the book nandialogue
the book

‘Walking ก้าวเดิน’ ตัวเราดีขึ้นได้ สังคมก็ดีขึ้นได้ หากเดินกันให้มากขึ้น

1

มีสิ…ที่เมื่อเห็นเหตุการณ์ หรือการกระทำบางอย่างแล้วนึกถึงหนังสือบางเล่มขึ้นมาทันที

ครั้งหนึ่ง ตอนที่ผู้นำประเทศคนหนึ่งบอกว่า แต่ละวันขณะมองผ่านกระจกรถยนต์ออกไป เขาเข้าใจดีถึงความลำบากของผู้คน ได้ยินแล้วก็นึกถึงบางประโยคในหนังสือ ‘ก้าวเดิน‘ ซึ่งแปลมาจากหนังสือภาษาอังกฤษชื่อ ‘WALKING: One Step At A Time

 

the book nandialogue

 

ช่วงต้นกันยายน เมื่อรัฐอนุญาตให้ร้านอาหารและห้างสรรพสินค้ากลับมาเปิด แต่ยังคงเงื่อนไขให้งดออกจากบ้านหลัง 3 ทุ่ม ทั้งยังคงลดจำนวนรถประจำทาง ปรากฏว่าเมื่อห้างปิด 2 ทุ่ม ช่วงเวลาหนึ่งชั่วโมงในภาวะที่รถโดยสารมีจำกัด พนักงานห้างหลายคนกลับบ้านไม่ทันจนถึงขั้นกลับบ้านไม่ได้ ที่กลับทันก็อัดอยู่บนรถ ที่ไม่ทันก็คว้างอยู่ป้ายรถเมล์ เห็นเหตุการณ์นี้แล้วก็นึกถึงหนังสือ ‘ก้าวเดิน’ อีก

นึกถึง ‘ก้าวเดิน’ เพราะบางย่อหน้าในหนังสือกล่าวไว้ว่า

“จะเกิดอะไรขึ้นหากผู้นำโลกถูกบังคับให้ออกเดินไปบนท้องถนนปะปนกับประชาชนของตนทุกวัน แน่นอน นี่จะกลายเป็นเรื่องยุ่งยาก เพราะโดยทั่วไปผู้มีอำนาจจะแยกตัวเองออกจากความเป็นจริงของคนอื่น

“โชคดีที่นอร์เวย์ แม้แต่นักการเมืองระดับสูงก็ยังเดินถนนปะปนกับพวกเรา เมื่อเราเห็นเขา เขาก็เห็นเรา พวกเขาซื้อของในร้านเดียวกับที่เราซื้อ กินกาแฟจากร้านเดียวกับที่คนที่เลือกเขาเข้าไปนั่งในสภากิน

“ถึงแม้คุณจะหาข้อมูลได้มากมายจากการอ่านหนังสือ รับฟังในที่ประชุม นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ หรือมองลงมาจากตึกสูง แต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากสิ่งที่คุณรับรู้เมื่อคุณเดินไปบนท้องถนน ที่ที่ประชาชนนั่งกินอาหารร่วมกัน ขายของ ดูหน้าจอโทรศัพท์ อ่านหนังสือ รักกัน พูดคุยกัน และครุ่นคิด เวลามองจากไกลๆ โลกทั้งโลกอาจดูเหมือนกันไปหมดทั้งที่จริงแล้ว ไม่ใช่

“ยิ่งผู้มีอำนาจถอยห่างจากประชาชน นโยบายและการทำงานของพวกเขาก็จะยิ่งด้อยประสิทธิภาพ”

2

“แล้ววันหนึ่งยายของผมก็เดินไม่ได้อีกตลอดไป”

