the letter

วันเกิดเด็กฝรั่ง

สวัสดีครับพี่หนึ่ง

สุดสัปดาห์ที่ผ่านมา ผมพาลูกไปนอนค้างแรมกับเพื่อนๆ เค้า และบรรดาพ่อๆ ที่เกาะแต(ใน) เกาะเล็กๆ ที่อยู่ใกล้ๆ พะงัน เนื่องด้วยวโรกาสปาร์ตี้วันเกิดของเซเฟอร์ ลูกชายของดีน เจ้าของบ้านที่เราเช่าอยู่

คนพิเศษๆ อย่างดีนทำอะไรธรรมดาเป็นซะที่ไหน แทนที่จะจัดงานวันเกิดเหมือนครอบครัวชาวอังกฤษคนอื่นๆ ที่มักจะเช่าสถานที่ในรีสอร์ท เพื่อกินเลี้ยง ปิ้งย่างบาร์บีคิว และเป่าเค้กวันเกิด

ลูกพี่ดีนดันมีไอเดียว่าจะจัดเป็น Survival Pirate Camp แกและภรรยาง้างเท้าเตรียมงานมาเป็นเดือนแล้วครับ

ใกล้ๆ จะเริ่มงานได้สักสองสัปดาห์ก็มีประกาศออกมาจากประธานการจัดงานวันเกิดเซเฟอร์ว่าไม่อนุญาตให้บรรดาแม่ๆ ของเด็กที่จะเข้าร่วมกิจกรรมขึ้นเกาะ แกว่านี่คืองานวันเกิดลูกชายของแก แกเป็นผู้กำหนดว่าอะไรต้องเป็นอย่างไร ส่วนใครที่อยากทำแตกต่างไปให้ไปทำในงานวันเกิดลูกตัวเอง เหตุผลของแกที่ไม่ให้บรรดาแม่ๆ ขึ้นเกาะ (ยกเว้นภรรยาแกเอง และภรรยาผม – ในฐานะสต๊าฟจัดงาน) ก็เพราะเห็นว่าเด็กๆ จะมัวแต่อ้อนแม่ และบรรดาแม่ๆ ก็มักจะเข้าไปยุ่งกับเด็กๆ มากเกินไป ทำให้ไม่บรรลุวัตถุประสงค์ของค่ายโจรสลัดที่ต้องการให้เด็กมีทักษะพึ่งพาตัวเองให้มากที่สุด

 

 

ไม่กี่วันก่อนงาน แกเอาแผ่นกระดาษที่ปริ้นท์และเคลือบพลาสติกกันน้ำอย่างดีมาอ่านให้เราฟัง เป็นบทกลอนที่แกแต่งขึ้นมาใหม่เพื่อใช้บอกใบ้ภารกิจที่เด็กๆ ต้องทำบนเกาะ อย่างที่เคยเล่าว่าแกเคยเป็นนักดนตรีและแสดงคอนเสิร์ต ทักษะในวิชาชีพเก่าจึงถูกนำมาปัดฝุ่นและใช้กับงานวันเกิดของลูกชายได้อย่างลงตัว

ก่อนถึงงานหนึ่งวัน แกขอให้ผมหารถกระบะและจัดหาเรือเพื่อขนของขึ้นไปเตรียมงานกัน เสบียงกรังและอุปกรณ์เพื่อการดำรงชีพกลางแจ้งต่างๆ นานา และไม้ไผ่หลายอีกลำถูกลำเลียงขึ้นเกาะ ขนของเสร็จ พักพอให้เหงื่อแห้งก็เริ่มการจัดเตรียมพื้นที่เพื่อทำกิจกรรม ภรรยาผมรับอาสาฝังมันฝรั่งไว้ตามจุดต่างๆ ให้เด็กมาขุดเพื่อเป็นอาหารค่ำ มาร์ชเมลโล่อีกหลายถุงถูกนำไปแขวนไว้บนต้นไม้ในป่าที่อยู่ลึกเข้าไปในเกาะ ไม้กางเขนระบุปีตายของ Jolly Roger Jim ถูกปักไว้บนหลุมสมบัติ เราเดินสำรวจพื้นที่ของเกาะแล้วพบอาคารร้างอยู่หนึ่งหลังซึ่งเคยเป็นรีสอร์ตมาก่อน เลยคิดตระเตรียมกันเอาไว้ว่าหากมีฝนตกหนัก เราจะใช้อาคารนี้เป็นที่หลบภัย

