หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับเช้าวันที่ 24 เมษายน 2014 พาดหัวตัวไม้ว่า
การเมืองเดือด–ยิงดับ ‘ไม้หนึ่ง’ กวีเสื้อแดง
พลิกดูหน้าหนึ่ง หนังสือพิมพ์ฉบับอื่นๆ ก็ลงข่าวนี้อย่างมีนัยสำคัญ
การฆ่าอย่างอุกอาจกลางวันแสกๆ กลางเมืองหลวงมีน้ำหนักแน่ที่จะให้พื้นที่กับข่าวนี้ แต่อีกด้าน ปรากฏการณ์ดังกล่าวสะท้อนว่าบทบาทของกวีนามไม้หนึ่งย่อมไม่ธรรมดา
ปี 2010 บนเวทีเสื้อแดงนั้นเราเห็นเขาในช่วงไพร์มไทม์บ่อยครั้ง เรียกได้ว่าเป็นกวีหนุ่มที่มีผลงานชัดเจน เป็นแนวร่วมชัดเจน การเมืองยิ่งเข้มข้น ผู้คนอาจเห็นไม้หนึ่งมิติเดียว มิติของเสื้อแดง มิติของนักเคลื่อนไหวที่ดุดัน กล้า ท้าชน ยืนยันในความคิดของตัวเองซึ่งหลายครั้งปะทะ ขัดแย้ง ไม่เข้าใจ แม้กับปัญญาชนฝ่ายเดียวกัน
มองไม้หนึ่ง มองคนคนหนึ่ง ต้องมองให้รอบด้าน มองลงลึกถึงประวัติความเป็นมา
ไม้หนึ่ง ก.กุนที มีชื่อจริงว่า กมล ดวงผาสุข (ปี 2006 ตั้งใจเปลี่ยนชื่อใหม่เป็น อี๊ด อิสรนาวี) เกิดที่อำเภออัมพวา จังหวัดสมุทรสงคราม จบการศึกษาจากคณะศึกษาศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร เริ่มต้นเขียนบทกวีและมีผลงานลงตีพิมพ์ตามสื่อยักษ์ใหญ่ตั้งแต่ยังเป็นนักศึกษา
จากนานๆ ครั้งเช่นกวีหนุ่มสาวคนอื่น งานของไม้หนึ่งได้รับการสนับสนุนจากบรรณาธิการ เสถียร จันทิมาธร เปิดพื้นที่ให้ตีพิมพ์ประจำในสนามมติชนสุดสัปดาห์ จนเป็นที่อำกันเล่นในหมู่เพื่อนฝูงว่าเป็นกวีหน้า 66 เพราะลงหน้านี้ทุกครั้ง ทุกฉบับ อาจกล่าวได้ว่านอกจาก ละไมมาด คำฉวี และ ณรงค์ พัว ประพนธ์พันธุ์ ก็เห็นจะมีไม้หนึ่งเท่านั้นที่มีงานลงต่อเนื่อง ราวกับเป็นคอลัมนิสต์ ลงต่อกันติดๆ นับสิบปี
ช่วงปี 1997 ไม้หนึ่งถือเป็นดาวรุ่งเนื้อหอมของวงการ วิเคราะห์กันว่ามีสิทธิ์ลุ้นรางวัลใหญ่ งานของเขาได้ตีพิมพ์รวมเล่มครั้งแรกในปีถัดมา ใช้ชื่อปกว่า บางเราในนคร
แต่เมื่อเทศกาลแห่งการประกวดประชันพ้นผ่าน ผ่านไปเงียบๆ แบบไม่มีรางวัลประดับ กวีนิพนธ์เล่มนี้ก็ค่อยเลือนหายไปจากความสนใจ ทั้งที่เป็นงานที่น่าสนใจ
เป็นความสดใหม่ที่พัฒนาขึ้นมาจากรากฉันทลักษณ์โบราณ
ครูภาษาไทย และนักอ่านสายขนบอาจสะดุดและไม่คุ้นชินกับความทื่อแข็ง ดิบๆ ตรงๆ แบบลูกชาวบ้าน –ถูกต้อง, เพราะไม้หนึ่งเป็นลูกชาวบ้าน เป็นคนใช้แรงงานมาตั้งแต่เด็ก แต่เขาจบเอกภาษาไทย และข้ามไปลงเรียนการเขียนเชิงสร้างสรรค์กับคณาจารย์คณะอักษรศาสตร์ ลงเรียนและทำคะแนนสูงสุดแทบทุกครั้ง ไม่นับนิสัยความเป็นนักเลงหนังสือ เป็นคนที่รักโคลง ฉันท์ กาพย์ กลอน อย่างเข้าเลือดเข้าเนื้อ