เรื่องราวในหนังสือ ‘ก้าวเดิน’ เริ่มขึ้นด้วยประโยคนี้ จากนั้นผู้เขียนก็อธิบายต่อว่า “นั่นเป็นวันที่ยายตาย” เพราะการนอนซมอยู่บนเตียงค่อยๆ ทำให้อวัยวะต่างๆ ไม่ถูกใช้งาน สุดท้ายก็เสียชีวิต ทว่าขณะที่ยายกำลังจะตายลูกสาวของผู้เขียนกลับกำลังหัดเดิน ตอนแรกเขาต้องประคองเธอเดิน แต่ไม่นานเธอก็เดินเอง นั่นทำให้เธอค้นพบสิ่งต่างๆ มากมายจนเดินไปทั่วบ้าน นี่แสดงว่าชีวิตคนเริ่มขึ้นเมื่อเราเดินได้ จบลงเมื่อเดินไม่ไหว ชีวิตส่วนใหญ่ของคนเราเกี่ยวข้องกับการเดิน

‘เดิน’ กิจกรรมที่ทุกคนทำเป็น แต่หลายครั้งเราเลือกที่จะไม่ทำ หรือปฏิเสธที่จะทำมันให้ดี

หนังสือก้าวเดิน เขียนโดยนักเขียนชาวนอร์เวย์ชื่อ Erling Kagge เขียนขึ้นจากประสบการณ์ที่เขาเคยเดินเท้าไปขั้วโลก เดินขึ้นเอเวอเรสต์และหลายขุนเขา เดินอยู่ในท่อน้ำครำของมหานครนิวยอร์กและย่านอันตรายของอีกหลายเมือง กิจกรรมเหล่านี้ล้วนหาได้มีความสะดวกทางกาย ทว่ามันทำให้เขาพบข้อเท็จจริงบางอย่าง ซึ่งเมื่อประมวลเข้ากับหนังสือ บทความ งานวิจัยเกี่ยวกับการเดินที่ผู้เขียนเคยอ่านและได้ศึกษา (ที่มาของบทความ งานวิจัย เหล่านี้ถูกกล่าวถึงไว้ตอนท้ายของหนังสือ) มันก็กลายเป็นหนังสือที่มีเนื้อหาสมเหตุสมผล เปิดหูเปิดตาเล่มนี้ซึ่งมีสาระหลักอยู่ที่การยืนยันว่า ตัวเราสามารถดีขึ้นได้ สังคมที่เราอาศัยอยู่ก็ดีขึ้นได้ หากว่าเราแต่ละคนจะเดินกันให้มากขึ้น

ตัวเราดีขึ้นได้อย่างไร หากว่าเราเดินกันบ่อยกว่านี้ ?

หากเราเดินจริงๆ (ผู้เขียนย้ำว่า เดินในที่นี้ไม่ได้หมายถึงการเดินไปด้วยแล้วพิมพ์โทรศัพท์ไปด้วย อย่างนั้นมันก็แค่การเดินทางรูปแบบหนึ่ง) จะมีผลดีทั้งในเชิงกายภาพและจิตใจ

“สิ่งหนึ่งที่การเดินทุกครั้งมีร่วมกันคือความเงียบภายใน ความเงียบเป็นเงาที่ซ่อนอยู่ในรูปกายของการเดิน” นี่คือสิ่งแรกๆ ที่เราจะได้รับ ในแง่นี้ความเงียบทำให้เราได้ครุ่นคิด

ได้ครุ่นคิดเพราะการเดินทำให้เรามีเวลา เมื่อมีเวลามันยังทำให้เราเห็นรายละเอียดและจดจำสถานที่ได้ดีกว่าเดิม ผู้เขียนบอกว่าเหตุผลหนึ่งที่เขาชอบเดินเป็นเพราะ “ความสะดวกสบายที่มากเกินมักพรากโอกาสเก็บเกี่ยวประสบการณ์ของเราไป”

เขาบอกว่า มิลาน กุนเดอรา ยังกล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในหนังสือ ‘แช่มช้า’ เสียด้วยซ้ำว่า “มีความเกี่ยวเนื่องบางอย่างระหว่างความแช่มช้ากับความทรงจำ และระหว่างความเร็วกับการลืม”

