interview nandialogue
interview

ไม่ใช่แม่พิมพ์ของชาติ ไม่ใช่เรือจ้างจ้วงฝีพายส่งใครเข้าฝั่ง ขอเป็น Facilitator

“เมืองนอกมันสวยดีนะ” เด็กหญิงออมเห็นภาพในทีวี “เราน่าจะได้ไปบ้าง”

อยากท่องเที่ยว อยากเดินทางไปไหนต่อไหน และถ้าจะไป มันก็ต้องพูดภาษาอังกฤษให้ได้สิ

ตอน ป.4 ได้เรียนกับครูแคนาดา อยากคุยกับครู อยากรู้ว่าครูพูดอะไร ยิ่งตอนครูเขียนการ์ดให้ด้วยข้อความสั้นๆ เธออ่านไม่ออก นั่นยิ่งเป็นเชื้อเพลิง จุดไฟกับตัวเองว่าต้องฝึกอ่านเขียน ขยันเรียนหนังสือ

วันนี้ ออม–ภูริชญา สุทธิไส เป็นครูสอนภาษาอังกฤษ อยู่ที่โรงเรียนบ้านตอง อำเภอแม่จริม จังหวัดน่าน
เธอนิยามตัวเองว่าเป็น Facilitator คือคนที่คอยสนับสนุน สร้างสื่อ หรือสถานการณ์การเรียนรู้ที่เอื้อต่อการเรียนรู้ของผู้เรียนที่มีความหลากหลาย สอนให้เขาเข้าใจในความแตกต่างของตนเอง และคนอื่น พร้อมทั้งทำให้เด็กเห็นศักยภาพของตนเอง

เราเริ่มต้นคุยกันถึงครูในความทรงจำ ครูออมนึกถึงครูภาษาอังกฤษคนหนึ่ง สมัยเธอเรียนชั้น ม.3

“สวย เซ็กซี่ ใจดี ลุคเฉี่ยวๆ หน่อย สมัยนั้นเขาไม่ค่อยแต่งตัวเปรี้ยวกัน เราชอบรูปร่างของอาจารย์คนนี้ ดูเป๊ะ มีเสน่ห์ดึงดูด ดูน่าเรียนด้วย ตอนนี้อายุ 60 กว่าแล้ว แต่ก็ยังสวยอยู่นะ ..เวลาครูแต่งตัวดูดีหรือสวยมันก็เหมือนเป็น role model ให้เห็นว่าการแต่งกายดูมีสุนทรียภาพ เหมือนเป็น first impression”

อีกคนคือครูภาษาไทย ที่สตรีศรีน่าน คนนี้มีบทบาทสำคัญทำให้รักการอ่าน การเขียน

“มีชมรมฝั่งน้ำน่าน ในชมรมก็จะเป็นบ้านไม้สองชั้นที่ใช้เป็นสถานที่อารมณ์กบดาน คาบไหนว่าง เด็ก ม.4-ม.5 ก็จะใช้ชีวิตกันอยู่ที่นั่น ไปนอนกลิ้งเกลือกอยู่ตรงนั้น รื้อๆ ค้นๆ หนังสือออกมาอ่าน จำได้บ้างไม่ได้บ้าง อ่านไปเรื่อยๆ ทำให้ได้มุมมองหลากหลาย ทำให้เรามีคำถาม มีอะไรก็จะพยายามสืบค้น”

คนถัดมาเจอกันที่มหาวิทยาลัยเชียงใหม่

เปรียบเป็นนักมวยคือหมัดหนัก นิสัยโต้แย้งตลอดเวลา เพื่อท้าทายให้นักศึกษาถกเถียง

“อาจารย์เป็นคนตรงๆ กล้าคอมเมนต์ กล้าด่า แล้วด่าแรงด้วย สมมุติว่างานมันไม่โอเค เขาจะไม่อ้อมค้อม ยิงปืนนัดเดียว ปัง! หงายหลังเลย ถ้างานที่เราทำมามันไม่ดี คอนเซ็ปต์ไม่ได้ เขาพูดคำเดียวเลย–ชุ่ย ตอนนั้นก็คิดว่ามันแรงนะ แต่ก็ทำให้ได้ฉุกคิด กลับมาทบทวนใหม่”

ทบทวนรากเหง้าพอให้เห็นร่องรอยอดีต และนาทีนี้ เครื่องบันทึกเสียงของเราเริ่มทำงาน..

 

interview

 

จากครูที่เคยเห็นตอนเป็นนักเรียน แล้วพอมาถึงบทบาทที่ต้องเป็นครู สิ่งต่างๆ ที่เคยเห็นมามีผลกับการเป็นครูทุกวันนี้แค่ไหนอย่างไร

มีผล เราเป็นค่าเฉลี่ยของ role model หลายๆ คนรวมกัน ได้มาอย่างละนิดละหน่อย พยายามหยิบจับสิ่งที่ดีมาปรับใช้ เช่น แต่งหน้าบ้าง ไม่ใช่จืด โล้น คิ้วไม่มี ไปสอน ใส่ต่างหูให้พองาม ไม่รุงรัง พูดง่ายๆ ว่าให้เรียบหรูดูแพง น้อยแต่สวย ไม่หวือหวา ดูรวมๆ ให้สวย บางวันก็บ้าบอหลุดโลกไปเลย เป็นไปตามกิจกรรมที่ไปสอน ใส่วิกบ้าง วันไหนอยากหัวเขียว หัวแดง บางวันใส่ชุดไทย ชุดชนเผ่า เด็กทุกคนจะมีภาพจำครูออมแบบที่เห็นติ่งหูแล้วรู้เลย