‘บางเราในนคร’ สะท้อนให้เห็นว่าถ้าจะเล่นฉันทลักษณ์ ไม้หนึ่งทำได้ดีและมีรากเหง้าแข็งแรง เพียงแต่ในความหนุ่ม เขาย่อมทระนง ทดลองและอยากตอกหมุดหมายใหม่ๆ
เป็นความท้าทาย เป็นความกล้าซึ่งศิลปะทุกสาขาล้วนต้องการผู้สร้างสรรค์เฉกเช่นนี้ ต้องการศิลปินที่มีราก แต่อยากเติบโตบนรอยเท้าของตัวเอง แตกกิ่ง ชูช่อชูดอกในวิถีของตัวเอง
จากภาพที่คนส่วนใหญ่มองกวีนิพนธ์ว่าอยู่บนที่สูง อ่านยาก เข้าใจยาก ไม้หนึ่งดึงมันลงมาอ่านเขียนจนเป็นความธรรมดาในชีวิตประจำวัน ว่าด้วยเพลงสามัญของชีวิต ช่วงนั้นเขาเป็นพ่อค้าข้าวหน้าเป็ด เรื่องเล่าของเขาก็ออกมาจากคมปังตอ เตาไฟ กลิ่นเหงื่อ และเสียงอึกทึกยามเที่ยงวัน
มือกรีดเป็ด ใจจดบันทึกอารมณ์ความรู้สึกที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในร้านค้าคูหาแคบๆ
ลองย้อนกลับไปพิจารณาร่วมกัน ฟังว่าเขาบอกเล่าสิ่งใด
ปังตอหนักแปดขีด
ข้าพเจ้ากรีดไปมาบนตัวเป็ด
ไร้กฎเกณฑ์และไร้กลเม็ด
เคล็ดลับเคยมี เป็นอดีต
แทบมิมีใดกำหนดในทรงจำ
ผลักกระทำตามภาวะของคมมีด
ซ้ายกระชาก ขณะขวาสับ, กรายกรีด
มีช่องขีดระยะหว่างสองมือ
ซ้ายไม่กระทบขวา ขวาไม่กระทบซ้าย
สองฝ่ายประสานประคองถือ
ล้วนได้จากการกระทำและฝึกปรือ
นักทฤษฎีเพียงเห็นหรือจะเข้าใจ
ปังตอข้าพเจ้าหนักแปดขีด
เป็ดย่างทุกตัวสยบใต้
หลอมรุนแรงเข้ากับละมุนละไม
ปรากฏในทุกสับกรีด คมปังตอ
บทที่เลือกมาทบทวนความทรงจำนี้ชื่อ เพลงปังตอ ลองฟังต่อในบทชื่อ ภาวะของพ่อค้า
กระดูกเป็ดกองเรียงอยู่ในตู้
ปังตอโจมจู่เพิ่งจะหยุด
บนเก้าอี้พ่อค้าลงนั่งทรุด
หลังสุดนาทีท้ายของเที่ยงวัน
ดั่งสมรภูมิในชั่วโมงที่พลุกพล่าน
ปังตอปานยอดอาวุธร่ายผกผัน
ทุกร่องรอยชิ้นเป็ดรู้เท่าทัน
รู้ทุกชิ้นเนื้อนั้นอยู่หนใด
ในลำข้อของพ่อค้าข้าวหน้าเป็ด
คล้ายใส่ปวงกลเม็ดเข้าไว้ได้
เมื่อขยับก็ปลดปล่อยออกดังใจ
หนักและเบา เชื่องและไว ทุกทิศทาง
ลึกลงไปในดวงใจของพ่อค้า
ใต้เงินตราซ่อนอันใดเอาไว้บ้าง
ใต้กำไรปูพรมบนหลุมพราง
รึ ? พ่อค้าก้าวย่างอย่างมิรู้
นอกและในร้านข้าวหน้าเป็ด บาทวิถี แผงลอยตลาดริมถนน กวีนิพนธ์ของไม้หนึ่งบอกเล่าให้เรามองเห็นรายละเอียด ความทุกข์ ความสุข โดยเฉพาะการงานของคนธรรมดา นี่คือการถอดรูปเงาอลังการ ฉีกหีบห่อ และลบล้างอาการ ‘ทรงเครื่อง’ ซึ่งเป็นแบบเบ้าขนบของบทกวี
