าลงตัวทุกประการ สวยงามดุจดังวันเวลาในฝัน ทว่าวันนี้สามีภรรยาตกลงร่วมกันว่าจะขาย และย้ายไปลพบุรี
เขาไม่ได้อยากไป เธอไม่ได้อยากไป แต่จำใจต้องจากเมืองน่าน หลังจากอยู่มาราวสิบสองปี
นี่เป็น case study ที่ nan dialogue อยากชวนคุณฟังทัศนะว่าด้วยการสร้างชีวิต การเลือก และการเลิก เพื่อก้าวเดินต่อไป
เห็นประกาศขายบ้าน จะทิ้งเมืองน่านไปแล้ว นี่เรื่องจริงใช่มั้ย
พ่อปลายกที่ให้ เรารับมาแล้วมันก็มีสองสามทางเลือก คือถือไว้ ไปอยู่ หรือขาย เอาไงดี เพราะอยู่แบบนี้ก็มีความสุข ชอบ ไม่อยากไป แต่ถ้าวันหนึ่งอายุเจ็ดแปดสิบจะอยู่ยังไง ญาติไม่มี อยู่บ้านนี้แค่สองคนผัวเมีย ผมคิดว่าถ้ากูตาย เมียจะอยู่ยังไงวะ คิดแค่นั้น ปลาคงอยู่คนเดียวที่นี่ไม่ได้ เอาไง คือถ้าเมียตายก่อน ไม่มีปัญหา ผมว่าผมอยู่ได้ แต่มันไม่รู้ว่าไงว่าใครจะตายก่อน ผมชอบวางแผน ไม่ชอบใช้ชีวิตวันต่อวัน เดือนต่อเดือน ชอบมองยาว คำตอบมันเลยน่าจะกลับไปอยู่โน่นดีกว่า รอบๆ บ้านคือญาติหมดเลย อยู่ในเขตเมือง ถ้าเราแก่ตัว อยู่ในเมืองน่าจะดูแลชีวิตได้ง่ายกว่าชนบท อายุเจ็ดสิบ ผมคงไม่มีร่างกายแบบมานั่งคุยกับคุณตอนนี้ ไม่รู้จะมีโรคอะไรบ้าง ก็เลยคุยกันว่าเตรียมย้าย
ขึ้นป้ายขายบ้านตั้งแต่เมื่อไร
ปีกว่าๆ มีช่วงหนึ่งผมเจ็บ ปวดเมื่อยง่าย สภาพเราไม่เหมือนเดิม ลงสวนแล้วเหนื่อยง่าย ร่างกายไม่แข็งแรง แย่ลงเรื่อยๆ
ถ้าพูดเหตุผลความตาย ตอนสร้างบ้านที่นี่ก็น่าจะรู้ โอเค ไม่รู้ว่าใครไปก่อน แต่ทำไมวันนั้นไม่ได้คิดเรื่องพวกนี้เลย
มาด้วยอารมณ์ แม่งไม่คิดเลยจริงๆ อยากอยู่ชนบท ณ จุดตัดสินใจที่มา ผมไม่ได้มองวันตาย มองแค่ว่าเบื่อ ไม่อยากอยู่กรุงเทพฯ คุยกับเมีย นับเงินในกระเป๋าแล้วคิดว่าพอ ไม่เดือดร้อนใคร ความตายมาคิดตอนสังขารเราเริ่มไม่ไหว ทำเหมือนเดิมไม่ได้
อายุเท่าไรที่บอกว่าเริ่มคิดเรื่องความตาย รู้สึกว่าร่างกายไม่เหมือนเดิม
สองสามปีที่ผ่านมา แตะเลขห้าว่างั้น ครึ่งร้อยแล้ว ตอนมา แม่งมาด้วยแพสชัน โลกสวย อยากมาสงบ สบาย อยู่ริมแม่น้ำ มองย้อนไปแล้วก็นั่งหัวเราะตัวเอง แต่ก่อนคิดแค่นั้นเหรอวะ จริงๆ ก็คงไม่แปลก ประสบการณ์ค่อยๆ สอนเรา
คนแข็งแรง อยู่ในวัยหนุ่ม จะคิดถึงความตายทำไม ?
ใช่ เพราะตอนเรียนจบ หรือทำงานใหม่ๆ ผมก็หัวหกก้นขวิด ทำงานสระบุรี มาเที่ยวผับบาร์ในกรุงเทพฯ ตีสี่ กลับไปทำงาน แอบหลับช่วงบ่ายๆ บ้าง ใช้ชีวิตแบบนี้ ไม่คิดเรื่องความตาย พอวันหนึ่งเริ่มเจ็บนั่นนี่
สถานที่นี้ บ้านที่นี่ ริมแม่น้ำ ห่างตัวเมืองน่านร้อยกิโลฯ ตกลงว่ามันเป็นบ้านที่อยู่คนเดียวไม่ได้ ไกลโรงพยาบาลเกินไป ?
ปลา : คงแล้วแต่คน ของเรา ถ้าตัวคนเดียวเราอยู่ไม่ได้
คุณอยู่ได้มั้ย
ได้
ถ้าห่างจากเมืองสักสิบกิโลฯ อยู่ได้มั้ย เรื่องโรงพยาบาลมันมีส่วนแค่ไหน
ปลา : ที่อยู่ไม่ได้หมายถึงสังคมมากกว่า อย่างถ้าในเมืองมีเพื่อน คนคุย น่าจะอยู่ได้
ทศพล : ไม่ใช่คนแถวนี้ไม่ดี แค่เราคุยคนละเรื่อง คนละความสนใจ
ปลา : ที่นี่คือชาวบ้าน
ทศพล : เราไม่ใช่ชาวบ้าน
เป็นคนชั้นกลาง ?
ใช่ๆ คุณพูดถูกเลย แค่เดินผ่าน ทักทายได้ แต่นั่งคุยกัน จับเข่าคุย มุมมอง ความคิด โลกทัศน์ อาจจะคนละอย่าง ไม่ได้ว่าเขาผิด ถูก
แค่เราเกิดมาต่างกัน ?
ใช่ๆๆ
ย้อนไปสมัยยังอยู่กรุงเทพ ความคิดแรกของคู่รักคู่หนึ่งที่คุยกันว่าพอแล้ว อยากออกไปแล้ว มันเพราะอะไร วางแผนยังไง
ปลา : แต่งงานใหม่ๆ ปลายยี่สิบเก้า พี่เฮ้า สามสิบสาม ห่างกันสี่ปี ปลาเป็นคนต่างจังหวัด ชอบภูเขา แม่น้ำ ไม่ชอบชีวิตในกรุงเทพฯ แต่งแล้วคิดคล้ายกัน ออกเที่ยวต่างจังหวัดทุกลองวีกเอ็นด์ เดินป่าเดินเขา ว่ากันไป เลยเริ่มหาที่ทาง ช่วงปี 46-47 ตัดสินใจซื้อ ปี 48 จริงๆ บ้านเกิดลพบุรีก็มีที่ของพ่อ แต่ที่นั่นทำอย่างที่เราต้องการไม่ได้
หมายความว่าถ้าจะไปอยู่ลพบุรี ก็ได้แหละ ?
ปลา : ได้ แต่ไม่ชอบ เพราะพ่อเลยค่ะ เผด็จการค่ะ (หัวเราะ) เป็นทหาร ชีวิตลูกๆ ทุกคน เขาจะดีไซน์ให้หมด ทำตามที่เขาบอก ออกแบบให้ พี่ชายตอนวัยรุ่นขายของ พ่อไม่สนับสนุน เราอยากปลูกต้นไม่ เขาไม่เห็นด้วย งั้นเราไม่เอาที่พ่อละกัน ไปหาเอาเอง
มีวิธีหายังไง
ปลา : สนใจเมืองจันท์ ลูกพี่ลูกน้องสนิทกันอยู่โน่น ให้เขาช่วยดู ข้อดีคือใกล้กรุงเทพฯ เราชอบภูเขา ทะเล มันก็ครบ แต่ผลออกมาคือที่สวย แต่คนไม่ได้ คนในพื้นที่ เราหาที่ดินจากพวกบังคับคดี หลุดจำนอง ขายทอดตลาด พอเราไป เจ้าของเก่ายังอยู่ เขาต้องเสียที่อยู่ สายตาที่เราเห็น การพูดคุย มันไม่ได้ ไม่สบายใจ
ทศพล : ถ้าไปอยู่ เราต้องไล่เขาออกว่างั้นเถอะ เราไม่ชอบโมเมนต์นั้น ที่ทำมาหากินเขา เลยไม่เอา
ถัดจากเมืองจันท์ มองหาที่ไหนต่อ
ปลา : อุทัยฯ เพชรบุรี ป่า ภูเขา ชอบต้นไม้ แต่เจอไร่อ้อย เลยถอย เพชรฯ หาไม่ได้ตามสเปค เลยคนนี้บอกว่าไปน่านมั้ย
ทศพล : พูดถึงทางเหนือ ทุกคนจะไปเชียงใหม่ แต่ผมว่าแพงว่ะ และมองอีกแบบ ชอบติดแม่น้ำ เราก็จิ้มเลย ปิง วัง ยม น่าน เลือกเอาสิ มันมีหลายที่ เมืองน่านผมมาปี 34-35 เคยดูวัดภูมินทร์ และไม่ประทับใจอะไร เป็นวัยรุ่นคนหนึ่งที่เคยมาเที่ยว รอบนี้พอปักหมุดที่น่านแล้ว ก็หาข้อมูล ปลาทำงานไอที หาข้อมูลเก่ง เจอที่แบงก์ขายทอดตลาด เลยลองโทรฯ ถาม ขับรถมาดูที่ เผื่อๆ ไว้สองสามจุด หลายอำเภอ เพราะน่านมันไกล มาแล้วก็ขอดูหลายที่หน่อย
ความรู้สึกที่พอมาเจอที่นี่ ?