เปลี่ยนลุคไปสอนเพราะอะไร

เป็นเหมือนการดึงดูดความสนใจผู้เรียน จริงๆ ครูคือสื่อในชั้นเรียนนะ บางทีไม่จำเป็นต้องใช้กระดาษ แค่เห็นครูมีลุคเปลี่ยนไป ความดึงดูดมันเพิ่มขึ้นอยู่แล้ว มันว้าว แต่ไม่ใช่แต่งตัวบ้าบอทุกวัน ต้องดูว่าธีมนี้เป็นเทศกาลอะไร เหมือนเราสร้างบรรยากาศร่วม เช่น วันฮาโลวีนก็แต่งเป็นแม่มดอยู่หน้าชั้นเรียน เป็นคนชอบอ่านการ์ตูน ชอบคอสเพลย์  

บางวันที่แต่งตัวประหลาดขนาดนั้น เด็กไม่งงแย่เหรอ

เด็กชอบนะ มันแปลกใหม่ แล้วเขาก็จะรอดูว่าพรุ่งนี้จะเป็นตัวอะไร ฮาโลวีนมันไม่ใช่เทศกาลของบ้านเราหรอก แต่จะทำยังไงให้เด็กอินหรือเห็นภาพร่วมกับเรา  เริ่มจากการจัดกิจกรรมในโรงเรียน เช่น วันคริสมาสต์ วันภาษาไทย วันเด็ก เราก็แต่งชุดนักเรียนไปสอน บางทีชวนเพื่อนครูแต่งตัวมาเซอร์ไพรส์เด็ก สร้างความประทับใจ เรียกว่าให้มีเรื่องราวที่สัมพันธ์กับเหตุการณ์ในช่วงๆ หนึ่ง ของคนคนหนึ่ง สมมติเราไปนั่งคุยกับเด็กที่จบไปแล้ว เด็กก็จะคุยกับเราว่า ครูจำได้ไหม ตอนที่เราเดินแบบรีไซเคิลที่เอากล่องนมมาทำชุด มันจะมีความทรงจำ มีเรื่องราวสัมพันธ์ เป็นความผูกพันเล็กๆ น้อยๆ หรือครูจำได้ไหม วันที่เราแอบนั่งทำบอดี้เพ้นท์กันอยู่ในห้องแล้วครูใหญ่มาเจอ ประมาณนี้ ก็จะมีเรื่องราวภาพจำ

กิจกรรมนี้ได้อะไรไหม หรือน่าประทับใจไหม อาจจะไม่ดีสำหรับเขาก็ได้ กลับมาดูฟีดแบ็ก ครั้งหน้าเราก็จะไม่ทำ ชุดนี้ไม่เวิร์ก เด็กไม่ว้าว ไม่มีความอินร่วม ต้องคอยสำรวจ อย่างกิจกรรมอาเซียนเราก็จัดเต็มไปเลย เสื้อผ้าหน้าผม แต่งให้เพื่อนร่วมงาน ลามไปถึงเด็กด้วย เหมือนกับมีพื้นที่ให้แสดงออกในเทศกาลสำคัญ เขาก็จะรอ เช่น กีฬาสี ทุกโรงเรียนก็จะสนุก เพราะได้แสดงออก ได้ปลดปล่อย เด็กก็จะสนุกมากขึ้น ถ้าครูได้เป็นส่วนหนึ่งที่ทำกิจกรรมร่วมกัน ไม่ใช่สั่งให้ทำนั่นนี่อย่างเดียว 

คิดว่าการแต่งตัวแบบนี้ มีผลต่อการศึกษาไหม

มันเหมือนดึงดูดความสนใจให้เด็ก เพราะอย่างน้อยการเรียนมันเป็นเรื่องทัศนคติ ชอบกับไม่ชอบ เช่น เราไม่ชอบคณิตฯ เจอครูเคี่ยวๆ มันก็ยิ่งเฟล ก็เหมือนกับไปบล็อกไว้ไม่ให้ไปต่อ โดนปิดกั้น ที่ทำทุกวันนี้คืออยากทำให้เด็กชอบ ให้เด็กรู้สึกมีส่วนร่วม อยากจะทำ อยากจะเป็น อยากจะเห็นภาพแล้วว่าเรียนไปทำไม เรียนเพื่ออะไร เอาไปใช้ทำอะไร เทคนิคการสอนคือการฟังก่อน และยังไม่ตัดสินใครว่าทำได้หรือไม่ได้ เพราะทุกคนมีศักยภาพไม่เหมือนกัน ถ้าไปบอกเด็กว่า เธอเนี่ยยังไงก็ขุนไม่ขึ้น เด็กจะเชื่อ ยิ่งครูพูดหรือคนรอบข้างพูดเยอะๆ มันจะเกิดความเชื่อไปโดยอัตโนมัติ แต่ถ้าบอกให้เขาได้ลองทำ ทำไม่ได้หรือผิดถูกยังไง ค่อยว่ากันอีกที เด็กจะกล้าพูด กล้าแสดงออก แล้วจะเกิดเป็นการเรียนรู้ที่ดี