เช้าวันงานพวกเราล่วงหน้าไปก่อนที่กรุ๊ปใหญ่จะไปถึง ดีน ผม ภรรยา และเด็กๆ อีกสามคน พายเรือคายัคไปก่อนเพื่อตระเตรียมงานอีกเล็กน้อย เรือคายัคสี่ลำที่เอามาก็จะได้ทิ้งเอาไว้ให้เด็กๆ พายเล่นในลากูนที่อยู่ในเกาะด้วย

เมื่อเด็กๆ มาถึง ดีนซึ่งเปลี่ยนชื่อตัวเองชั่วคราวเพื่อใช้ในแคมป์ว่ากัปตัน แจ็ค สแปโรว์ เป่านกหวีดเพื่อเรียกรวมพล แล้วก็แบ่งเด็กเป็นสามทีมได้แก่ ทีม Pirate ทีม Navy Seal และทีม Coastal Guard ภารกิจแรกคือขุดหลุมและทำส้วมสนาม หลังจากนั้นก็ทำกิจกรรมสลับพักไปเรื่อยๆ จนจบวัน 

ดีนบอกว่าเด็กในวัยประมาณหกเจ็ดขวบนั้นจะให้มีสมาธิตลอดเวลานั้นเป็นเรื่องที่ยากเกินไป การปล่อยให้ไปเล่นอิสระบ้างแล้วค่อยมาเอาจริงเอาจังกับภารกิจดูจะทำให้พวกเค้าได้ประสบการณ์และความรู้สึกที่ดีกว่า พวกเด็กๆ ขุดหามันฝรั่งที่ภรรยาผมฝังเอาไว้วันก่อน เดินเข้าดงไม้ลึกในเกาะเพื่อเก็บเกี่ยวมาร์ชเมลโล่จากต้นไม้วิเศษ วางลอบดักปลาริมชายฝั่งก่อนที่ตอนเย็นย่ำค่อยแวะไปลากเอาปลา (ที่เราแอบเอามาใส่ให้ตอนที่เด็กๆ เผลอ) ขึ้นมาเป็นอาหาร ก่อกองไฟ และคุ้ยหาไฟฉายไว้ใช้ในยามค่ำคืน อาหารเย็นขอพวกเราคือมันฝรั่งห่อฟอยล์เผาราดด้วยซอสเนื้อและมะเขือเทศ ก่อนตบท้ายด้วยของว่างอย่างมาร์ชเมลโล่ปิ้งและช็อคโกแลตร้อน สมบัติทุกชิ้นที่เด็กๆ หามาได้จะไม่เป็นของใครคนใดคนหนึ่ง แต่จะถูกเอามากองรวมกันแล้วจัดสรรใหม่อย่างเท่าเทียม ดังกลอนลำดับที่เจ็ดซึ่งเป็นภารกิจสุดท้ายของวันแรกที่ดีนได้เขียนเอาไว้ดังนี้

7. The Treasure Box! (Torches)

The ones that find this are the ones who are bright.

Because without this last treasure, you won’t see in the night.

There’s one for everyone. A present from me.

We survive by standing together, while we strive to be free.

We Are One! We Are All!

 

 

ถึงแม้จะมีแค่พ่อ 6 คน บนเกาะกับเด็กอีกร่วม 10 คน แต่เหตุการณ์ทั้งหลายก็ผ่านไปอย่างราบรื่น บรรดาพ่อๆ เองแม้ต้องดูแลลูกตัวเองและลูกคนอื่นๆ รวมทั้งจัดระเบียบที่พักค้างแรมแล้ว แต่ก็ยังพอมีเวลาล้อมวงดื่มเบียร์และดูดเนื้อกันอย่างเพลิดเพลิน หลังอาหารค่ำไม่นานเด็กๆ ก็ซุกตัวเข้ามุ้งป๊อบอัพใต้ผ้าใบผืนใหญ่และหลับสนิทกันตลอดทั้งคืน 