สภาพไม่ใช่แบบนี้นะ สิบปีก่อนมันยังดิบ แต่เห็นก็ชอบ ติดแม่น้ำ ภูเขา สำคัญคือเราอยู่กับที่ เราอยู่กับคน ฉะนั้น เราต้องศึกษาคนรอบๆ บ้าน ถ้าอยู่แล้วคนไม่โอเคแม่งนรก บังเอิญ คนที่ทำกินบนที่ผืนนี้เขาอยู่ข้างๆ นี้ และเขาชวนเราพัก พ.ศ.นั้น ทุ่งช้างไม่มีที่พัก ก็ดี ได้นั่งคุย กว่าจะซื้อ ผมมาสามครั้ง มานอนบ้านลุงเขาทุกครั้ง ดูทัศนคติ ดูมุมมองเขาที่มีต่อเรา
ตั้งแต่มาน่าน ไม่ได้ไป จ. อื่น ?
ไม่ไป เพราะชอบแล้ว แต่ตอนซื้อก็กลัวโดนหลอก กลัวสารพัด และเราไม่อยากทะเลาะกับคนเก่า เหมือนเมืองจันท์ ที่นี่ไม่มีปัญหานั้น คนอยู่ที่นี่เขาทำพืชไร่ ไม่ได้ปลูกบ้าน เขาพร้อมจะไป ราคาก็โอเค เอกสารถูกต้อง เราไม่รู้จักเจ้าถิ่นสักคน ไม่อยากผ่านนายหน้าด้วย และเราไม่สามารถขับรถตระเวนหาข้างทาง ไม่มีเวลาขนาดนั้น เพราะดูที่ มันต้องใช้เวลาเป็นเป็นวัน ใช้อินเทอร์เน็ตช่วย ก็โอเค เอกสารแบงก์มีโฉนดมาให้ ถ้าปลอม แบงก์จำนองไม่ได้หรอก
ซื้อแล้วรออีกกี่ปี เพื่อให้สัมพันธ์กับงานด้วย กว่าจะย้ายมาอยู่
ก่อนแต่งงานไม่คิดอะไร ทำไปวันๆ มีชีวิตเฮฮา ชอบปาร์ตี้สังสรรค์ ผมโตมาช่วงปี 35-44 เศรษฐกิจขาขึ้น เงินดี งานได้โปรโมต แต่พอถึงจุดนึงมันก็เท่านั้น เบื่อ เจอการเมืองในองค์กร ผมจบครุศาสตร์ อุตฯ สาขาวิศวกรรมเครื่องกล ปีที่จะจบ วิศวกรขาดแคลน เอาว่าปี 4 เทอมหนึ่ง ทุกคนได้งานกันหมดแล้ว เศรษฐกิจโตมาก ตังค์ดี เลยทำงานโรงงาน หลังจากนั้นเข้าเครือซีเมนต์ไทย จอยเวนเจอร์กับบริษัทอเมริกัน สร้างโรงงานอยู่หนองแค สระบุรี ผมไปตั้งแต่สร้างโรงงาน ช่วงชีวิตที่เหมือนถูกถีบลงน้ำ ว่ายไม่เป็น อยู่หนองแค เด็กไทย ภาษาอังกฤษไม่ได้เรื่อง ทำงานกับบัดดี้ฝรั่ง มันก็ให้ fuck กินทั้งวัน เราสื่อสารไม่ได้ จบใหม่ๆ ยังก์เอนจิเนียร์ทำงานกับอเมริกันอายุสี่สิบ ประสบการณ์เยอะ เราก็ถูกซัดถูกนวด ดีนะ ผ่านมา แกร่ง ทำงานสองปี จนตั้งโรงงานเสร็จ ผลิตสินค้าได้ จุดเปลี่ยนคือไม่มีคนอยู่กับแม่ ห่วงแก บอกนายว่าผมไม่สะดวกอยู่หนองแคแล้ว เขาหาบริษัทในเครือให้ ย้ายไปอยู่สนามบินน้ำ ใกล้บ้าน แคราย จนเขาย้ายโรงงานเพราะถูกซื้อที่ คราวนี้ย้ายไปลาดกะบัง ต่อมาไปลำพูน เป็นผู้จัดการ ดูแลการตลาดการผลิตภาคเหนือทั้งหมด เป็นโรงงานผลิตบล็อกปูถนน อยู่ลำพูนได้สองปีถูกโปรโมตขึ้นอีก แต่ต้องย้ายบริษัท ซีมันเริ่มสูงขึ้น อัฏฐบริขารเยอะขึ้น แต่อยู่ได้ประมาณปีนึง เจอวัฒนธรรมองค์กรบางอย่างที่เราไม่โอเค พบทุจริต ผมไปคุยกับเบอร์หนึ่ง คนที่มีอำนาจมากกว่าเรา แต่เขาไม่เรสปอนส์ ผมก็อะไรวะ ตอนนั้นหาที่ได้แล้วด้วย มีทางเลือกอื่น ณ วันที่ตัดสินใจลาออก ผมไม่มีภาระ บ้านที่กรุงเทพฯ ก็ผ่อนหมดแล้ว ช่วยให้ตัดสินใจง่ายขึ้น สิ้นปี 52 ยื่นใบลาออก พอ 53 ก็มาสร้างบ้านที่น่าน
เทียบกับคนอื่น อายุเท่านั้นถือว่ากล้ามาก ?
ใช่ เกษียณเร็วเพราะโลกสวย อยากใช้ชีวิต สายลม แสงแดด อยู่กับธรรมชาติ ตังค์ก็มี ผมเอาตังค์ไปลงทุน งอกเงย ผมไม่มีลูก เราคำนวณแล้ว มันอยู่ได้ ถามตัวเองบ่อยๆ ว่าแล้วจะอยู่ให้เขาโขกสับทำห่าอะไรวะ
วิธีบริหารเงิน จัดการยังไง
ผมผ่อนบ้าน มองบ้านเป็นสินทรัพย์ที่วันหนึ่งเราแปลเป็นเงินได้ พอตัดสินใจแต่งงาน ผมเริ่มมีวินัยการเงิน หยุดเที่ยวเตร่ เก็บเงินเก่ง สมัยก่อนผมเสียเงินอยู่สองอย่าง คือซื้อซีดีเพลง กับซื้อหนังสือ บ้านผมราคาล้านห้า ผ่อนไม่ถึงสิบปี หมด อัดๆๆ เทๆ ผมไม่มีภาระ เบา พร้อมจะไปไหนก็ได้ ในใจเรารู้ว่ามีเงินเก็บเท่านี้นะ มีดอกผลเท่านี้ ใช้เดือนละเท่าไร ห้าพันพอมั้ย ก่อนมาน่านผมไม่รู้ว่าใช้เดือนละเท่าไร แต่ประมาณเอา บังเอิญโชคดี มาแล้วใช้ไม่เกิน เลยอยู่ได้ ถ้าคิดผิด ผมตาย
วางไว้ว่าจะใช้เดือนละห้าพัน ?
ใช่ ตั้งตุ๊กตา และไม่ผิดจากนั้น จังหวัดน่านค่าครองชีพถูกจะตาย เอาเข้าจริงไม่ถึงด้วย
สองคน ห้าพัน ?