ภาษาอังกฤษไม่ใช่ภาษาพ่อแม่เราอยู่แล้ว ถ้ามาเจอคำพูดที่ว่า เธอทำแบบนี้มันผิด ทุกอย่างก็ถูกบล็อก มันไปต่อไม่ได้ ต่อให้ครูจะโคตรเก่ง ก็ไม่สามารถทำให้เด็กสามารถฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้

นักเรียนของครูออมเป็นยังไงบ้าง 

เด็กจะมีหลายแบบ แบบแรกเป็นพวกจิตอาสา ชอบเข้ามาคุยด้วยทุกวันหลังเลิกเรียน ถามว่าครูมีอะไรให้ช่วยไหม ช่วยดูห้อง ดูข้าวของ พวกนี้บ้านอยู่ใกล้โรงเรียนชอบมาแลกเปลี่ยน มาพูดคุย มาช่วยนู่นนี่นั่น ส่วนใหญ่เท่าที่เจอประเภทนี้จะไม่มีปัญหาอื่นๆ นอกจากการเรียน เช่น เรียนไม่ทัน ไม่เข้าใจบทเรียนบางเรื่อง เราก็ต้องเข้าใจเด็กว่าแต่ละคนเขาเรียนได้ไม่เท่ากัน

อีกเคสหนึ่งที่พิเศษเลยก็จะมีอย่างเช่น เด็กที่สมาธิสั้น เราต้องเข้าใจว่ากลุ่มนี้พูดแรงไม่ได้ ต้องใจเย็นๆ ค่อยๆ พูด ห้ามตะคอก หรือบางทีอาจมีรางวัลให้ อย่างน้อยห้องหนึ่งก็จะมีคนสองคน เราต้องคอยบอกเด็กว่าเธอทำได้ ส่งงานช้าไม่เป็นไร ขอให้มีงานในศักยภาพของเขา เด็กประเภทนี้จะผูกพันกับครู ถ้าดูแลดี เขาจะกล้าเข้าหา เข้ามาคุยมาเล่น ทำไม่ได้ เขาก็จะพยายามซึ่งสุดท้ายก็ทำได้ อาจจะช้าหน่อย

อีกกลุ่มที่ไม่เหมือนเพื่อนคือโดดออกมาเลย คิดต่าง คิดแปลกๆ คิดสร้างสรรค์ไม่เหมือนเพื่อน ชอบแสดงออก ประดิษฐ์สิ่งต่างๆ เป็นอารมณ์ผู้นำแฟชั่น

โดยส่วนตัว จะประทับใจเด็กที่เป็นเด็ก เป็นตัวตนที่เขาเป็น บางคนอาจจะเก่งจริง แต่ไม่ช่วยเพื่อนเลย เด็กจะมี level คือ เก่ง กลาง อ่อน ตรงกลางไม่ค่อยมีปัญหาเพราะพฤติกรรมและการเรียนของเด็กค่อนข้างดี แต่เด็กเก่งก็จะมีหลายเก่ง เก่งแล้วทำคนเดียว เก่งแล้วเอ็นดูเพื่อน เก่งแล้วเผื่อแผ่ ส่วนอ่อนก็จะมีแบบไม่เอาอะไรสักอย่าง ไม่พยายาม ไม่ทำ กับอ่อนที่กระตือรือร้น เราพยายามจูน ปรับบนกับปรับล่างให้สมดุล อย่างเช่นเก่งไปช่วยอ่อนได้ไหม เธอได้ คนนี้ไม่ได้ ก็จับคู่กัน ให้ไปช่วยเพื่อน บางคนมีคำถามว่าทำไมต้องช่วย คือฉันอยากได้คะแนนเยอะ ทำไมต้องไปช่วยคนอื่น

เด็กชอบพูดว่า ทำไม่ได้ อ่านไม่ออก เราก็ต้องปรับ ต้องถามว่าทำไม่ได้เพราะอะไร ก็บอกให้ลองก่อน ถ้าไม่ได้จริงๆ แล้วเดี๋ยวสอนซ้ำ หาวิธีใหม่ ไม่ได้ฟิกซ์ว่าถ้าไม่ได้คือไม่ได้ ลองหาวิธีการที่จะปรับเปลี่ยน สร้างความสมดุลในชั้นเรียน พยายามแบ่งทีมให้มีกิจกรรมหลากหลาย

บางทีมีปัญหาเรื่องการแข่งขัน กับการทำข้อตกลง ถ้าข้อตกลงในห้องเรียนไม่ชัด เกิดปัญหาแน่นอน เช่น กลุ่มไหนชนะ วันนี้ได้รางวัล เป้าหมายของเด็กจะไม่ได้ดูว่าระหว่างทางฉันต้องเรียนรู้กระบวนการอะไร เขาจะคิดอยู่อย่างเดียวว่า ถ้าได้ที่หนึ่ง ฉันจะได้รางวัล ทีนี้ก็จะตีกัน เพราะสองกลุ่มจะแข่งกันอย่างเอาเป็นเอาตาย เพราะมันเป็นเงื่อนไขที่ว่าจะต้องได้ๆ แล้วไม่สนว่าคนอื่นจะได้ไหม