เช้าตรู่ก็พากันตื่นขึ้นมาก่อนผู้ใหญ่บางคนแล้วลงเล่นน้ำในลากูนสดชื่น พวกเรากินอาหารเช้าแบบที่ง่ายที่สุดที่บรรดาพ่อจะทำให้ลูกได้ คือครัวซองค์กับไข่คน แล้วเริ่มกิจกรรมสุดท้ายของวันนั่นก็คือการต่อแพไม้ไผ่เพื่อให้แข่งขันกันไปขุดหาสมบัติในหลุมศพของ Jolly Roger Jim แพที่ดีนออกแบบไว้ให้เด็กๆ และพ่อๆ ได้ลองทำร่วมกันนั้นแข็งแรงพอตัวอยู่ หลังจากใช้แข่งขันก็ยังมีสภาพดี ระหว่างบ่ายของวันสุดท้ายพ่อคนนึงในกลุ่มจึงเสนอให้เราพายคายัคลากแพข้ามทะเลกลับฝั่งเสียเลย เพื่อสร้างประสบการณ์อันไม่รู้ลืมกับเด็กๆ เด็กจำนวนหนึ่งอยู่บนแพส่วนพ่อๆ ก็พากันพายคายัคลาก มีพ่อจำนวนหนึ่งรวมถึงผมนั่งเรือกลับกับพี่วัฒน์เพื่อขนของประดามีกลับฝั่ง เด็กบางคนแข็งหน่อยก็พายเรือคายัคแบบที่นั่งคนเดียวกลับพร้อมกับแพลำอื่นๆ

พวกเรากลับถึงฝั่งพะงันร่วมห้าโมงเย็นในวันอาทิตย์ ทุกคนปลอดภัยและยิ้มแย้มภูมิใจในความสำเร็จของทั้งเด็กและผู้ใหญ่ สำหรับผมนี่เป็นปาร์ตี้วันเกิดที่ดีที่สุดในเกาะพะงัน หรือดีที่สุดที่ผมเคยไปร่วมงานมาเลย อาจดูเหยียดเพศ (ที่ไม่ให้แม่ๆ เข้าร่วม) แต่ในเหตุผลข้อนั้นก็ทำให้เด็กๆ และพ่อๆ ต้องทำงานหนักมากขึ้นเพื่อดูแลกันเอง ความเหงาที่ไม่มีแม่ๆ อาจทำให้เด็กๆ และพ่อๆ เห็นค่าแม่ๆ มากขึ้น

สำหรับผมแล้ว ดีนยังคงสร้างความประหลาดใจได้เสมอ เงินที่ใช้ในการณ์นี้นั้นมีมูลค่าพอๆ กับที่ใช้จัดงานวันเกิดลูกในรีสอร์ท แต่พอเงินจำนวนนี้ไหลผ่านหัวใจและสมองของผู้ชายชื่อดีน ผู้ซึ่งเกลียดอะไรหลายๆ อย่างที่เป็นไปในโลกทุกวันนี้ และในขณะเดียวกันก็รักลูกชายตัวเองอย่างมหาศาล ก็ก่อเกิดเป็นกิจกรรมที่สร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกของเขาและผองเพื่อน เป็นช่วงเวลาที่พ่อๆ ได้มีเวลาทำงานร่วมกับลูก มีเวลามองดูลูกตัวเองและเห็นว่าพวกเขาอยู่ตำแหน่งแห่งใดและมีบทบาทอย่างไรต่อชุมชนที่สังกัด เด็กๆ และพ่อๆ ได้เจ็บกันจริงๆ กันบ้างเพื่อเรียนรู้จักชีวิตร่วมกัน ประโยคที่ผมเคยบอกกับพี่ว่าต้องออกไปเจ็บซะบ้างนั้นจะได้เติบโตนั้น เอาเข้าจริงผมเองก็ยังไม่ได้ลงมือทำเท่าไร ดีที่ผมมีเพื่อนชื่อดีน อะไรที่ผมเคยเอ่ยไว้จึงไม่เป็นเพียงแค่โวหารกลวงเปล่าในอินเทอร์เน็ต

ด้วยรักและมิตรภาพครับ

จ๊อก

ปล. กลับมาได้สามสี่วันแล้วร่างกายผมยังสะบักสะบอมพอสมควร แผลต่างๆ ตามขาทั้งสองข้างไม่ว่าจะเป็นแผลแมลงกัด ก้อนหินบาด หรือหอยเม่นแทง เริ่มอักเสบและปวดร้อนมากขึ้น ร่างกายก็เริ่มมีไข้ ในความเจ็บป่วยของตัวเอง ผมไม่เห็นเด็กคนไหนจะมีอาการล้าหรือป่วยสักคน 