ปลา : พื้นฐาน น้ำ ไฟ เน็ต เอาอยู่ มีรถใช้คันหนึ่ง
คุณภาพชีวิตดีมั้ย
ดีสิ
ปลา : ดีมั้ยล่ะ อ้วนท้วนขนาดนี้ (หัวเราะ)
ทศพล : หลังๆ เราใช้เงินจากขายผลไม้ เดี๋ยวนี้ผมแทบไม่ได้แตะห้าพันตรงนั้นแล้ว ให้มันงอกเงยไป ตอนทำงาน ลงทุน LTF มนุษย์เงินเดือนเมื่อก่อนรู้จักดี มันคือสิ่งที่รัฐออกมาให้ประชาชนลงทุนในตลาดหุ้น โดยผ่านกองทุนแบงก์ ไม่ได้เล่นหุ้นเอง ให้แบงก์ไปเล่น โดยเงินที่เราลงทุนหักภาษีได้หมด ผมอัดเต็มแม็ก ปีนึงเขาให้ลงแสนห้า ผมอัดแม่งแสนห้า ซื้อปีละแสนห้า ช่วงตลาดหุ้นบูมๆ ลงแสนได้สองแสน ..ก็ได้เยอะน่ะ ผมมีทุนไว้ ไม่ถอน มีเงินสด และกำมาปลูกบ้านอีกล้านหนึ่ง
มรดกมีมั้ย
เมียมีนิดหน่อย ผมไม่มี ก่อนจะลาออก เงินเดือนผม ถ้ารวมโบนัสด้วยก็แสนต้นๆ ปีหนึ่ง 12 เดือน แต่เราได้ 14-15 เดือน เพราะมี extra ช่วงนั้นเศรษฐกิจโตมาก วิธีคิดผมคือ ตัดส่วนเงินออมออกไปก่อน ที่เหลือค่อยใช้ ผมตั้งใจว่าออมเท่านี้ จำไม่ได้ว่าเท่าไร นึกออกมั้ย คือไม่ใช่ใช้เท่าไร เหลือค่อยออม ผมคิดว่าต้องออมเท่าไร เหลือค่อยใช้ คิดแบบคอนเซอร์เวทีฟทางการเงิน ออมก่อน ใช้ทีหลัง ออมมากกว่าใช้ และผมไม่มีลูกไง
วินัยการออม ทำได้ดี ?
ได้ ผมเลิกเที่ยว มีครอบครัวแล้วเก็บตังค์ แต่งงานแล้วเที่ยวไม่ได้ เที่ยว เมียด่า ต้องกลับบ้าน มันถูกบังคับไปกลายๆ เงินก็ไม่ค่อยได้ใช้
เห็นบทเรียนอะไรมา ทำไมถึงคิดถึงจัดการบริหารการเงินได้เข้มข้นรัดกุม
ผมเป็นคนบ้านแตก พ่อผมเป็นเสี่ย ผมนั่งบีเอ็มดับบลิวไปเรียนตั้งแต่ประถมฯ เรียนอัสสัมชัญ น้องเรียนคอนแวนต์ โรงเรียนฝรั่งหมดทั้งบ้าน แต่วันหนึ่งธุรกิจพัง พ่อมีเมียน้อย ไม่มีบ้านอยู่ แบงก์ยึด ผมไปอยู่บ้านอี๊ จากมีบ้าน ต้องไปขออาศัยเขาอยู่เป็นปี แล้วลูกเขามองเราว่าซมซาน พึ่งเขา เลยเป็นปมด้อยในใจว่าถ้ามีครอบครัว เราจะไม่ให้มันพัง จะรักษาไว้ เรื่องเงิน ผมเคยเห็นพ่อใช้เงินเหมือนกระดาษ จนวันหนึ่งไม่มีบ้านอยู่ ต้องหนีหนี้ ตัวเองหายสาบสูญไปจากชีวิตผมนานหลายปี พอติดต่อมา บวชเป็นพระ เล่าเรื่องพ่อแล้วยาว toxic เยอะ ผมอยู่กับแม่ซึ่งจบแค่ ป.4 แม่ขายสมบัติเก่าของพ่อทั้งหมด ส่งลูกเรียน ตอนหลังย้ายมาอยู่นนท์ เปิดร้านของชำ จากลูกเถ้าแก่ ผมก็ต้องแบกข้าวสารส่งตามบ้านคน เขาสั่ง เราแบกไปส่ง
ก็สุดๆ ?
ใช่ เพราะเราบ้านแตก ถ้ามีครอบครัว เราจะรักษา คิดไว้แค่นั้น มันติดตา ภาพพ่อเตะแม่ คือไม่ใช่แค่พ่อเราไม่ดี ย้อนคิดตอนนี้นะ แม่ก็ไม่เบา ปากคอเราะร้าย
ปากไม่ดี แล้วพ่อมีสิทธิ์เตะเหรอ
ไม่ได้ว่ามีสิทธิ์ แค่บอกว่าแม่เราก็ไม่เบานะ จิกหัวด่าเหมือนกัน ฟังน้าเล่าหลายๆ เรื่อง ขิงก็รา ข่าก็แรงว่างั้นเถอะ ผมว่าการจะรักษาครอบครัวไว้ ไม่ใช่หน้าที่ของสามีคนเดียว อยู่ที่ภรรยาด้วย ถ้าสภาพครอบครัวไม่น่าอยู่ ผู้ชายก็ไม่อยากเข้าบ้าน พอไม่เข้าบ้านนานๆ แม่งก็เตลิด
เรื่องเงิน ทั้งชีวิตไม่มีผิดพลาด ?
ใหญ่ๆ ไม่เคยนะ สุรุ่ยสุร่ายบ้าง มีกันทุกคน ซื้อมาแล้วไม่ได้ใช้ แต่ผิดพลาดใหญ่ๆ หรือเป็นหนี้ ผมไม่เคยเป็นหนี้ นอกจากซื้อบ้าน กู้แบงก์ ส่วนบัตรเครดิต ไม่เคยติดหนี้ ผมจ่ายตรงทุกครั้ง
ยืมเงินเพื่อน ?
ไม่เคย เคยแต่โดนยืม (หัวเราะ) เพื่อนที่ยังติดต่อ คบหากัน ส่วนใหญ่เลิกกับเมีย ยิ่งเพื่อนสนิทยิ่ง.. อะไรไม่รู้ แต่เราไม่ตัดสินใคร ส่วนตัวเรา ครอบครัวมีคุณค่า เรามีปมมาด้วยมั้ง เลยระมัดระวัง
จากเดิมนั่งบีเอ็มไปโรงเรียน แล้วพอเปลี่ยน เพื่อนมองยังไง
เพื่อนส่วนใหญ่คงไม่รู้ เพราะรถอาอี๊ก็เป็นรถเก๋ง แต่ที่ผมรู้สึก toxic คือลูกเขามองว่ามึงแม่งมาอาศัยเขาอยู่ กินข้าวบ้านเขา อาอี๊ สามีตาย ทิ้งสมบัติไว้เยอะ ไม่ทำงานก็เลี้ยงลูกได้ แต่ก็.. มันผ่านไปแล้ว ช่างมัน เป็นช่วงหนึ่งในชีวิตที่เราเคยมีมาก่อน ตรุษจีนปีๆ นึงผมได้เงินเป็นพันน่ะ ตอนประถมฯ ลูกเสี่ยไง แบงก์ใหม่ๆ ใส่ซองแดงๆ ผมอยู่ในหมู่ถิ่นคนจีน บ้านอยู่ป้อมปราบศัตรูพ่าย สวนมะลิ ตอนเด็กๆ ขาดเหลือเมื่อไรก็แบมือ พ่อให้เงินง่ายๆ
โตมาเลยมีวินัยการเงิน ?
เข็ดมั้ง กับความลำบาก แล้วบังเอิญพอแต่งงาน ไลฟ์สไตล์มันคล้ายกัน ไม่ได้เที่ยวเตร่หรือใช้เงินเยอะ วิธีออมของผม มีเท่าไรเทเข้าบ้าน ถมบ้าน ให้มันเป็นสินทรัพย์ ผมซื้อบ้านล้านห้า ขายสามล้านแปด
เรื่องเซ็งงานก็เข้าใจได้ แต่เท่าที่ฟังทุกอย่างกำลังอยู่ในช่วงขาขึ้น คุณก็อายุไม่มาก ทำไมถึงกล้าเลิก กล้าทิ้งเงินเดือนเป็นแสน มาอยู่ริมแม่น้ำ
หลักๆ คือไม่อยากเป็นลูกจ้าง และคิดแล้วว่ามีตังค์ใช้พอ คำนวณแล้ว ผมไม่ได้มาแบบใสปิ๊ง ปลูกข้าว เลี้ยงไก่ ขุดเผือกขุดมันกิน ไม่ใช่นะ
จะมาทำอะไร
มาอยู่แบบนี้ ทำสวน ใช้ชีวิตกับธรรมชาติ
ไม่มุ่งหาเงินที่นี่ ?