อ่านงานไม้หนึ่งใหม่ๆ อาจจับจังหวะ วรรคตอน การตัดคำลำบากอยู่บ้าง แต่ถ้าเปิดใจกว้างขึ้น อ่านบ่อยขึ้นจะเริ่มสนุกกับจังหวะของเขา เสียงของเขา ที่เป็น ‘ใบหน้าเฉพาะ’ หรือ unique แบบไม้หนึ่งคนนี้คนเดียว
‘บางเราในนคร’ เป็นงานที่ทำในช่วงวัยสามสิบ ทำโดยคนหนุ่มที่มีดีกรีปริญญามหาวิทยาลัย แต่จงใจเลือกเส้นทางพ่อค้า ใช้แรงงานอย่างชนชั้นกรรมาชีพเต็มขั้น ขณะเดียวกันก็เดินคู่ขนานไปกับการเขียนบทกวีซึ่งเป็นวิถีของปัญญาชน ปัญญาชนที่ควรมีคำอธิบายต่อท้ายไว้ด้วยว่าฮาร์ดคอร์ ปัญญาชนที่สนใจศิลปะวรรณกรรมระดับเข้มข้น เพราะเมื่อเอ่ยคำว่ากวีนิพนธ์ก็เป็นอันรู้กันอยู่ว่าถ้าไม่รักจริง ไม่มุ่งมั่นจนเป็นอันหนึ่งอันเดียวกับชีวิตจริงๆ ไหนเลยจะสามารถรักษาสิ่งนี้ไว้ได้
ไหนเลยจะสามารถสร้างสรรค์ผลงานวันแล้ววันเล่า
ลองอ่านงานชื่อ กรำอารมณ์ ด้วยกันอีกสักบท จะเห็นมิติและความหลากหลายของชิ้นงานมากขึ้นว่าไม้หนึ่ง ตื้น ลึก หนา บาง อย่างไร
ในอุบัติ กวัด เชื่อง ถี่ นี้มีเรา
จากคลุกเคล้าหนักหน่วงปวงมวลสาร
ก่อรูปแล้วก็กรอกเติมพลังงาน
จุดวิญญาณเริ่มเผาไหม้ในชีวะ
โดยสถานที่และเวลา เราขับเคลื่อน
ในข่ายเงื่อนและรูปเงาอิสระ
ท่องในท่ามเสรีและพันธะ
ทั้งใกล้ทั้งทิ้งระยะระหว่างเรา
ผ่านอารมณ์สองขั้วใหญ่ในรู้สึก
จากเบื้องลึกปราดเปรื่องและเขื่องเขลา
หลากรายละเอียดกระทบผ่านแรงและเบา
จวบแสงเงาถึงที่สุด แหละกระมัง
ขอวันคืนเคลื่อนขับเรากับโลก
จนชุ่มโชกฉายฉานวิญญาณขลัง
กร้านกับมวลภาระกรำประดัง
แล้วคลี่คลายทั้งความชังและความรัก
3 ปีต่อมา กวีนิพนธ์เล่มที่สองของไม้หนึ่งปรากฏกายภายใต้ชายคาสำนักพิมพ์ใหญ่ค่ายมติชน ภาพประดับในหนังสือเป็นผลงานของศิลปิน สุมาลี เอกชนนิยม โดยมี โตมร ศุขปรีชา และ สุวิทย์ สุวิทย์-สวัสดิ์ เขียนคำนำ เล่มนี้ใช้ชื่อปกว่า รูปทรง มวลสาร พลังงาน และความรัก
ถ้าเป็นนักดาบ ไม้หนึ่งแสดงให้เห็นว่าเขาหยุดแล้ว พอแล้ว กับลีลาท่าทางชวนเคลิ้มฝัน คมดาบของเขามีชั้นเชิง แต่ไร้กระบวนท่า ไม่เงื้อง่าราคาแพง เห็นเป้าแล้วฟันเข้าเป้า
เนื้อหาเล่มนี้ยากจะอธิบายด้วยคำเดียว เพราะมันผสมปนเปกันทุกอย่าง ทั้งวิทยาศาสตร์ ฟิสิกส์ เคมี ชีวะ ภาพยนตร์ ดนตรี วรรณกรรมทั้งสายตะวันตกและตะวันออก ความรัก เซ็กซ์ ทุนนิยม ฯลฯ สำเนียงกวีมีทั้งขรึมขลัง โรแมนติก เสียดสี มีท่าทีของนักปรัชญา ขณะที่บางชิ้นก็เฮฮาแบบชาวบ้าน มีงานทั้งที่อ่านยากๆ และอ่านไปยิ้มไป แต่ก็คล้ายโดนก่นด่าไปด้วย
ลองอ่านงานชื่อ โมโนโซเดียมกลูตาเหมด บทนี้