วันรุ่งขึ้นพวกเขาก็ตื่นเช้าไปโรงเรียนกันปกติ ดูซิครับพี่ ตอนแรกกังวลว่าเด็กๆ จะเป็นอะไร เอาเข้าจริงกลับเป็นเราเสียอีกที่อ่อนแอและภูมิคุ้มกันต่ำ 55 ช่วงนี้ต้องหัดชื่นชมคนวัยเยาว์ไว้บ้าง รวมทั้งเด็กๆ ที่เคลื่อนไหวทางการเมืองในกรุงเทพฯ ล้วนแต่เป็นมนุษย์ที่ผมนับถือ ขอคารวะในความเข้มแข็งและกล้าหาญของพวกเขา

 

 

nandialogue

 

ตอบ จ๊อก
‘มิสเตอร์ดีน’ นี่เขาก็ช่างขยันคิดขยันทำเนาะ อยากจะมอบรางวัลพ่อพยายามยอดเยี่ยมให้ไปเลย

มองย้อนอดีต รื้อฟื้นประสบการณ์วัยเยาว์ของตัวเอง เราไม่มีเรื่องพวกนี้เลยว่ะ พ่อแม่รักเหมือนที่ดีนรักลูก แต่พวกเขาก็วุ่นวายกับการทำกิน คนเรา.. พอเศรษฐกิจไม่ดี มันจะเอาเวลาและเรี่ยวแรงที่ไหนใฝ่ฝันจินตนาการ ฟังที่คุณเล่า กิจกรรมแบบนี้ใช้เงินไม่น้อยแน่ๆ ดีไม่ดีจะแพงกว่าปาร์ตี้บาร์บีคิวและเค้กวันเกิด แต่สำคัญสุดเลย เราว่าสิ่งนั้นคือ vision อย่างที่เพิ่งพูดไปนั่นแหละว่าถ้าต้นทางมันยากไร้ ขาดแคลน เหมือนนักวิ่งที่ออกสตาร์ทไม่ดีว่างั้นเถอะ ก้าวต่อไปมันก็ยาก ก็หนักกว่าคนอื่น ประเด็นก็คือแล้วไงวะ สตาร์ทไม่ดีแล้วจะยอมแพ้เลยเหรอ มันก็ง่ายไปป่ะ

เกี่ยวกับเศรษฐกิจการเงิน สตาร์ทไม่ดีมันอาจไม่ใช่ความผิดของเราก็ได้ เช่น เกิดในวัง กับเกิดในสลัม เงินในบัญชีมันไม่เท่ากันอยู่แล้ว ยังไม่นับโอกาสต่างๆ นานา แต่การเกิดมันเลือกได้ซะที่ไหน ใช่มั้ย ฉะนั้น เมื่อสตาร์ทไม่ดี มันก็มีแต่ต้องออกแรงให้มาก ทำงานให้หนักมากขึ้น และต้องมีทัศนคติว่า vision มันเป็นสิ่งที่สร้างขึ้นมาได้ แม้ในความยากกว่า เหนื่อยกว่า (คนรวยจำนวนมากก็หาได้มี vision ไม่) แรกเกิด ปัจจัยพื้นฐาน และสิ่งแวดล้อม อาจไม่มีปัจจัยใดส่งเสริมสนับสนุนเลย แต่ถ้าขยันมองหา ฟัง สังเกต (เช่น ฟังเรื่องของดีน) เราว่าต่อให้มีเงินน้อยหน่อย ก็ทำเรื่องแบบนี้ได้ โปรดักชั่นอาจไม่อลังการเท่า ไม่เป็นไร ถ้าเนื้อหาแข็งแรง ประสบการณ์และสารที่ต้องการสื่อก็น่าจะถึงบุตรหลาน

สิ่งที่สังคมของเราควรคุยกันให้มากก็คือ money กับ vision สองสิ่งนี้เกี่ยวโยงกันอย่างไม่ต้องสงสัย แต่มันไม่ใช่สิ่งเดียวกัน