ไม่ ผมใช้เงินออม ผมวางแผน คำนวณไว้หมดแล้ว
ปลา : วันหนึ่งสองคนใช้เงินพื้นฐานเท่าไร คิด ถ้ามีอายุสักเจ็ดสิบปี เอ้า คูณจำนวนวัน บวกเงินเผื่อฉุกเฉินห้าแสน พอเรามีตัวเลขนี้ก็คิดว่าอยู่ได้ แล้วจะทนอยู่กรุงเทพฯ ทำไม
ทศพล : อาจเพราะเราเรียนไฟแนนซ์มาบ้าง คำนวณเงินเฟ้อ อัตราผลตอบแทน เลยวางแผนได้ ไม่เก่งนะ ผมนี่ค่อนข้างประถมฯ ด้วยซ้ำ ถ้าพูดระดับนักการเงิน แต่พอเอาตัวรอด ผมไม่ได้ให้ปรึกษาใคร มิบังอาจ ตอนผมเงินเดือนแสน ก็ไม่ถือว่าเงินเยอะ รุ่นผม เงินเท่านี้คือกลางๆ ไม่ใช่ท็อปของรุ่น แต่ผมไม่มีภาระ ผมไม่ใช้เงินเยอะ
ย้ายมาน่าน วันๆ ทำอะไร
ทำสวน ปลูกต้นไม้ ขายผลผลิตนิดหน่อย
ทำไมคิดว่าทำสวนได้ เคยจับจอบจับเสียมมาก่อนเหรอ
ไม่เคย แม่งแพสชันล้วนๆ ผมอยากอยู่อย่างนี้ อิสระ ผมเคยอยู่องค์กรใหญ่ เห็นมาเยอะ ซึ่งมันก็เท่านั้นน่ะ มีครั้งหนึ่ง เรื่องที่จำแม่น ว่าทำไมผมไม่หวังชื่อเสียง ตำแหน่งใหญ่โต มันมีโมเมนต์หนึ่ง มีอดีตผู้บริหารที่เกษียณแล้ว เรารู้จัก แต่ก่อนเขาดังมาก ใหญ่มาก ใครในบริษัทต้องโค้งคารวะ นี่คือตำนาน พอผมเดินผ่าน น้องเด็กใหม่ถาม ตาลุงนั่นใคร แม่งเตะผมป้าบเลยนะ คำพูดนั้น แม่งเท่านั้นจริงๆ ว่ะ มัน วันหนึ่งก็ไม่มีคนรู้จักคุณ จะใหญ่โตแค่ไหนก็เถอะ ถามว่าแล้วคุณจะใหญ่ มีชื่อเสียงไปเพื่ออะไร เพราะวันหนึ่ง คนอีกรุ่นหนึ่งก็ไม่รู้ว่ามึงเป็นใคร ต่อให้เป็นตำนานของบริษัท สร้างมากะมือ แล้วไงล่ะ ช็อตนั้นมันเล่นผมหนัก ตอนนั้นยังอยากยิ่งใหญ่ เป็นกรรมการผู้จัดการ แม่ง เหตุการณ์นี้บอกผมว่าก็เท่านั้น ชีวิตแค่มีตังค์ใช้ อยู่ได้ จบ คิดเท่านั้นจริงๆ ชื่อเสียงมาและไป ทุกอย่างจับต้องไม่ได้ เหมือนสิ่งสมมุติ
งงมั้ย จากใจกลางเมืองหลวง มาอยู่บ้านริมแม่น้ำ แตกต่างสุดขั้ว..
ลูกบ้าเยอะ แต่ตอนนั้นกล้าจริงๆ ถ้าอายุเท่านี้กูอาจไม่กล้า คุณเคยได้ยินคำว่า มิดไลฟ์ไครซิสมั้ย เออ ผมเจอ คือทำงานถึงจุดหนึ่ง เราถามตัวเองว่าทำเพื่ออะไรวะ เปลี่ยนแปลงดีกว่ามั้ย และเราพร้อมแล้วนี่ ไม่มีภาระ ทำให้เปลี่ยนชีวิต ไม่ใช่ทำต่อหรือตั้งบริษัท
แต่คำตอบอะไรก็ตาม คือมัน extreme มาก จากเมืองหลวง มากลางป่า มันไม่งงแย่เหรอ ?
ไม่นะ
ฟิตอิน ?
ปลา : ใช่เลย
ทศพล : ผมโชคดี อย่างเพื่อนบ้านรอบๆ นี่ก็โอเค ไม่มีปัญหาลักขโมย
เคยมั้ย
ไม่มี ด้วยสัตย์จริง ไม่มี คนที่นี่โอเค
ปลา : ซื้อเลยมั้ยคะ (หัวเราะ)
การเปลี่ยนแปลงชีวิตจากกรุงเทพฯ..
ปลา : ดี มีความสุข
ทศพล : น่าเบื่อนะ ชีวิตที่เช้ามาขับรถไปทำงาน อยู่กรุงเทพฯ แม่งรถติด รำคาญมาก หลังๆ ผมไม่ติดแสงสีแล้วด้วยไง ชอบป่า ชอบต้นไม้
เริ่มต้นยังไง บ้านหลังนี้
จ้างคนเขียนแบบ มาหาสล่า (ช่าง) ที่นี่ โชคดีสล่าคนนี้เคยทำงานก่อสร้างหมู่บ้านจัดสรรที่กรุงเทพฯ มาก่อน โปรฯ มาก ผมมาปักเต็นท์นอนตั้งแต่ลงฐานรากเลย ขุดดิน เพราะใช้วิธีเหมาแรง ผมวิ่งซื้อของเอง เริ่มต้นทำงานวันที่หนึ่งกุมภาฯ ใช้เวลาประมาณห้าเดือน เสร็จ งบหนึ่งล้าน บวกนิดๆ เพราะเหมาแค่ค่าแรง คุมค่าใช้จ่ายง่าย จ่ายค่าแรงตามงวด ไม่มีประสบการณ์ก่อสร้างบ้าน แต่ผมอยู่บริษัทวัสดุก่อสร้าง รู้จักคำว่าผู้รับเหมา การถอดแบบ
ชีวิตที่น่าน ทำอะไรบ้าง หลังมีบ้าน
ผมชอบความจำเจ ช่วงมาใหม่ๆ ปลูกต้นไม้ ใช้แรง เดือนแรกเหนื่อย
ปลา : น้ำหนักลงไปเกือบสิบกิโลฯ แม่เห็น ร้องไห้เลย ถามว่าป่วยอะไรหรือเปล่า
ทศพล : นึกว่าผมเป็นโรค แม่บอก กูเลี้ยงมึงมา ไม่เคยให้ลำบาก ตอนนั้นลำบากจริง ตอนนี้อ้วนแล้ว เหมือนเดิม
ที่บอกว่าชอบจำเจคือ..
เช้า ตื่นหกโมง เปิดเน็ตดูข่าว ตามสถานการณ์บ้านเมือง อยู่กรุงเทพฯ ผมนี่สลิ่มเลย เป็นรอยัลลิสต์มาก่อนในระดับที่คุณนึกไม่ถึง
ไปม็อบพันธมิตรฯ ?
ไป แต่พอ ม. 7 ก็ถอย เริ่มตั้งคำถาม แต่ยังไม่ตาสว่าง เหมือนคนชั้นกลางส่วนใหญ่ คือถ้ามีอีเวนต์ใหญ่ๆ อย่างพฤษภาฯ 35 ผมก็ไป แต่หลังจากนั้นกลับมาเป็นมนุษย์เงินเดือนธรรมดา รัฐประหาร 49 ผมนิ่งๆ งงๆ มึน อะไรวะ เพราะโลกอินเทอร์เน็ตยังไม่เท่าไร เราดูข่าว 3 5 7 9 เท่าคนปกติ ไม่มีข่าวทางเลือกเท่าตอนนี้
ขยับยังไง ทำไมจากคนชั้นกลางทั่วไป กลายมาเป็นสนใจการเมืองมาก
โพรฟายผมทำงาน SCG นะ ของใครก็รู้อยู่ ผู้บริหารระดับบนๆ ออกโทนเหลืองทั้งนั้น ยังจำได้ ตอนศาลออกมาแอ็กชันการเมือง คนในบริษัทผมคุยกันว่าเป็นอัจฉริยภาพในหลวง เอาศาลออกมา ไม่เอาทหารออกมา ผมฟังผ่านๆ หู ตอนนั้นไม่รู้เรื่องเท่าไร บริษัทผมด่าทักษิณ และระดับดอกเตอร์สุเมธ ชุมสาย มาอบรมพนักงานเรื่องทศพิธราชธรรม คุณก็คิดดู
แล้วทำไมเคลื่อนมาปีกแดง
ต้องขอบคุณอินเทอร์เน็ต ยูทูบ เฟซบุ๊ก ไม่มีพวกนี้ผมก็คงเป็นสลิ่มเหมือนเดิม เทคโนโลยีมันเปิดโลกผม โดยพื้นผมสนใจการเมือง แต่ไม่ลึก มีต้นทุนบ้าง ช่วงปี 49-53 ผมมึนงง ยังไม่อินเสื้อแดงเพราะเราไม่รู้ข่าวสารทางเลือก ช่วงนั้นชีวิตเปลี่ยน กำลังคิดถึงชีวิตตัวเองเป็นหลัก แต่พอทำบ้านเสร็จ เสพข่าวสาร เน็ตมาเยอะ มันเปิดโลกเลย พื้นฐานผมชอบอ่านหนังสืออยู่แล้ว ‘ฟ้าเดียวกัน’ ออกมา ก็อ่าน ผมเชื่อว่าถ้ายังทำงานอยู่ก็อาจไม่ได้คิดแบบนี้เพราะงานเยอะ ตำแหน่งสูงขึ้น คงไม่ได้เปิดโลก ไม่ได้อ่านหนังสือ ภาระเยอะ ไม่มีเวลา ผมมาที่นี่ ผมมีเวลา เก็บข้อมูล วิเคราะห์ จนมาเป็นตัวเองทุกวันนี้ มีคนพูดว่าผมเหมือนลูกนัท (ธนัตถ์ ธนากิจอำนวย) คือเป็นรอยัลลิสต์มาก่อน ผมเถียงว่าไม่ใช่ ผมไม่รวยเท่ามัน (หัวเราะ) และเขาตาสว่างทีหลัง ช่วง กปปส. ผมไม่ใช่รอยัลลิสต์แล้ว
ค่อยๆ เคลื่อน หรือมีเหตุการณ์หักเห ?