พยายามบอกให้เด็กช่วยเหลือกัน ถ้าได้คือได้เป็นกลุ่ม ได้ทักษะการทำงานเป็นกลุ่ม แต่เวลาประเมินคะแนน เราจะดูสมรรถนะของเด็กมากกว่า เพราะไม่งั้นเด็กเก่งก็จะเก่งไปเลย และทิ้งเพื่อนไว้ข้างหลัง ไม่เกื้อกูลอะไรกัน

เด็กที่มีพื้นฐานต่างกันมากๆ คนเป็นครูต้องมีวิธีการสอนยังไง

อยู่ที่วิธีการกับมุมมองมากกว่า เป็นวิธีการของทั้งคู่ หมายถึงทั้งผู้เรียนและผู้สอน เด็กบางคนพื้นฐานแย่ ถ้าครูรู้จุดหรือวิธีพัฒนาก็อาจทำให้เด็กดีขึ้นได้ บางคนอาจจะดี แต่วิธีการของคนถ่ายทอดไม่ดีก็อาจไปดร็อปเขาลงมา ฉะนั้น ต้องจูนกันระหว่างคนให้และคนรับ

เงื่อนไขหรือปัจจัยระหว่างผู้ให้กับผู้รับคือ..

ทัศนคติ เป้าหมายไปในทิศทางเดียวกัน ควรจะเป็นบวกด้วย มันต้องผ่านการทำกิจกรรมหลากหลาย ไม่ใช่อยู่ดีๆ วันหนึ่งจะให้ทำได้เลยมันก็ไม่ใช่ ต้องผ่านการเรียนรู้ลองผิดลองถูก อันนี้ไม่ดี รอบหน้าต้องแก้ ไม่ใช่ทำซ้ำเดิม เด็กที่มีพื้นฐานต่ำ เราต้องใช้เวลาค่อยๆ ปรับ วิธีการอาจต้องใช้ให้ต่างจากเด็กที่มีพื้นฐานที่ดีอยู่แล้ว

ในฐานะครูผู้สอนรู้สึกลำบากใจไหมกับการสอนเด็กที่มีพื้นฐานที่ต่างกัน 

เด็กคละกันเป็นปกติ เราไม่สามารถเลือก input ได้ แต่เราเลือกวิธีการได้ว่าจะทำยังให้เด็กที่อยู่ในเกณฑ์ A B C D E F ไปในทิศทางเดียวกัน เห็นภาพเดียวกันได้ สำคัญคือการสร้างแรงบันดาลใจ ทำไปทำไม เรียนไปเพื่ออะไร เคยคุยกับเพื่อนที่เป็นอาสาสมัครเป็นชาวต่างชาติ เขาก็บอกว่า เฮ้ย มันไม่ใช่ความผิดของคนไทยที่ไม่พูดภาษาอังกฤษ เพราะไม่ได้อยู่ในสภาพแวดล้อม ถ้าเขาเห็นว่า เรียนไปทำไม เรียนเอาไปใช้อะไรเป็นประโยชน์อะไร เขาจะมีความหวัง จะไม่ทำแค่เรียนผ่านๆ ไป ถ้าเห็นว่ามันมีค่า ความกระตือรือร้นที่อยากจะร่วมทำกิจกรรมก็จะมากขึ้น ผู้เรียนจะกระตือรือร้น แอคทีพ ห้องเรียนนั้นมันก็จะสนุก

เหนื่อยไหมกับการเจอเด็กที่พื้นฐานต่ำมากๆ 

ไม่ เพราะว่ามันเป็นโจทย์ที่ไม่เหมือนกันอยู่แล้ว แต่ละชั้น แต่ละรุ่นก็ไม่เหมือนกัน ถ้าต้องเจอเด็กที่มาตรฐานดีอย่างเดียว ต้องไปสอนอยู่ในโรงเรียนที่เขาคัดเกรดเข้ามา แต่มันก็ท้าทายเหมือนกัน เพราะถ้าเจอเด็กที่มาตรฐาน A มาหมดเลย ผู้สอนก็ต้องมีการสอนอีกแบบหนึ่ง มันจะต้องเป็น level ที่เพิ่มมากขึ้นคูณสามเข้าไป เพราะฐานเดิมเด็กที่เป็นฐาน A มาอยู่แล้ว การแข่งขัน ความกดดันมันก็สูง เด็กกลุ่มนี้มีกระบวนการวิธีคิดที่แตกต่าง และเราอาจจะไม่ได้เห็นความหลากหลายในชีวิต 

เด็กนักเรียนที่เจอตอนนี้ค่าเฉลี่ยมาตรฐานเป็นยังไง เจออะไรมากที่สุด

อ่อนไปกลาง กลุ่มนี้จะเยอะสุด แต่พัฒนาได้ อาจจะช้าหน่อย แต่รับรองพัฒนา 

 

interview nandialogue

 

