หนังสือแปล เป็นหนังสือที่ทำยอดขายได้ดีในรอบหลายปีที่ผ่านมา
หนังสือแปลขายดีเหล่านี้ มีทั้งที่เป็น Fiction และ Non Fiction ซึ่งในรายละเอียดยังพอแยกย่อยได้อีกหลายแนว การที่มีสำนักพิมพ์หลากหลาย เช่น Bookscape, SALT, WE LEARN, OMG BOOK, Library House, Lighthouse Publishing, กำมะหยี่, บทจร ฯลฯ เลือกงานมาแปลในแนวที่ต่างกันไป คือสิ่งยืนยันความจริงข้อนี้
ในแง่ดี การที่หนังสือแปลขายดีแสดงว่านักอ่านของเราสนใจเรื่องที่ทันสมัย ก้าวทันโลก ไม่นับว่าเมื่อหนังสือที่นำมาแปลขายได้ยังทำให้ธุรกิจสิ่งพิมพ์โดยรวมขยายตัว เพียงแต่อีกด้าน ก็มีแง่มุมชวนคิดอยู่บ้าง
นักเขียนคนหนึ่งซึ่งมีอีกบทบาทเป็นเจ้าของสำนักพิมพ์เคยเผยทัศนะขึ้นที่ร้านหนังสือเดินทางว่า “เมื่อหนังสือแปลขายดี นักเขียนไทยก็ลำบากหน่อย เพราะเท่ากับว่างานของคุณต้องแข่งกับงานของคนทั้งโลก”
เขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า “ในการแข่งขันที่ว่า งานแนว Fiction อาจไม่กระทบมากเพราะเรื่องเล่าที่มีน้ำเสียงเฉพาะของท้องถิ่นยังพอไปได้อยู่ แต่งานแนว Non Fiction ที่ทันโลกทันเหตุการณ์ดูจะลำบาก”
ฟังความคิดของเขาจบ กวาดตามองหนังสือที่อยู่ในร้านแล้วก็พบว่าจริง
จริงครับ หลายปีมาแล้ว หนังสือขายดีที่ร้านหนังสือเดินทางส่วนใหญ่ก็เป็น Non Fiction จากนักเขียนต่างชาติอย่างที่บอก
ทั้งนี้ เคยมีนักอ่านถามไถ่เหมือนกัน ถามว่า
“มีบ้างไหมนักเขียนไทยที่เขียนงาน Non Fiction ได้ดี ดีในลักษณะที่ไม่ได้แค่เอาข้อมูลมาย่อยแล้วเล่าต่อ แต่เขียนจากการได้ศึกษา ปฏิบัติงาน จากนั้นก็กลั่นประสบการณ์ออกมาจนเห็นภาพ ทั้งภาพใหญ่และภาพย่อย อ่านแล้วรู้ว่าโลกกำลังเจออะไร และเราแต่ละคนจะไปต่ออย่างไร”
คำตอบคือ ก่อนนี้ไม่น่าจะมีมาก แต่ตอนนี้เริ่มมีมากขึ้นซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลงานของหนุ่มสาวคนรุ่นใหม่ที่มีแนวโน้มว่าหลายคนน่าจะกลายเป็นกำลังหลักของสังคม
หลายวันก่อน ได้อ่าน The Great Remake สู่โลกใหม่ ซึ่งเขียนโดย สันติธาร เสถียรไทย อ่านแล้วรู้สึกว่านี่เป็นหนึ่งในหนังสือที่มีคุณสมบัติดังกล่าว
จากคำแนะนำที่อยู่ท้ายหนังสือ ผู้เขียนเป็นนักเศรษฐศาสตร์หนุ่มซึ่งจบปริญญาเอกด้านนโยบายสาธารณะมาจากมหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด และจบปริญญาตรีและโทด้านเศรษฐศาสตร์จาก London School of Economics and Political Sciences (LSE)
ปัจจุบันผู้เขียนเป็นผู้บริหารของบริษัทแพลตฟอร์มดิจิทัลหลายแห่ง ทั้งเคยทำงานที่ธนาคาร Credit Suisse (เครดิตสวิส) ทำงานที่กระทรวงการคลังของไทย ได้รับการแต่งตั้งจากรัฐบาลสิงคโปร์ให้เป็นคณะกรรมการ Digital Readiness Council ดูแลเรื่องการลดความเหลื่อมล้ำด้านดิจิทัลของประเทศ ได้รับการคัดเลือกจาก Asia Society ให้เป็น Asia 21 Young Leaders ประจำปี 2017 ได้รับเชิญจาก World Economic Forum ให้เป็นสมาชิกกลุ่มนักเศรษฐศาสตร์ชั้นนำที่มาช่วยออกแบบอนาคตเศรษฐกิจโลกหลังโควิด-19 ฯลฯ
ประสบการณ์จากหลายสนามและร่วมสมัยเหล่านี้ของเขาล้วนปรากฏอยู่ในหนังสือ และทำให้เราได้เห็นหลายวิธีในการรับมือกับปัญหา ได้ยินแม้กระทั่งว่าหลังจากที่นักเศรษฐศาสตร์มาประชุมกัน เขาสรุปกันว่าอย่างไร