อ่านเยอะ และมีเหตุการณ์มาคอนเฟิร์มว่าที่อ่านมามันใช่ ทุกวันนี้ผมเป็นพวกรีพับลิก ไม่ต้องปฏิรูปหรอก เสียเวลา เชื้อชั่วไม่มีวันตาย แต่ผมไม่ใช่คนเหยียดรอยัลลิสต์ มุมมองของใครของมัน แต่ถ้าจะคุยกันว่าตอนนี้เมืองไทยอยู่ในระบอบอะไร ให้ไปอ่านคำพิพากษาศาลรัฐธรรมนูญเรื่องล้มล้างการปกครอง คุณจะเข้าใจ ว่าเราอยู่ในระบอบการปกครองแบบไหน แค่นั้นเอง ขอบคุณอินเทอร์เน็ต ไม่งั้นผมแม่งคงบื้อใบ้ แล้วพอเริ่มรู้เยอะ มีม็อบ ผมก็ไป เคยเจออ้ายแสงดาว (ศรัทธามั่น) เจอพ่อไอ้ไผ่ (ดาวดิน)
ทำไมถึงไป เจ็ดร้อยกิโลฯ ไม่ใช่ใกล้ๆ จากน่านไปกรุงเทพฯ
ผมใช้ต้นทุนร่างกาย หอบตัวเองนั่งรถทัวร์ไป ไม่เคยบินเลยด้วยซ้ำ มันเป็นการไถ่บาปตัวเอง ผมคิดว่าการที่บ้านเมืองเสื่อมลงมาทุกวันนี้เพราะคนรุ่นเจนเอ็กซ์อย่างผมนี่แหละ รุ่นเบบี้บูมเมอร์ ทำให้บ้านเมืองเป็นแบบทุกวันนี้ มันต้องแก้ไขที่คนรุ่นผม อารมณ์คงเหมือนไฮโซลูกนัทมั้ง แม่งแค้นที่โดนหลอกมานาน ผมเป็นคนที่ไม่มีพลังในอินเทอร์เน็ตเลย วอยซ์ตัวเองในเน็ตไม่เป็น โพสต์ไม่เก่ง เล่าเรื่องไม่ได้ เขียนไม่เป็น แต่ผมสามารถทำตัวเป็นจำนวนนับได้
ยินดีไปร่วม ?
ถูก แค่หนึ่งเสียง
นั่งรถทัวร์ไปสิบชั่วโมงนะ ?
ไม่เป็นไร ผมก็หลับไป ไม่ได้ลำบาก อย่างมีม็อบวันเสาร์ ผมไปคืนพฤหัสฯ นอนก่อนวันหนึ่งเพื่อชาร์จแบตฯ
เช่าเกสต์เฮาส์แถวนั้น ?
อ้าว ก็คุณแนะนำผมเอง (หัวเราะ) เพิ่งรู้ตอนนั้นไงว่าที่พักร้อยกว่าบาทก็มี แต่หลังๆ แถวข้าวสารปิดหมดแล้วนะ ผมไปตั้งแต่ม็อบเยาวชนปลดแอกที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย ไปด้วยความอยากไถ่บาปคนรุ่นตัวเอง บวกแรงแค้น แม่งหลอกกูมา 40-50 ปี
ไปม็อบมาแล้วกี่ครั้ง
เฉลี่ยเดือนละครั้ง จนเจอโควิด ก็หยุดไป ปีที่แล้วนั่งรถทัวร์จากทุ่งช้าง ลงวิภาวดี หารถต่อไปบางลำพู
ปลา : นี่แหละที่เขาอยากย้ายไปลพบุรี (หัวเราะ)
ทศพล : ก็เกินไป ไม่ใช่หรอก เพราะเกิดวันหนึ่งประเทศเป็นประชาธิปไตย แล้วจะไปทำไมตรงนั้น ใช่มั้ย สำหรับผม การไปม็อบ ไม่มีอะไรลำบาก ผมอยากไป ไปให้มากที่สุดเท่าที่ไปได้ ถ้าไปไม่ได้ก็เป็นท่อน้ำเลี้ยง ภารกิจเป็นแบบนี้ อย่างที่บอกว่าบ้านเมืองเป็นแบบนี้เพราะคนรุ่นผมทำให้ฉิบหาย ผมอยากเปลี่ยน อยากให้บ้านเมืองดีกว่านี้ คิดแบบเห็นแก่ตัว ถ้าบ้านเมืองดี ตอนแก่เฒ่า ผมก็มีคุณภาพชีวิตที่ดีกว่านี้ รัฐจะดูแลผมได้ดีกว่านี้ ถ้ารัฐห่วย ผมก็ลำบาก แน่นอนว่าในมุมหนึ่งผมกำลังทำเพื่อตัวเอง เห็นแก่ตัว เรื่องปกติของมนุษย์ ผมเรียกร้องในสิ่งที่รัฐควรทำให้เรา
ปัญหาของประเทศไทยคืออะไร ทุกวันนี้
เรามีสถาบันกษัตริย์ที่อยู่ในสถานะที่ไม่สอดคล้องกับระบอบประชาธิปไตย ยังไปจากนี้ไม่ได้ แก้ไม่ได้ เมืองไทย ใครบอกว่าปัญหามีหนึ่ง สอง สาม สี่.. ผมบอกไม่ใช่ ปัญหาอยู่ที่สถาบันกษัตริย์อย่างเดียวเลย แก้เรื่องนี้ได้เมื่อไร จบ
ปัญหาสถาบันกษัตริย์ส่งผลต่อเรื่องปากท้องคนยังไง
เอาง่ายๆ นะ โควิดที่เกิดขึ้น ทำไมถึงเยียวยากันกะปริบกะปรอยแบบนี้ ขณะที่คนอีกครอบครัวหนึ่งมีเงินใช้สามหมื่นกว่าล้านต่อปี ใช้ชีวิตอยู่ต่างประเทศ มีข้าทาสบริวารเป็นร้อย การบริหารทรัพยากรประเทศนี้มันผิดเพี้ยน ถ้าเราไม่ต้องจ่ายสามหมื่นล้านตรงนี้ เอามาจัดการ ดูแลชีวิตคน คุณลองดูว่าจะดีขึ้นเท่าไร ผมไปกรุงเทพฯ ทุกครั้ง ผมไปถนนราชดำเนิน คนไร้บ้านเยอะมาก นอนเกลื่อน เป็นดัชนีว่าคนอดอยากเยอะมาก
แต่เขาเองก็ลำบาก ?
(หัวเราะ) ผมคิดว่าคนรุ่นผมน่าจะรู้สึกคล้ายกัน เราโดนหลอกมาตลอด เคยซาบซึ้ง พอตาสว่างก็พบว่ามันเป็นแค่การแสดง แต่คนรอบๆ ตัวผมก็ยังมีนะ ที่สนับสนุน ม. 112 และสนับสนุนประยุทธ์
เคยลองโน้มน้าวเพื่อนบ้างมั้ย
ปูนนี้แล้วคุณ สิ่งดีงามในมุมเราอาจไม่ดีสำหรับเขา ก็แล้วแต่ การไปโน้นน้าวไม่มีประโยชน์ ผมไม่ยุ่งกับใคร ใครจะคิดยังไงก็ตามสบาย ส่วนผม ผมพยายามไถ่บาป เพราะเราเคยเป็นส่วนหนึ่งที่สร้างระบอบนั้นขึ้นมา ม็อบที่กรุงเทพฯ ผมไปได้ มีทุน มีเวลา
น่านและทางไกลไม่เป็นอุปสรรค ?
อุปสรรคในแง่ นัดวันนี้ พรุ่งนี้ม็อบ (หัวเราะ) ผมไปไม่ได้ เคลียร์งานไม่ทัน เออ บอกล่วงหน้าสักอาทิตย์ ไม่มีปัญหา เพราะถ้ากูไม่ทำ เมียกูต้องทำ ไม่อยากเป็นภาระเมีย ผมถือคติว่าถ้าจะไป งานผมต้องเสร็จนะ ไม่ใช่ทิ้งภาระให้เมีย และผมต้องจองรถทัวร์ หาที่พัก จิปาถะ แต่ไม่ว่าเขา สถานการณ์มันเลือกไม่ได้ทุกอย่าง
ความเข้มข้นลดลงมั้ย ทางไกลๆ ?