ในฐานะครูมั่นใจไหมว่าเราทำได้ เคยเห็นผลผลิตจากการสอนว่ามีการเปลี่ยนแปลงยังไงบ้าง

เคยฝึกสอนที่เชียงใหม่ ไปอยู่กับเด็กมัธยมฯ มีเด็กกลุ่มที่สนใจจะมาคุยกับเรา ทุกวันนี้ก็ยังคุยกันอยู่ ไม่ได้คุยเฉพาะแค่เรื่องในห้องเรียน มีเรื่องอื่นๆ ที่สนใจคล้ายคลึงกัน มีเด็กคนนึงเมื่อก่อนเขาจะเป็นผู้ชายอ่อนไหว เรียนระดับกลางๆ เขาชอบเย็บปักถักร้อย ชอบความสวยงาม เราก็จะนั่งคุย แชร์ไอเดียว่าทำอันนี้ดีไหม ทำอะไรบางอย่างร่วมกัน จนทุกวันนี้เขาเรียนจบมหาลัย ด้านอัญมณีและสิ่งทอ จบออกมาทำงานเป็นช่างแฮนด์เมดอยู่ที่เชียงใหม่

คำพูดไหนหรือประโยคไหนที่จะไม่พูดกับเด็กๆ เลย

ก็พวก look down สมมติว่าเด็กทำไม่ได้ แล้วยิ่งไปพูดกดว่าไม่ได้ แบบนี้มันไม่ถูก เราต้องเสริมในทางบวก แม้ว่าสภาพมันดูแย่ แต่ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงได้ เราต้องเข้าใจว่ามันใช้เวลา ใช้ความอดทน ใจเย็น ดูสภาพแวดล้อม อยู่ดีๆ ทำไม่ได้ เราต้องหาสาเหตุว่ามันไม่ได้เพราะว่า ตัวเขาเองทำไม่ได้ หรือเพราะครูถ่ายทอดไม่ดี หรือ เป็นเพราะสภาพแวดล้อม ดูจุดเล็กๆ จุดที่ใกล้ตัวก่อน แล้วค่อยไปดูไกลๆ ว่าสาเหตุคืออะไร ถึงต้องมีบันทึก case study ดูเด็กที่มีปัญหา สมาธิไม่นิ่งเพราะอะไร ต้องย้อนกลับไปดูหลายๆ อย่าง

จะไม่เบลมเด็ก เพราะเราเองอาจเป็นส่วนหนึ่งที่ทำให้เด็กไม่รู้เรื่อง เราต้องกลับมาดูตัวเองด้วย ไม่ใช่ว่าเป็นครูแล้วจะต้องถูกตลอด มันไม่ใช่ แล้วต้องรู้จักคำว่าขอโทษ และขอบคุณ อันนี้มีผลกับเด็กมาก ถ้าทำผิด เรารีบขอโทษเลย เช่น มาสาย อันดับแรกต้องพูดเลยว่า ขอโทษที่ครูมาสาย เพราะติดธุระอะไร ก็ต้องบอกเหตุผล 

มีเคสไหนบ้างที่รู้สึกว่าทำผิดพลาดต่อเด็กๆ

เคยตีเด็ก ตอนนี้ไม่ตีแล้ว เปลี่ยนวิธีคิด เคยตีแล้วมันก็ได้ผลบ้างบางครั้ง ตีเพื่อกระตุ้นมันก็ใช้ได้ แต่ไม่ตีดีกว่า 

ที่เคยตีไปนั้นเพราะว่า..

เหมือนให้รู้ว่าทำผิดนะ เพราะเด็กชอบแกล้งเพื่อน เล่นกับเพื่อนแรง แล้วเวลาบอกดีๆ ไม่ค่อยฟัง ก็เลยเรียกมา ทำหน้าขรึมๆ ขู่ๆ หน่อยว่า ไปทำเพื่อนทำไม ก็ตีมือทีนึงเบาๆ ไม่เคยตีด้วยความขาดสติ

คิดว่าจะไม่ทำอีกแล้วเพราะมันมีผลในความทรงจำ ว่าครูคนไหนเป็นยังไง อาจจะดีบ้างไม่ดีบ้าง มันเป็นภาพจำ อย่างน้อยเรียกมาคุยก่อน ส่วนใหญ่ไม่ค่อยเจอเพราะเป็นเด็กเล็ก เด็กประถมฯ จะไม่มีปัญหาถึงขนาดชกต่อยกัน มีแค่แหย่ๆ กันเล่นแล้วพลั้งมือ ถ้ามาฟ้องก็รับเรื่องก่อน แล้วค่อยคุยกันว่ามีปัญหาอะไร

เคยมีเด็กที่มีปัญหา แสดงพฤติกรรมออกมาแบบเรียกร้องความสนใจ เราไม่รู้ว่าเขามีปัญหาครอบครัว ตอนแรกก็ดูปกติ เป็นเด็กผู้หญิงน่ารัก อยู่ดีๆ วันหนึ่งมาตะคอกใส่ครู เราก็ต้องสังเกตว่าเกิดอะไรขึ้น ถามไปถามมาพบว่า ที่บ้านมีปัญหาพ่อแม่แยกทางกัน ก็เรียกมาคุยเหมือนให้กำลังใจ ให้ความรักความอบอุ่น อะไรที่เราพอหยิบยื่นให้ได้และไม่เหลือบ่ากว่าแรง ก็ทำ เด็กก็รู้สึกดี เช่น ถุงเท้าไม่มี ที่บ้านไม่สนใจ แต่เรามี พอจะให้ได้เล็กๆ น้อย ก็ให้ แต่ส่วนใหญ่สิ่งที่ทำได้คือให้กำลังใจ ให้แนวคิด พยายามพูดบวก เพราะมันมีผล