คำว่าออกแรงให้มาก ทำงานให้หนัก (กระทั่งคำป๊อปๆ ว่า ‘สู้แล้วรวย’) จะเกิดผลที่ดีได้ สัมพันธ์โดยตรงกับรัฐ ตัดขาดจากกันไม่ได้เลย พูดง่ายๆ ว่าถ้ารัฐห่วย สู้แค่ไหนก็ไม่รวยหรอก (รวยสิ ถ้ารับสัมปทานผูกขาดหรือเป็นมือตีน นั่งร้านให้รัฐ) เหมือนเมล็ดพันธุ์ดีๆ หว่านลงบนพื้นดินแย่ๆ ขาดแดด ขาดฝน ขาดสารอาหาร ยังไงมันก็ไม่รอด ถึงที่สุด มนุษย์จึงตัดช่องน้อยไปโดยลำพังไม่ได้ เพราะมากบ้างน้อยบ้าง เราหนีเอื้อมมือรัฐไม่พ้น (เช่น ภาษี) พ่อแม่แบบดีนไม่ได้ลอยมาจากฟ้า เขาคิด เขาทำเช่นนี้ได้ เพราะมาจากประเทศพัฒนาแล้ว รู้แล้ว เห็นแล้ว ว่าเด็กคืออำนาจ คือสิ่งมีชีวิตที่พ่อแม่ต้องส่งเสริม สนับสนุนให้มีประสิทธิภาพสูงสุด ในวิถีทางของเขา เราคิดว่า vision ของดีนมาจากความรู้ซึ่งแน่นอนว่าเป็นต้นทุนของประเทศพัฒนามอบให้พลเมือง

ถ้ารัฐที่เราสังกัดอยู่มันห่วย มันป่าเถื่อน อยุติธรรม จึงไม่มีทางเลือกอื่นเลย นอกจากการต่อสู้ ส่งเสียง วิพากษ์วิจารณ์ แต่ก็อย่างที่คุณเห็นนั่นแหละ คนหนุ่มสาวของเราเพียงตั้งคำถาม หลายคนติดคุก หลายคนอดข้าวประท้วง ศาลท่านก็ยืนยัน ไม่อนุญาตการประกันตัว (คดีพรากผู้เยาว์ ให้ประกัน) ถามว่าสังคมเช่นนี้น่ะหรือจะเพาะสร้าง vision ให้เราได้ (money ไม่ต้องพูด ไม่มี มีแต่หนี้) ปัจจัยบวกไม่มีเลยจริงๆ ว่ะในรอบสิบปีมานี้ ถามว่าแล้วจะเอาไงกันต่อ ฝ่ายเราก็ละอายใจนะที่บื้อใบ้ นึกออกแค่ ‘ทำตามอาชีพ’ คือพยายามเปิดพื้นที่การพูดคุย ใครมีความคิดความเห็นใด ก็กางออกมาเสวนากันในที่แจ้ง ผลักดัน free speech ให้มันเป็นความปกติ ก็ทำได้เท่านี้ คุณนึกอะไรออกก็วานแนะนำ บอกสอน

เออ แก๊งจิ๋วเจง ที่จะย้ายมาอยู่น่าน เค้าเริ่มต้นนับหนึ่งแล้วนะ ต่อไฟเรียบร้อย (ห้าหมื่น / ราคาของการอยู่นอกเขต ต้องซื้อสายและเสาเอง) บ่อ กำลังขุด (ประปามาไม่ถึง) เข้าใจว่าสองวันนี้น่าจะจบ ถัดไปก็ติดตั้งปั๊ม ซื้อแทงก์เก็บพัก กักตุน และขั้นต่อไปก็ถึงคิวห้องน้ำซึ่งก็เป็นเรื่องไม่เล็ก ทั้งสิ้นทั้งปวง อยากบอกเล่าคุณว่า เมื่อมีเพื่อนฝูงมาอยู่ในชุมชน คงมีเวลาปะทะแลกเปลี่ยนกันมากขึ้น การคิดอ่านกิจกรรมต่างๆ น่าจะสนุก หลายคน หลายหัว ช่วยกันออกแรง คล้ายๆ ที่คุณไปตั้งแคมป์ สิ่งที่แตกต่างคือเด็กๆ คงสนุกนะ ตามวัยและมีผู้ใหญ่โอบอุ้ม ประคับประคอง แต่กับพวกเรา นาทีนี้มันไม่ใช่เกม ไม่ใช่การฝึกซ้อม และเวลาก็ไล่ล่ารดต้นคอ คือเห็นชัดเลยว่าบางเรื่องถ้าไม่ผ่านการฝึกซ้อมเตรียมตัว หรือมีทักษะมาบ้าง มันหนักจริงๆ ยิ่งอายุเยอะขึ้น ล้มที แม่งเจ็บและลุกยาก

มิสเตอร์ดีนเค้าคงแตกฉานเรื่องพวกนี้ และเร่งวางรากฐานให้ลูก ดีใจที่คุณและครอบครัวได้ไปปาร์ตี้วันเกิดแบบนี้ มันคือการเฉลิมฉลองที่มีความหมาย.


เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน

You may also like...