ไม่ ยิ่งม็อบซา ผมยิ่งคิดเยอะ ผมเคยเจอแม่เพนกวิน ดูแววตา ผมสงสัยว่าทำไมประเทศนี้มันทำกับคนบางครอบครัวได้ขนาดนี้วะ ผมคุยกับพ่อไผ่แล้วสงสัยว่าคนอย่างนี้เหรอวะ มึงเอาลูกเขาเข้าคุก แกใจนักเลง คนจริง แกแค่หวังให้บ้านเมืองดี ทำไมคุณไปจับลูกเขาขังคุก การต้องรักษาสิ่งนี้ไว้เพื่อให้คนไม่กี่คนเสพสุข แค่นั้นเองเหรอ เพื่อจะมีเครื่องบิน บินเมื่อไรก็ได้ มีเมียกี่คนก็ได้ แค่นั้นจริงๆ เหรอ แต่ถ้าเรามองย้อนประวัติศาสตร์ไกลๆ ถามว่าชนชั้นนำรักษาอำนาจเพราะอะไร คำตอบก็ชัดเจนว่าเพื่อตัวเองได้เสพทรัพยากรโดยไม่มีข้อจำกัด ได้ใช้ชีวิตอยู่เหนือคนอื่น เท่านั้นเอง เขาไม่เคยคิดเรื่องพัฒนาประเทศ
ทำไมคุณถึงชอบอ่านหนังสือ
สมัยเรียนผมไม่ใช่นักอ่าน เริ่มอ่านตอนไปบวชเดือนหนึ่ง มันว่างมั้ง วัดชลประทานมีห้องสมุด พออ่านก็ชอบ มันเปิดโลกทัศน์เรา แม้บางครั้ง ณ ตอนนั้นไม่เก็ต เช่น ‘ปีศาจ’ อ่านมานานแล้ว เป็นหนังสือที่ดี แต่ไม่เก็ตนัยที่ซ่อน อาศัยสภาพแวดล้อมและประสบการณ์การอ่านมาพอ ถึงจะได้เมสเสจบางอย่างในวรรณกรรม ถ้าอ่านช่วงบ้านเมืองไม่มีอะไร อ่านแล้วก็เฉยๆ
ปลา : ที่บ้านมีตู้หนังสือ เราได้อ่านตั้งแต่ประถมฯ อ่านการ์ตูนญี่ปุ่น ไม่ชอบดูทีวี แล้วพอโต เข้ากรุงเทพฯ เวลาเดินทางกลับบ้าน ยืนรอรถอยู่หน้าร้านหนังสือ วันหนึ่งเห็น ‘6 ตุลาฯ เราคือผู้บริสุทธิ์’ น่าสนใจ ซื้อมาอ่าน คราวนี้เริ่มบ้า (หัวเราะ) หลังจากนั้นกลับบ้านทุกครั้งเราโทรฯ หาเพื่อน คุยการเมืองกัน แล้วพอไปเรียนรามฯ เข้าค่ายอาสาฯ ก็อ่านเยอะขึ้น มีงบซื้อหนังสือทุกเดือน เป็นคนไม่อินเรื่องศาสน์กษัตริย์มาตั้งแต่เด็ก แต่ไม่ได้เกลียด ข้อมูลในวัยนั้นก็ไม่มีด้านลบ เผอิญเป็นคนไม่ดูทีวีอยู่แล้ว เลยเข้าวัดไม่เป็น ไม่อินหลายๆ เรื่องที่คนอื่นอิน
ทศพล : คนไทยที่สนใจการเมืองปัจจุบันเคยเป็นสลิ่มมาทั้งนั้น เพราะการศึกษามันสอนมาแบบนั้น ร้องเพลงสรรเสริญ ดูข่าวสองทุ่ม ไม่แปลกเลยที่เป็น แต่จะแปลกมาก ถ้าถึงทุกวันนี้คุณยังเป็นสลิ่ม แสดงว่าขนานแท้
ปลา : ตอนเรียนรามฯ ไปค่ายอาสาฯ ช่วงปลายพฤศจิกาฯ กลับเข้ากรุงเทพฯ ก่อน 5 ธันวาฯ นึกออกมั้ย เราอยู่ค่ายชนบทห่างไกลไม่มีไฟฟ้า พอรถเข้ากรุง โห แม่ง ไฟจะติดอะไรเยอะแยะ เปลืองว่ะ
ทุกวันนี้เสพสื่ออะไรบ้าง
ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก ยูทูบ ดูข่าวการเมือง ผมไม่ติดช่องทางไหนเป็นพิเศษ จะดูเป็นคนๆ มากกว่า เช่น ถ้าเปิดเจออาจารย์นิธิ (เอียวศรีวงศ์) ผมฟัง อาจารย์ชาญวิทย์ (เกษตรศิริ) ฟัง อาจารย์ปิยบุตร (แสงกนกกุล) ฟัง สมศักดิ์ เจียมฯ ไม่ฟังก็ต้องฟัง เพราะกดติดตามเขาไว้ (หัวเราะ) เช่นเดียวกับพวกข่าวราชสำนัก ผมดูหมด เพราะอยากรู้มูฟเมนต์
ข่าวหลักที่ดูคือการเมือง ?
ใช่ ชอบเป็นการส่วนตัว ที่ชอบอีกอย่างคือพวกอวกาศ เป็นรสนิยม แล้วก็ชอบดูหนังมาก แต่มันไม่มีให้ดู ไลฟ์สไตล์เราตอนนี้คือดูมือถือ มันไม่สะดวก ทั้งที่ชอบดูหนัง cinema paradiso ดูหลายรอบ
การอยู่น่านก็นับว่าสูญเสียในเรื่องนี้ ไม่มีโอกาสเท่าคนกรุงเทพฯ ?
สูญเสีย อยู่น่าน มีโรงหนังแค่ในบิ๊กซี แต่โอเค มันเป็นเงื่อนไขที่คุณต้องยอมรับ ผมไม่ต้องการอะไรมาก ถึงจุดหนึ่งต้องทิ้งหมดอยู่ดี ไม่ได้บรรลุธรรม แต่มองแบบนี้ ความตายมารอแล้ว ไม่เกินเจ็ดแปดสิบปี ผมไม่ได้อยากอายุยืนยาว ขอตายดีกว่า ถ้าช่วยตัวเองไม่ได้
การตัดสินใจย้ายจากกรุงเทพฯ มาน่าน เป็นสิ่งที่ถูกหรือผิด
ถูกสิ ได้อยู่ในวิถีชีวิตที่อยากอยู่
ปลา : อยู่ในที่ชอบที่ชอบ ในขณะที่ยังมีลมหายใจ
ทศพล : ผมชอบอยู่แบบนี้ ไม่สุงสิงกับใครมากมาย
เป็นชีวิตในฝัน เลือกได้ตามใจตัวเอง ?
ได้ เป็นไปตามเป้าหมาย
เรื่องกวนใจมีมั้ย
มีบ้าง แต่ขี้ปะติ๋ว อย่างที่เขามาปลูกสร้างร้านค้าริมน้ำ หรือเสียงประกาศตอนเช้า วันไหนเราอยากนั่งเงียบๆ ก็รำคาญ บางวันก็เฉยๆ คือผมเข้าใจการสื่อสารในหมู่บ้านว่าก็เป็นแบบนี้ ข่าวสารทางการนั่นนี่ เขาไม่ได้พูดไร้สาระทั้งหมด แค่พูดไปเรื่อย เพราะอาจจะขมวดประเด็นไม่เป็น
ปัญหาหรือความทุกข์ ที่อยู่ที่น่านมีอะไรอีกบ้าง
ปลา : กลางวันแดดร้อนมาก (หัวเราะ)
ทศพล : ที่เป็นชิ้นเป็นอันไม่มี เราไม่ได้อยู่ในยูโทเปีย ถ้าให้นึก ผมว่าเรื่องหลักสุด ใหญ่สุด ไม่มีนะ
ปลา : มันไม่มีประเด็น ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราแย่ เท่าที่อยู่มาสิบปี ดีเกิน 95%
ทศพล : สังคมต่างจังหวัดมีคาราโอเกะ แหกปากกันลั่น เรารำคาญ สี่ห้าทุ่มไม่หยุด ความเงียบเป็นทรัพยากรที่มีค่า สังคมไทยไม่ค่อยให้ค่ากับความเงียบเท่าไร แต่มาเป็นครั้งคราว โดยรวมไม่ได้อึกทึก ส่วนใหญ่เงียบ มีแค่ช่วงเทศกาลซึ่งเราเข้าใจ โลกนี้ไม่มียูโทเปียหรอก
แล้วข้อดีล่ะ ความสุขคือ..