ตั้งแต่เป็นครูมา เด็กที่นึกถึงหรือจดจำเป็นแบบไหน เพราะอะไร

คนที่เล่าว่าทำอัญมณี ทุกวันนี้ก็ยังติดต่อกันอยู่ เป็นเหมือนพี่น้อง มีเรื่องราวสัมพันธ์กันในชีวิตแต่ละช่วง จากเป็นนักเรียน เป็นนักศึกษา จนทำงาน

คนที่สองเป็นนักเรียนที่เคยสอนตอนประถมฯ ตอนนี้อยู่มัธยมฯ คนนี้เป็นเด็กผู้หญิงที่มีความคิดเห็นแตกต่างจากคนอื่น คือไม่ได้อยู่ในกรอบ มองโลกต่างไปจากคนอื่น เขาจะมองว่าประสบการณ์นอกห้องเรียนน่าสนใจกว่าในห้องเรียน เขาพยายามออกไปศึกษาหาความรู้อะไรของเขาเอง เป็นคนกล้าคิด กล้าพูด กล้าทำ

อีกคนที่ประทับใจเป็นเคสเด็กพิเศษ คนนี้คือไม่เรียนหนังสือ ไม่ยอมเขียน เขียนได้นิดหน่อย ไม่ยอมอยู่ในห้องเรียน ไม่รู้สมาธิสั้นมากน้อยแค่ไหน แต่ชอบไปช่วยภารโรงทาสี ไปคุมคนงานก่อสร้าง จะมีความผูกพันกับครู ชอบมาดูว่าครูทำอะไร จะมาช่วยครูยกของนั่นนี่ แต่ไม่เข้าห้องเรียน ตอนนี้ถ้าเรียนอยู่ก็น่าจะอยู่ประมาณ ม.4 แต่เขาไม่เรียนแล้ว จบ ป.6 แล้วไม่เรียน คือก็พอเขียนอ่านได้บ้าง แต่ไม่ได้เป็นแบบวิชาการจัดๆ ความสนใจคือเครื่องยนต์เครื่องจักรงานช่าง ล่าสุดได้ข่าวว่าเรียน กศน. และขับรถรับจ้าง

เขามีความน่ารักอยู่ในตัว อาจจะไม่ชอบสิ่งที่ห้องเรียนสอน มันอาจจะไม่ถูกจริต แต่จะไปบอกว่าเขาเป็นเด็กที่ใช้ไม่ได้ มันก็ไม่ถูก

 

interview nandialogue

 

เท่าที่เป็นครูมาพบว่าโรงเรียนสร้างปัญหาอะไรมากที่สุดในทุกวันนี้

น่าจะเป็นเรื่องเชิงนโยบาย คนคิดกับคนทำไม่สัมพันธ์กัน ไม่เหมาะกับบริบทแต่ละพื้นที่ ไม่สอดคล้องกับความเป็นจริง คนคิดอยู่ที่หนึ่ง คนทำอยู่อีกที่ พอสั่งมา มันก็จะขัดๆ กัน ก็พยายามรับมือให้ได้ ปรับตัว จะได้มากหรือน้อยก็ต้องทำให้มันเป็นไปตามหน้าที่ จริงๆ มันไม่ได้เป็นนโยบายเลวร้ายอะไร แต่เหมือนเพิ่มภาระครูมากกว่า ทุกวันนี้งานเอกสารล้นมือครู ปัญหาจริงๆ เลยนะ ที่ทำให้เด็กเรียนรู้ช้าลง เพราะนโยบายเหล่านี้ผลักให้ครูออกนอกห้องเรียน เช่น เรื่องการประเมิน ถามว่าประเมินได้ไหม มันก็ได้ แต่ถ้าถี่เกินไป ครูต้องมาทำเอกสารอีก ขั้นตอนเยอะ แน่นอนว่าครูไม่สามารถสอนเด็กไปแล้วแวะมานั่งหน้าคอมพ์ แล้วกลับไปสอนต่อ มันไม่ได้ เด็กต้องการความสนใจที่เต็มที่ ครูกำลังสอนอยู่ดีๆ มีไลน์เด้งเรียกเข้าประชุมด่วน เราก็ต้องพักเด็กไว้ หรือครูที่ว่างต้องเข้าไปดูแทน ซึ่งมันไม่ใช่วิชาเอกของเขา พอช่วยดูได้ แต่จะมาอธิบายต่อจากสิ่งที่สอนไว้มันก็ไม่ได้