เมื่อก้าวเดิน ร่างกายคนเราสามารถสนทนากับสิ่งต่างๆ รอบตัว ผู้เขียนอธิบายว่าเมื่อวางเท้าลงตรงไหนสักที่ ‘เท้าจะสร้างบทสนทนากับดวงตา จมูก แขน ร่างกาย และอารมณ์’ เพื่อให้ร่างกายเตรียมพร้อม ในแง่นี้การได้เดินอย่างผ่อนคลาย เช่น การอาบป่าของญี่ปุ่นจึงช่วยลดความเครียด ลดความดันโลหิต หมอหัวใจบางคนที่เคยผ่าหัวใจผู้ป่วยมาแล้วนับหมื่นครั้งถึงกับเปิดเผยว่า เคล็ดลับดูแลหัวใจที่ดีที่สุดคือ ‘ออกไปเดินทุกวัน’

เฮนรี เดวิด ธอโร เป็นอีกคนที่ยืนยันความจริงข้อนี้

“ผมคงไม่สามารถรักษาสุขภาพกายและใจให้แข็งแรงอยู่ได้ หากไม่ได้ใช้เวลาอย่างน้อย 4 ชั่วโมงเดินอยู่ในป่า บนภูเขา หรือทุ่งหญ้า เราต้องยกย่องคนที่ไม่เคยเดิน พวกเขาเก่งมากที่ไม่ฆ่าตัวตายไปก่อนหน้านี้” นี่คือความลับของธอโรที่ถูกกล่าวไว้ในหนังสือ

อารมณ์และวุฒิภาวะภายในของเราก็ดีขึ้นเมื่อได้เดิน จากประสบการณ์การเดินภูเขา ผู้เขียนพบว่า “การเดินระยะไกลเป็นโอกาสดีที่เราจะได้ละทิ้งนิสัยหลายอย่างไว้ที่บ้าน คุณต้องคิดให้ดีว่าอะไรคือสิ่งจำเป็นที่จะนำติดตัวไป การเดินคือการมีความสุขกับสิ่งเรียบง่าย ยิ่งต้องเดินทางนาน ยิ่งต้องเอาของไปให้น้อยที่สุด”

เขาอธิบายว่าไม่ใช่มีแต่เขาที่พบความลับนี้ ชาวเอสกิโมในเขตอาร์คติกตอนเหนือของแคนาดายังมีประเพณีที่เมื่อใครกำลังโกรธจนควบคุมตัวเองไม่ได้ เขาคนนั้นจะถูกเชิญให้ออกจากบ้าน แล้วเดินตรงไปเรื่อยๆ หายโกรธเมื่อไหร่ค่อยกลับมา

นอกจากทำให้สุขภาพดีนี่ยังเป็นการแก้ปัญหาที่สันติวิธีเอามากๆ

 

the book nandialogue

3

แล้วการเดินส่งผลดีอย่างไรต่อสังคม ?

ที่พอคาดเดาคือการเดินเปิดโอกาสให้เราพบเห็น รู้จัก ปฏิสัมพันธ์กัน ซึ่งนั่นส่งผลต่อการเกิดธุรกรรมทางเศรษฐกิจ หลายเมืองในหลายประเทศจึงห้ามรถยนต์เข้าไปในถนนหลายเส้น
ทว่าสิ่งที่หนังสือเล่มนี้ชี้ให้เห็นคือ การเดินสามารถเป็นจุดเริ่มต้นในการเปลี่ยนแปลงสังคมได้มากกว่านั้น ประเด็นอยู่ที่ ‘การเดินและการเคลื่อนไหวเป็นรากฐานของการค้นพบ และการค้นพบเป็นรากฐานของความรู้’ ความหมายคือ หากอยากรู้ว่าผู้คนกำลังทุกข์ สุข หรือรู้สึกอย่างไร ทำได้ง่ายๆ โดยลงไปเดินถนนปะปนกับพวกเขาแล้วสังเกต เหตุเพราะ “ทุกก้าวที่เราเดินไป มีบางอย่างเกิดขึ้นเสมอ”