มีกามบำเรอเธอทั้งวันคืน
ทั้งหลับและตื่นเสพ
ถือคิดว่าเป็นบรมสุข
รับรุกล้นปรี่จึงสมใจอยาก
น้ำหวาน รึเคยแก้กระหาย
ดื่มมากคอแห้งมาก
คลื่นเหียนเกินล้นจนซ้ำซาก
รากแตกรากแตน
เสพติดเสียจนลืมลิ้นพื้นฐาน
ชีวภาพดั้งเดิมไม่หวงแหน
อายตนะง่อนแง่น
ปรุพรุนทั้งแก่นกายวิภาค
แล้วรักก็ต้องกระตุ้นต่อมน้ำย่อย
นานๆ เข้ายิ่งไม่ค่อยสมใจอยาก
ชาด้านเมื่อบริโภคมาก
ไม่ฉ่ำเยิ้ม ไม่ชูชัน วิรัติรส
ต่ออารมณ์กันอีกเลยก็แล้วกัน ด้วยงานที่ชื่อ ไฮโซไซตี้
ใช่หละซี่ ก็เธอไม่เคยเหนื่อย
ลิ้นชีวิตไม่เคยลิ้มรสเมื่อยขบ
โลกโมเดิร์นตอบสนองได้ครอบครบ
ไม่เคยเคลื่อนองคาพยพแบบติดขัด
ใช่หละซี่ ก็เธอไม่เคยอด
ถนอมเลี้ยงมาหมดจดจนกำดัด
ตอบสนองความอยากสารพัด
บริโภค เฟ้นฟัดโดยกลัดมัน
เพราะว่าเธอมีเวลาอย่างเหลือเฟือ
จึงใช้จ่ายไปกับการคิดฝัน
เรื่องสังคมและการเมืองเหล่านั้น
เพลินจำนรรจ์เพียงมิติของโวหาร
เธอไม่เคยเปลี่ยนดินให้กินได้
รสนิยมเลือกแต่ที่หวานและซ่าน
ยิ่งขับเน้นบุคลิกแบบน้ำตาล
ง่ายละลายทั้งวิญญาณและความคิด
ในความละเอียดอ่อนของนักสังเกตการณ์ ไม้หนึ่ง ก.กุนที แสดงให้เราเห็นแง่มุมใหม่เสมอ ใหม่จากการต่อยอดมาจากรากโบราณ ลองอ่าน เทววิทยา บทนี้
ฉันและเธอ จากซูเปอร์โนวา
เทวดาบริโภคง้วนดินหอม
วัฒนะ โครโมโซม มวล อะตอม ฯลฯ
ต้องยินยอมมิเหาะกลับพิมานแมน
ฉันและเธอ จากซี่โครงพระผู้สร้าง
หลุดอยู่กลางความเคว้งคว้างและแบบแผน
ได้สัมผัสรูปทรงเพียงลึกและแบน
เคี่ยวกรำกับข้อทดสอบของแถนฟ้า
ชวนเผชิญโฉมโลกหลากมิติ
แหละเราใช้ใจดำริซาบซึ้งกว่า
ละเอียดอ่อนกับหนาคืบและยาววา
เรียนรู้เรื่องเร้นลับกับพลัง
ในโยนีนี่นี้มีพรหม
ไหว้กราบก่อนเสพสมสักครั้ง
Make love และชื่นชมโดยรัก
ถักห่มกัลป์อ้างว้าง อบอุ่น
ต่ออีกสักบทด้วย no woman no cry ภาคขยายที่ไม้หนึ่งรับไม้ต่อมาจาก บ็อบ มาร์เลย์ ศิลปินจาไมกัน
ไม่จำเป็นจำเพาะความที่เป็นหญิง
เท่านั้น, ทิ้งสร้อยมุกน้ำตาหล่น
บุรุษอาชาไนยในอสุชล
จึงไม่ใช่ ! สัมพันธ์บนความขัดแย้ง
เกินจำกัดแยกอาการระหว่างเพศ
เถิด, พ้นความทู่เรศข้ามเส้นแบ่ง
ป่นปราการขั้วอ่อนแอขั้วแข็งแรง
หยาดน้ำตาหยาดแสดงความเป็นคน
หากผู้ชายร้องไห้ได้ง่ายๆ
ยินยอมให้ใครหัวร่อเยาะสักหน
เปลี่ยน symbol ที่เคยแทน ‘การจำนน’
ไปค้นพบอีกหลายรายละเอียดอ่อน
สำหรับชายที่ว่าไม่เคยร้องไห้
ไม่ใช่ใคร นอกจากไอ้กะล่อน
เชอะ, ศิลาผาขุนเขาไม่รู้คลอน
แต่ตาเชื่อม ยามอ้อนวอน ไอ้ fang ฟัก !