ถ้าอยากให้เด็กมีคุณภาพ ตำแหน่งหน้าที่อื่นๆ ที่ไม่ได้เกี่ยวกับการสอน คุณต้องหาคนอื่นที่มีศักยภาพด้านนั้นมาทำไปเลย ครูมีงานหลักคือต้องสอน ต้องอยู่กับเด็ก ต้องอยู่กับกระบวนการนั้นๆ ไปจนจบ แต่ทุกวันนี้ภาระงานครูโอเวอร์โหลด นโยบายนั่นนี่เยอะแยะมากมาย ไม่รู้จะแจกแจงยังไง แล้วบางทีนโยบายเปลี่ยนอีก เราต้องมารับมือกันใหม่ เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา

งานแบบไหนที่ทำให้ครูไม่มีเวลาไปสอน

งานเอกสาร งานประเมินที่มันไม่จำเป็น ประเมินโรงเรียน ประเมินโครงการ มันไม่ได้ใช้เวลาประเมินนาน แต่ใช้เวลาเตรียมนาน แล้วเอกสารบางอันมันไม่ได้มีผลโดยตรงกับชั้นเรียน จริงๆ เด็กควรจะอยู่กับครูให้มากที่สุด อยู่ในชั้นเรียนให้เต็มศักยภาพ พองานครูถูกเบียดบังให้มาทำแบบนี้ ก็เลยทำให้สอนได้ไม่เต็มที่ ทั้งๆ ที่ครูเตรียมมาแล้ว พอมีงานเอกสารเข้าแทรกมันก็ขาดตอน เช่น งานพัสดุการเงิน โรงเรียนใหญ่ๆ จะมีเจ้าหน้าที่ที่เขาจ้างทำงานนี้เฉพาะ แต่โรงเรียนเล็ก ทุกอย่างต้องทำให้ได้ ได้ไม่ได้ก็ต้องได้

แล้วตอนนี้ก็เป็นเรื่องสถานการณ์บ้านเมืองด้วย เพราะโรคระบาด โรงเรียนปิดๆ เปิดๆ เด็กเรียนได้ไม่เต็มที่ เริ่มสอนไปหนึ่งบทแล้วก็หายไปอีกอาทิตย์หนึ่ง พอกลับมาเหมือนเราต้องมาเริ่มใหม่ เด็กไม่อินแล้ว เด็กเบื่อ ต้องกลับมาเรียนซ้ำที่เดิม 

คิดว่าจะเป็นครูต่อไปอีกนานแค่ไหน

ยังอยากอยู่ไปนานๆ เหมือนว่าถ้าเรามีศักยภาพมากขึ้น เราก็จะแบ่งปันหรือแชร์เพื่อนำไปสู่การพัฒนาเด็กได้ มันจะเป็นผลพวงไปถึง 10-20 ปีข้างหน้า เราไม่ได้มองภาพแค่วันนี้จะกินอะไร พรุ่งนี้จะเป็นยังไง การพัฒนาคน มันต้องใช้ใจ ใช้เวลา มองไปไกลๆ 10-20 ปี ถึงจะเห็น ฉะนั้น ถ้าเลิกกลางคัน เราอาจจะไม่เห็นอะไร

ในแง่รายรับ เทียบกับการลงแรงไปถือว่าชอบธรรมไหม

เราอยู่ในพื้นที่ที่ไม่มีค่าครองชีพสูง มันก็พออยู่ได้ จริงๆ ถ้าเกิดอัปสกิลได้ เงินเดือนมันก็ขึ้นตาม เพราะเขาก็อยากได้คนที่มีประสิทธิภาพมาสอน คล้ายๆ ถ้าเป็นพนักงานบริษัททำงานดีก็มีโบนัส ในส่วนการประเมินแง่นี้ของครูก็มีเหมือนกัน ครูก็ต้องพัฒนาต่อไป

คิดว่าถ้าตอนอายุ 50 ปี จะอยู่ยังไง อยากมีชีวิตแบบไหน

ก็คงจะมีชีวิตที่ดีกว่านี้ มีเหลือพอจะแบ่งปันให้คนอื่น ถ้ามองไปถึงช่วงอายุตอนนั้น ก็ยังอยากเป็นครูอยู่ แต่สิ่งที่อยากทำควบคู่ไปด้วยคือเรื่องของศูนย์การเรียนรู้ เพราะชุมชนควรมีศูนย์กลางที่เอาไว้แชร์กัน รวบรวมสิ่งที่มันกำลังจะหายไป เหมือนชุบชีวิตอะไรบางอย่าง สิ่งที่มันดีที่อยู่ในชุมชนควรนำมาสร้างพื้นที่ เปิดโอกาสให้คนมาแลกเปลี่ยนกัน คิดว่าทำได้จริง แต่มันต้องใช้ความร่วมมือ ต้องใช้เวลา ถ้าทำคนเดียวโดดๆ อาจจะยาก เพราะมีเรื่องเงินทุนมาเกี่ยวด้วยซึ่งคงว่ากันหลักล้าน แต่ถ้าเรามีคอนเน็กชั่น หาคนทำโปรเจ็กต์ร่วมได้ ก็น่าจะประหยัดและเป็นจริงง่ายขึ้น

คำว่าศูนย์เรียนรู้คือเรียนรู้เรื่องอะไร

วิถีชีวิต ชุมชน ท้องถิ่น เน้นไปที่ศิลปะ วัฒนธรรมของแม่จริม 

ทำที่ไหน

ก็คงใช้พื้นที่ตัวเองไปก่อน พื้นที่เล็กๆ ที่บ้าน จันทร์ถึงศุกร์ไปสอน เสาร์อาทิตย์ มาทำเรื่องนี้ เปิดพื้นที่ให้ได้ก่อน หาคนมาจอย ส่วนอื่นๆ เดี๋ยวตามมาเอง