ผู้เขียนบอกว่า ท่าเดินบอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับตัวเราได้มากกว่าใบหน้าเสียอีก บนท้องถนนหากบังเอิญได้เดินไปทางเดียวกันจะพบว่า ตำรวจย่อมมีท่าเดินต่างจากหนุ่มฮิปฮอป หนุ่มฮิปฮอปย่อมมีท่าเดินต่างจากคนไร้บ้าน คนแรกอาจผึ่งผาย อีกคนผ่อนคลาย ส่วนคนสุดท้ายเหมือนแบกรับความยากลำบากไว้ทุกย่างก้าว เนื่องจากลักษณะทางสังคมได้ถูกสลักเข้าไปในร่างกายของเรา

ด้วยเหตุนี้ โสกราตีส จึงเดินไปทั่วเอเธนส์เพื่อคุยกับคน

ด้วยเหตุนี้ ในช่วงที่ผู้คนลำบากกับโรคระบาด เราจึงเห็นภาพ อังเกลา แมร์เคิล ผู้นำเยอรมัน เข้าแถวซื้อของในซูเปอร์มาเก็ต เห็นภาพ จัสติน ทรูโด ผู้นำแคนาดา เสิร์ฟเบียร์อยู่หลังเคาน์เตอร์บาร์ เป็นไปได้ที่ภาพเหล่านี้อาจถูกเผยแพร่มาเพื่อคะแนนทางการเมือง แต่ก็ต้องยอมรับว่าการได้ใช้ชีวิตเฉกเช่นคนธรรมดาๆ ย่อมทำให้พวกเขาเข้าถึง และเข้าใจอารมณ์ที่แท้จริงของผู้คนได้มากกว่าเดิม

ด้วยเหตุนี้ ถ้อยคำที่ว่า “ถึงแม้คุณจะหาข้อมูลได้มากมายจากการอ่านหนังสือ รับฟังในที่ประชุม นั่งมองออกไปนอกหน้าต่างรถ หรือมองลงมาจากตึกสูงแต่ทุกอย่างจะเปลี่ยนไปจากสิ่งที่คุณรับรู้เมื่อคุณเดินไปบนท้องถนน ที่ที่ประชาชนนั่งกินอาหารร่วมกัน ขายของ ดูหน้าจอโทรศัพท์ อ่านหนังสือ รักกัน พูดคุยกัน และครุ่นคิด เวลามองจากไกลๆ โลกทั้งโลกอาจดูเหมือนกันไปหมดทั้งที่จริงแล้ว ไม่ใช่

“ยิ่งผู้มีอำนาจถอยห่างจากประชาชน นโยบายและการทำงานของพวกเขาก็จะยิ่งด้อยประสิทธิภาพ” จึงเป็นหนึ่งในวรรคทองของหนังสือที่ว่าด้วยการเดินเล่มนี้ เป็นวรรคทองที่เผยให้เห็นทั้งปัญหาและวิธีแก้

และด้วยเหตุนี้คำกล่าวจากใครคนหนึ่งที่ว่า ขณะมองผ่านกระจกรถยนต์ออกไปในแต่ละวัน เขาเข้าใจดีถึงความลำบากของผู้คน จึงฟังแล้วไม่มีน้ำหนัก

และด้วยเหตุนี้อีกเช่นกัน เมื่ออ่านหนังสือเล่มนี้จบ เราทุกคนจึงมีความชอบธรรมอย่างยิ่งในการลองคิด

คิดว่า “จะเกิดอะไรขึ้นนะ ถ้าผู้บริหารประเทศถูกบังคับให้เดินถนนไปกับประชาชนของตนทุกๆ วัน ?”.

 

nandialogue

 

เรื่อง: หนุ่ม หนังสือเดินทาง

You may also like...