หนังสือ The Great Remake สู่โลกใหม่ มีคำโปรยบนปกว่า ‘อ่านอดีต เข้าใจปัจจุบัน ร่วมกันเขียนอนาคตให้ยุคหลังโควิด’ ซึ่งคำว่าอนาคตหลังโควิดนี่แหละที่สะกิดให้อยากอ่าน
แน่นอน แม้ไม่รู้ว่าจะผ่านพ้นมันไปได้เมื่อไหร่ แต่ลึกๆ เราก็อยากรู้ใช่ไหมว่า หากอยากพ้นมันไปโดยไว เราทำอะไรได้อีก และหากผ่านไปได้มีอะไรรออยู่ข้างหน้า ซึ่งหนังสือก็ให้คำตอบเราถึงสิ่งเหล่านี้
เนื้อหาหลักของหนังสือแบ่งเป็น 4 ส่วน 1. ชวนทำความเข้าใจคลื่นของความเปลี่ยนแปลง ที่นอกจากโควิดแล้วยังมีหลายปัจจัยที่เร่งไปสู่ยุค New Normal 2. พินิจสิ่งที่เราต้องทำอย่างเร่งด่วนเพื่อผ่าวิกฤติ โดยเฉพาะนโยบายเศรษฐกิจ 3. ชวนจินตนาการถึงยุทธศาสตร์แห่งอนาคตทั้งระดับองค์กรและประเทศว่ามีอะไรบ้างที่เราต้องปรับ และ 4. แล้วเราจะเตรียมคน เตรียมทักษะและการเรียนรู้อย่างไรเพื่อให้ก้าวต่อไปได้อย่างแข็งแกร่ง
ทั้งนี้ ใจความหลักที่อ่านจบแล้วยังจำขึ้นใจคือ เมื่อโควิดผ่านไป หลายประเทศจะมีหนี้ก้อนใหญ่รออยู่ และการลงทุนจะซึมยาว
การเติบโตทางเศรษฐกิจจะลดลงไปหลายปี เพราะภาวะหนี้สูงในช่วงรายได้ตกทำให้ธุรกิจไม่น้อยจากไปถาวร หากไม่ได้รับการเยียวยาที่ดีจากรัฐอาจเกิดสภาวะ ‘แผลเป็น’ ที่ธุรกิจซึ่งออกนอกระบบไปแล้วไม่สามารถกลับมาเริ่มใหม่ได้ง่ายๆ เหมือนนักกีฬาที่เจ็บหนักไปแล้วไม่สามารถวิ่งได้เร็วเหมือนเดิม
ในการแก้ภาวะเศรษฐกิจถดถอยผู้เขียนได้เสนอไว้หลายวิธี แต่หนึ่งวิธีที่น่าสนใจคือการใช้แพลตฟอร์มโมเดล
ทั้งนี้ แพลตฟอร์มที่ดีต้องเริ่มที่ลูกค้าไม่ใช่กติกา ซึ่งผู้เขียนเสนอไว้อย่างน่าสนใจว่า ทุกคำถามต้องเริ่มจากความต้องการของลูกค้า ปรับตัวให้เข้ากับลูกค้า ไม่ใช่ปรับลูกค้าให้เข้าหาสิ่งที่เรามี แนวคิดนี้เมื่อภาครัฐเอาไปใช้ แทนที่จะเริ่มจากคำถามว่า ‘กฎหมายหรือระเบียบให้ทำได้หรือไม่’ ต้องเปลี่ยนเป็น “ต้องทำอย่างไรจึงจะช่วยแก้ปัญหาให้ประชาชนได้มากที่สุด”
และเมื่อเอามาใช้กับภาคเอกชน วิธีหนึ่งที่จะไปให้รอดคือการตอบให้ได้ว่า “เราจะเป็นอะไรให้ลูกค้า” เนื่องจากโควิดได้กลายเป็นยุคของการ “ทดสอบความจำเป็นครั้งยิ่งใหญ่” ไปแล้ว
อีกหนึ่งทักษะที่ทุกคนต้องมีหลังจากนี้คือการล้มแล้วต้องลุก
ล้มแล้วลุก ล้มแล้วลุก ล้มแล้วต้องลุกใหม่ให้ได้ และอย่าได้ถือความล้มเหลวเป็นตราบาปของชีวิตเป็นอันขาด มีโอกาสลองหาหนังสือมาอ่านอย่างละเอียดดูครับ อ่านแล้วคล้ายได้เจอจิ๊กซอว์ตัวที่ขาดหาย
เหตุเพราะสมมติว่าเราผ่านโควิดไปได้ เราจะเจอกับอะไรอีก เอาเข้าจริงยังไม่มีหน่วยงานใดสามารถบอกได้อย่างชัดเจน
สภาพก็เห็นๆ เราไม่สามารถฝากความหวังไว้กับคนที่มีหน้าที่รับผิดชอบได้มากนัก อย่าว่าแต่คำอธิบายถึงสิ่งที่จะตามมาหลังโรคระบาด แค่การอธิบายสถานการณ์ตอนนี้ให้ชัด ครบถ้วน คล้ายจะยังเป็นไปไม่ได้
สำหรับหนังสือเล่มนี้ แม้ผู้เขียนบอกว่าหนังสือของเขาไม่ใช่แผนที่ให้เดินตาม ไม่ได้มุ่งเสนอคำตอบเดียวที่ใช้ได้ตลอดไป
แต่มันก็ช่วยอุดรอยรั่วขนาดใหญ่ให้แคบลง.
เรื่อง: หนุ่ม หนังสือเดินทาง