คิดว่าจะเริ่มต้นเรื่องงานทอ ส่วนตัวสนใจเรื่องนี้ ศึกษาและทำมาหลายปีแล้ว ทำผ้า ปลูกฝ้ายเอง มองว่าผ้าเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตประจำวัน คนต้องใช้ และวิถีเดิมๆ กำลังหายไป

คือเงินก็เป็นเงื่อนไขสำคัญ บวกกับเรื่องจังหวะเวลา คาดว่าประมาณ 5 ปี เราอาจจะเริ่มทำอะไรเล็กๆ ก่อน แล้วดึงคนที่มีความสนใจเข้ามาร่วม ที่อื่นของจังหวัดน่านก็มีบ้างแล้ว แต่ที่แม่จริมยังไม่มี เราอาจเป็นตัวกลาง เชื่อมคนให้มาจอยกัน

ไม่รู้ว่ายากหรือง่าย แต่มั่นใจว่าทำได้แน่นอน เป็นสิ่งที่อยู่ในใจว่าจะต้องทำ อยากให้ศูนย์นี้เป็นเหมือนที่ที่ทั้งให้และรับ บางคนอาจไม่มีเงิน แต่สามารถมาเรียนรู้วิถีชีวิต มีความรู้มาให้กัน เป็นพื้นที่แลกเปลี่ยนพบปะ ในฐานะที่อยู่วงการการศึกษา เราเป็นตัวกลางได้ เชื่อมคนรุ่นเก่ารุ่นใหม่ เชื่อมสังคมไทยกับชาวโลก แง่นี้การเป็นครูภาษาอังกฤษมันก็มีส่วนช่วยมาก ทุกวันนี้ไม่ใช่ว่าสอนอยู่แค่ประถมฯ แล้วจะบล็อกความรู้ไว้แค่นี้ มันไม่ได้ เราต้องดูหนังฟังเพลง สร้างสภาพแวดล้อมให้ตัวเอง มีเพื่อนต่างชาติแชตคุยกัน คอลบ้าง วิดีโอบ้าง อาจไม่ได้มีวิชาการอะไร แต่ต้องคุยเพื่อให้ตัวเองได้อยู่ในสภาพแวดล้อมของการใช้ภาษา 

ทุกวันนี้ทำไมคนไทยต้องเรียนภาษาอังกฤษ

เพราะว่ามันเป็นภาษาสากล ฉะนั้น ถ้ารู้ไว้มันก็ดี มันง่ายต่อการสื่อสาร ง่ายต่อการเดินทาง การทำธุรกิจ หรือแม้แต่การทำศูนย์เรียนรู้ ถ้าเราพูดอังกฤษได้ คอนเน็กชั่นเราก็จะไม่จำกัดใช่แค่คนไทย ถามว่าทุกวันนี้ไม่ต้องรู้ภาษาอังกฤษได้มั้ย ตอบได้ทันทีว่าไม่ได้ มันเป็นออปชั่นที่เราต้องรู้ 

ในฐานะครูภาษาอังกฤษ อยากแนะนำอะไรกับคนที่อาจจะกำลังเริ่มต้นสนใจภาษาที่สองที่สาม

เปิดใจยอมรับสิ่งใหม่ๆ และหลักการง่ายๆ คือถ้าเชื่อว่าเราทำได้ เราก็จะทำได้

พอเชื่อ พอมีจินตนาการ เราก็จะพาตัวเองไปพัฒนา หาวิธีเรียนรู้ อย่างแรกคือต้องมีความเชื่อก่อนว่าเราทำได้
เคยมีหนังสือเล่มหนึ่งบอกไว้ประมาณว่า มีคนบ่นว่าไม่มีเงิน เรียนหนังสือไม่เก่ง แล้วมันก็มีสิ่งที่สะท้อนกลับมาว่า ทำไมจากที่คุณคิดว่าคุณทำไม่ได้ ทำไมคุณไม่คิดหาวิธี ทำยังไงให้คุณพัฒนาตัวเองให้ดีขึ้น ถ้าเราเชื่อว่าเราทำได้ มันก็ทำได้ แต่ไม่ได้เชื่ออย่างเดียว เชื่อแล้วต้องลงมือลงแรงเดินไปสู่เป้าหมาย

ภาษาอังกฤษไม่ได้ยาก ไม่ได้ง่าย แต่ถ้าจะเรียน มันต้องใช้ความชอบด้วย ใช้ความปราถนาเป็นแรงผลักดันขับเคลื่อน

จริงๆ ทุกเรื่อง ไม่ใช่แค่ภาษาอังกฤษ ถ้ามีเป้าหมายชัดเจน เราก็จะรู้ว่าต้องทำอะไร และหาวิธีทำให้เราไปถึงเป้าที่วางไว้.

 

 

nandialogue

 

nandialogue

เรื่อง: วรพจน์ พันธุ์พงศ์

ภาพ: อธิวัฒน์ อุต้น

You may also like...