คนที่นี่เป็นมิตร ไม่ซับซ้อนเท่าคนที่ผมรู้จักตอนทำงาน ไม่มีเล่ห์เหลี่ยม ทำให้เราไม่เกร็งมาก ไม่ต้องตั้งการ์ด แล้วที่นี่ ผมไม่เคยได้ยินว่ามีปัญหาโจรขโมย ส่วนตัวก็ไม่เคยโดน แล้วถ้าไม่ไปยุ่งกับเขา เขาก็ไม่มายุ่งกับเรา ในความหมาย เฮ้ย มากินเหล้ากัน ไม่มี มาใหม่ๆ มี ช่วงก่อสร้างผมกินข้าวกินเหล้ากับเขาบ้าง แต่กินแก้วเดียว เลิก มีบ้านแล้วอยู่บ้าน ผมชอบอยู่เงียบๆ
อยู่น่านสิบปี รู้จักผู้คนแค่ไหน
น่านออริจินัลไม่เยอะ คนที่อื่นมารุ่นๆ เดียวกันก็พอรู้จัก โดยรวมเป็นสังคมที่ไม่เหมือนสมัยทำงาน อย่างที่บอก ที่นี่แค่ผ่านๆ สวนๆ ผมไม่ไปสังสรรค์กับใคร เคยเรียกกินทีไร ก็แก้วเดียว เลิก หลังๆ ก็ไม่เรียกแล้ว ผมชอบชีวิตเงียบๆ อยู่กับเมีย
คน เป็นเรื่องที่ชอบ แล้วข้อต่อมา ?
เราได้ใช้ชีวิตไปตามความต้องการแทบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ สมัยทำงานกรุงเทพฯ มันมีเรื่องเป้ายอดขาย มีนั่นนี่ สารพัด และต้องทำให้คนอื่นหมด เพราะเขาจ่ายเงินเดือนให้เรา ชอบ ไม่ชอบก็ต้องทำ แต่ที่นี่ ไม่ชอบก็ไม่ทำ แค่นั้น นี่แหละเป็นสิ่งที่ผมว่าคนในเมืองอยากได้ ไม่ต้องใช้ชีวิตตามเส้นขีดของคนอื่น
ลงตัว ?
ถ้าไม่พูดเรื่องตอนแก่จะอยู่ยังไง แม่งโคตรลงตัว วงจรชีวิตผม ทำสวน ดูข่าว ทำกับข้าวให้เมียกิน อ่านหนังสือ สี่โมงไปวิ่ง กลับบ้าน กินข้าว ดูข่าวนิดหน่อย นอน
สร้างโลกของตัวเอง ?
ใช่ เราจะออกไปภายนอก เมื่ออยากไป โลกภายนอกไม่เข้ามาหาเรา อยู่สวนไม่เหมือนชีวิตในเมืองที่ทุกอย่างจะเข้ามาหาเราอยู่เรื่อย อยู่ที่นี่ ถ้าเราอยากเจอ เราออกไป ไม่อยากเจอ ก็อยู่บ้าน
นาทีขึ้นป้ายบอกขายบ้าน อาลัยอาวรณ์น่านมั้ย
เมียอาลัยอาวรณ์มากกว่าผม
ปลา : ไม่อยากไป
เพราะอะไร
ปลา : ก็ไม่อยากไป ชอบอยู่ที่แบบนี้
ทศพล : เรามองชีวิตจริง อายุเจ็ดแปดสิบจะอยู่ยังไง อยู่ยาก ช่วยอีกคนไม่ไหว เราอยากอยู่ในที่ช่วยตัวเองได้บ้าง
ไม่อาลัยอาวรณ์เหรอ ตอนขึ้นป้ายขายบ้าน
รู้สึกสิ แต่ชีวิตมันต้องเดินต่อไป ผมเป็นคนที่ แม่งกูเหมือนมหาไพรวัลย์ตัดสินใจสึก ก็สึก ขายก็ขาย แค่นั้น ถามว่าลึกๆ รู้สึกมั้ย รู้สึกมาก แต่ทำไงได้ ให้อยู่ ถ้าไม่อุบัติเหตุตาย เริ่มถือไม้เท้า จะเรียกให้ใครมาช่วย ไม่อยากเป็นภาระใคร ควรอยู่เขตเมืองมีอะไรดูแลเราได้ดีกว่า แล้วถ้าถามว่า ถึงตอนนั้นค่อยไปไม่ได้เหรอ เฮ้ย มันไม่ง่ายขนาดนั้น ไอ้ห่า มันต้องเตรียมการ การย้ายไปลพบุรีก็มีหลายเรื่องต้องจัดการ ถมที่ คุยกับผู้รับเหมา แต่ถมเสร็จก็อยู่นี่แหละ ตราบใดที่ยังขายไม่ได้
ถ้าขายได้วันนี้เลยล่ะ
ก็ไปนอนบ้านพี่สาว
พร้อมออก ?
พร้อม ขอเวลาเดือนหนึ่ง ขนของ ผมว่าง่ายกว่าตอนที่ออกจากกรุงเทพฯ เพราะลพบุรี ญาติเมียทั้งนั้น ตอนมาที่นี่ ไม่มีใครเลย
ใจหายแค่ไหน ถ้าต้องไป เดือนหน้า
ปลา : ยังไม่อยากไป แต่มันต้องไปมั้ง ขึ้นป้ายขายแล้ว
ทศพล : จริงๆ ถ้าเรายอมให้คนต่อราคา ก็ไปนานแล้ว
ขายเท่าไรนะ บ้านหลังนี้
สี่ล้านสอง เขาขอต่อสามล้านห้า ถามว่าพอมั้ย ก็พอ ยอมรับได้ แต่ผมไม่จำเป็นต้องบีบตัวเองลง ราคาไม่พอใจ กูไม่ไป เพราะเราไม่เดือดร้อน
ตอนมาอยู่น่าน วางแผนใช้เงินเดือนละห้าพัน ไปลพบุรี กะว่าจะใช้เท่าไร
ปลา : เดือนละหมื่นจะอยู่หรือเปล่า
ทศพล : แต่อยู่ลพบุรี มีช่องทางหาเงินได้มากกว่าที่นี่
ที่บอกว่าก่อนมาอยู่น่านวางแผนใช้เงินเดือนละห้าพัน พออยู่ไปก็ทำได้ตามเป้า คำถามคือยังใช้ห้าพันมาจนทุกวันนี้เลยมั้ย
ปลา : ก็ใช่
ทศพล : ต้องเข้าใจว่าผมไม่ไปไหน ผมอยู่แต่บ้าน ยกเว้นไปม็อบที่ใช้มาก ใช้เกือบจะเท่าอยู่ที่นี่เดือนหนึ่ง ถ้าไม่ไป ผมสบายๆ
รายได้จากการขายผลิตผลเกษตรกรรมเป็นยังไง
ปลา : เฉลี่ยราวๆ เดือนละสามพัน
ทศพล : รวมเป็นแปดพัน แต่เราไม่ได้ดึงต้นทุนมาใช้ เลยมีเงินออมเพิ่ม ปกติผมแทบไม่ใช้เงินเก็บเลย นอกจากซื้อรถ นอกนั้นปล่อยมันผลิดอกออกผลไป เรื่องเงินมันอยู่ที่คุณใช้ชีวิตที่ไหน ถ้าอยู่กรุงเทพฯ เดือนละห้าพัน มันเป็นไปไม่ได้ แล้วแน่นอนว่าไลฟ์สไตล์ก็สำคัญ คุณกินข้าวมื้อเท่าไร หรือมีภาระต้องเลี้ยงดูใครมั้ย
เข้าวงการคริปโตฯ กับเขาด้วยมั้ย
อะไรที่ไม่รู้ ผมไม่ยุ่ง ผมซื้อพวกกองทุน จ้างคนอื่นเล่น ..ตอนนี้ค่าครองชีพสูงนะ ปีที่แล้ว ผมไปม็อบ กินข้าวมันไก่จานหนึ่งปาเข้าไป 50-55 แล้ว ที่น่าน 30 ยังหากินได้ น้ำให้ฟรี ค่าครองชีพที่น่านยังต่ำ เป็นเสน่ห์อย่างหนึ่ง ความเห็นผม สิบปีมานี้น่านเปลี่ยนเร็วเหมือนกัน และส่วนใหญ่เปลี่ยนไปในทางที่ดี
รักน่านมั้ย
รักสิ ผมเป็นคนกรุงเทพฯ แต่ความรู้สึกว่าบ้านเกิดมันไม่มี ไม่ผูกพัน แต่ที่นี่เราสร้างมันมากับมือ ทะเบียนบ้านอยู่ที่นี่ คือความเห็นผม บ้านเมืองไหนจะเจริญ มันต้องพหุสังคม ถ้าแบบเดียว น่านมีแต่คนน่าน ผมว่าไม่เจริญ อยุธยาเจริญเพราะอะไร มันเป็น cosmopolitan มีคนหลากหลาย เชียงใหม่เจริญเพราะอะไร ถ้าจะฟรีซน่าน ไม่รับคนนอก แล้วแต่นะ จะเอาแบบนั้นเหรอ ผมไม่เห็นด้วย ควรโอบรับคนที่หลากหลายขึ้น ถ้าคุณต้องการให้บ้านเมืองเจริญ ผมเคยเจอมุมมองคนน่านทำนองว่าคนนอกมาอยู่เยอะ ทำให้เสียอัตลักษณ์ ผมงง คุณโหยหาความเจริญไม่ใช่เหรอ มีร้านสะดวกซื้อ รถทัวร์ เครื่องบิน มันไม่ดีเหรอ ผมมองว่าเราควรโอบรับความหลากหลาย มีมิตรภาพซึ่งกันและกัน คุณกลัวเรื่องเสียอัตลักษณ์ ผมถามว่ามีอะไรที่เป็นออริจินัลน่าน อ่านประวัติศาสตร์มาก็จะเห็นว่าน่านรับสุโขทัยกับหลวงพระบางมาผสมกัน เหมือนพวกที่บอกว่านิยมไทย ผมถามว่าอะไรคือความเป็นไทย มันไม่มีออริจินัลหรอก ทุกอย่างเคลื่อนและผสมกันหมด หลากหลายดีกว่า ช่วยกันพัฒนาให้มันน่าอยู่
ถ้าอีกห้าปี ไปอยู่ลพบุรีแล้วนั่งคุยกับเพื่อนบ้าน จะเล่าอะไรที่น่านให้เขาฟัง
ปลา : กูไม่น่าจากมาเลย (หัวเราะ)
ทศพล : ยังตอบไม่ได้ ผมไปลพบุรีแค่แป๊บๆ
ปลา : เราเคยอยู่ไง ถึงพูดได้ว่าเราไม่อยากไป
ทศพล : ผมพร้อมปรับตัว ถ้าเราจะอยู่โลกใบนี้ ไม่ปรับตัว ไม่ได้ คุณต้องปรับตัว อายุเท่าไรก็ปรับตัว ตราบใดยังมีลมหายใจ อายุแปดสิบเก้าสิบก็ต้องปรับหมด ไม่ใช่ว่าแก่แล้วไม่ต้องปรับ
จะมาเที่ยวน่านอีกมั้ย
มาสิ
กล้ามาที่บ้านนี่มั้ย
ปลา : ไม่เอา ไม่มา
ทศพล : ส่วนตัวเลยนะ ผมจะไม่มา
ปลา : ไม่มา เพราะเราไม่ได้อยากไป
ทศพล : อาจดูแบบ โง่เง่า ผมเชื่อว่าคนมาอยู่ใหม่เขาก็ปรับปรุงเปลี่ยนแปลง ผมไม่อยากเห็น ผมอยากจำบ้านหลังนี้ไว้ในความทรงจำ ผมไม่อยากเห็นของใหม่
ปลา : เราอยากเห็นในแบบของเรา
รักต้นไม้ทุกต้น ?
รัก แต่บางต้นตัดทิ้งเหมือนกัน ต้นไม้สร้างสภาพแวดล้อมที่ดีให้เรา ไม่ใช่ห้ามตัด ตัดไม่ได้ ไม่ใช่ ผมรักบนพื้นฐานความจริง ประนีประนอมเพื่อนบ้าน ถ้าผมยืนกรานไม่ตัด เขาทำอะไรผมไม่ได้หรอก ที่ของเรา แต่เขาบอกรบกวน เรายอมตัดได้ ต้นโกโก้เขาไม่โต ส้มไม่โดนแดด เราตัดก็ตัด
ปลา : ไม่ได้ทำให้ชีวิตเราแย่
ทศพล : ถ้ายืนกราน มันจะกลายเป็นข้อขัดแย้ง ผมสร้างศัตรูไว้ข้างบ้าน ใช่มั้ย ฉะนั้น ตัดต้นไม้ทิ้ง เพื่อรักษาเพื่อนบ้านดีกว่า เราไม่ชอบเป็นศัตรูกับใคร
ลองนึกภาพว่าถ้าขาย ต้องเก็บข้าวของออกจากบ้าน น้ำตาจะไหลมั้ยเนี่ย
ตอบไม่ได้ ผมยังไม่ผ่านจุดนั้น
ปลา : ไหลแน่นอนค่ะ อาจจะเพราะว่ารู้จักลพบุรีด้วยไง มันคือที่ที่กูไม่อยากไป (หัวเราะ) ที่นี่มันคือแบบที่เราชอบ ที่โน่นคือสิ่งที่ต้องไป
กิจกรรมแต่ละวันที่ลพบุรี คงเปลี่ยนไปจากที่นี่พอสมควร ?
ผมจะดูหนัง ติดเน็ตฟลิกซ์ ดูแม่งให้หมด แก้แค้น อยู่ที่นี่ดูไม่ได้ อื่นๆ ก็อ่านหนังสือเหมือนเดิม ทำกับข้าวให้เมียกิน ผมไม่มีเป้าหมายในทางการเงิน แค่นี้ พอแล้ว ภาระไม่มี ตั้งเป้าอย่างเดียวในชีวิตว่าแก่ตัวจะไม่เป็นภาระใคร จะดูแลตัวเอง
เหลืออะไรที่ยังไม่ได้บ้าง ชีวิตนี้
ก็ประชาธิปไตยนี่แหละ เป็นความคาดหวังเชิงจิตวิญญาณ ไม่ใช่รูปธรรม ผมอยากให้บ้านเมืองดี บางทีปากบอกว่าไม่รักชาติบ้านเมือง แต่ลึกๆ ผมรักมันนะ อยากให้คนรุ่นหลังไม่เจอสิ่งเหี้ยๆ อย่างที่ผมเจอ ไม่เจอการหลอกลวงเก่าๆ ผมมองว่าประเทศนี้ดีกว่านี้ได้อีกเยอะ เยอะมากๆ ด้วย ติดอยู่ที่เรามีกษัตริย์ที่ไม่ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดีในระบอบประชาธิปไตย
ถ้ามีประชาธิปไตยแล้วมันจะดียังไง
อย่างน้อย เสียงเราจะมีความหมาย เอาง่ายๆ คุณดูม็อบจะนะที่มาหน้าทำเนียบ มึงต้องสลายการชุมนุมแล้วเหรอ มันไม่มีสิทธิ์มีเสียงเลยเหรอ ประชาชน ใช่มั้ย อย่างน้อยถ้ารัฐบาลประชาธิปไตย มันไม่กล้าทำแบบนั้นหรอก ปัจจุบันมันไม่ใช่ไง เราไม่ใช่เจ้าของประเทศ เราเป็นแค่ subject ที่ถูกปกครอง ซึ่งพูดในแง่ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์แล้วแม่งโคตรบั่นทอน มึงเป็นแค่พสกนิกร มึงไม่ใช่ประชาชน ลึกๆ เราก็หยิ่งในศักดิ์ศรี เราอยากเป็นประชาชน เป็นเจ้าของประเทศ อยากให้เสียงของเรามีความหมาย เรามีสิทธิ์จะพูด โดยไม่ต้องกลัวว่าจะมีใครมาจับไปขัง ตอนนี้มันไม่ใช่ไง ครั้งหนึ่งผมไปม็อบ ตอนไปยื่นจดหมายถึงกษัตริย์ แม่งฉีดน้ำ ผมขึ้นเลยนะ กูเพิ่งมา ไอ้สัส โอ้โฮ มึงเห็นกูเป็นมดปลวกอะไรวะ กูยังไม่ทำเหี้ยอะไรเลย แค่เดินไปยื่นจดหมาย รู้สึกว่าเราไม่มีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ผมต้องการกู้คืนศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผมแค่นั้นเอง เราไม่ใช่ฝุ่นใต้ตีนใคร
จะทันได้เห็นประชาธิปไตยมั้ย ในช่วงชีวิตนี้
หวังว่าจะได้เห็น กลัวอย่างเดียว กลัวเรื่องนองเลือด ผมมองว่าไม่ควรมีคนตายแม้แต่คนเดียว สมมุติเราชนะ ได้ประชาธิปไตยแล้ว มันจะตายหนึ่งคน ร้อยคน ก็ไม่แฟร์ เพราะเขาไม่มีโอกาสได้เสรีภาพแบบเรา เวลาผมย้อนทบทวน ถอยไปถึงปี 53 หรือคิดไปถึงลุงนวมทอง ผม toxic กับตัวเอง ทำยังไงวะ เอาแบบไม่มีคนตายแล้วชนะ คิดไม่ออก คิดจนหัวทะลุ ถามว่าผมพร้อมจะตายมั้ย ผมไม่อยากตาย อยากมีชีวิต ผมไม่เรียกร้องให้ใครนำหน้า มึงเอาอกรับกระสุนสิ กูอยู่ข้างหลัง มันไม่ใช่ คิดไม่แตกว่าจะไปยังไง ผมถึงคารวะจิตใจคนกล้าแลก คารวะเพนกวิน อานนท์ รุ้ง ไมค์ หรือใครก็ตามที่สู้อยู่แนวหน้า ผมคารวะว่าผมทำแบบเขาไม่ได้ ไม่มีศักยภาพการนำมวลชน และไม่กล้าพอที่จะเอาชีวิตไปติดคุก ผมคิดว่าวันหนึ่งถ้าชนะแน่ๆ รัฐไทยต้องชดเชยให้พวกเขา ชดเชยไปถึงลูกหลานลุงนวมทอง คนเสื้อแดง รัฐไทยต้องไม่ลืมคนพวกนี้ เรามีชีวิตรอด เราต้องจ่าย เพราะเรารอดชีวิตจากการที่คนเหล่านั้นเสียสละ.
nandialogue
เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์
ภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น