‘รูปทรง มวลสาร พลังงาน และความรัก’ เป็นงานที่อ่านสนุก สะท้อนบุคลิกกวีได้ดี คือมีรูปทรงแบบชาวบ้าน ไม่เน้นท่าทีลีลา มีอารมณ์ขัน ขณะเดียวกันก็มีปริมณฑลความรู้ความสนใจที่กว้างขวาง เป็นวิทยาศาสตร์ ลองพิจารณาบทปิดในหนังสือเล่มนี้ด้วยกัน กับบทกวีที่ชื่อ กว่าวิทยะ
พรายเคียวจันทร์จับคมผ่านจานดาวเทียม
กับโลกเคลื่อนอย่างสงบเสงี่ยมไหว
ลบหมู่เมืองฟุ้งกรรโชกฝุ่นคลีไกว
ผู้คนรับความรู้ใดจากสากลฯ
เขม้นฝ่าฝ้าควันสู่ดาราจักร
ค้นดวงพักตร์ของพระเจ้าก่อนเปล่าป่น
นอกจากปวงปริศนาอันแยบยล
ใด ? ค่ายกล พระองค์ตั้งขวางมรรคา
ที่ที่จิตดำริไปไม่ถึง
และก็ซึ่งเกินขอบเขตของภาษา
ที่ที่สุดตรรกศาสตร์อันมีมา
ถูกไวรัสกาลจักรย่อยขบเคี้ยว
ไหม ? ยังคงรักของข้าฯ ฝ่าพระบาท
ให้นานกว่าความเก่งกาจฉลาดเฉลียว
ถนนที่พลังขับคืนหนึ่งเดียว
ตรงคล้ายเส้นก๋วยเตี๋ยวมั้ย ? พระองค์
เหลี่ยมรูปทรงที่ไหลหลอมรวมหนึ่งเดียว
เซ็กซี่เหมือนใส่สายเดี่ยวมั้ย ? พระองค์
ปรมาณูอันผ่านไปเป็นหนึ่งเดียว
ขับเคลื่อนอย่างซ่านเสียวมั้ย ? พระองค์
‘รูปทรง มวลสาร พลังงาน และความรัก’ ทิ้งระยะห่างจาก ‘บางเราในนคร’ 3 ปี ไม้หนึ่งใช้เวลาอีกถึง 10 ปี จึงมีกวีนิพนธ์เล่มใหม่
ยาวนานมากทีเดียว สำหรับกวีที่ทำงานสม่ำเสมอ มีผลงานตีพิมพ์ต่อเนื่องตลอด
จริงอยู่ว่าหลังปี 2005-2006 เป็นต้นมา บทกวีของเขาเริ่มหายไปจากสนาม ‘มติชน’ แต่ก็จริงอีกเช่นกันว่าเขายังทำงานเป็นปกติ เพียงแต่เริ่มย้ายสนาม ไปอ่านบนเวทีต่อสู้ทางการเมือง บ่อยครั้งที่ขับรถไป คิด เขียนไป และเป็นวัตรปฏิบัติประจำ ที่นั่งลงขีดเขียนข้างเวที เขียนเสร็จก็ขึ้นไปอ่านสดๆ ท่ามกลางเสียงไชโยโห่ร้องของมวลชนฝ่ายประชาธิปไตย ที่สมัยนั้นยังไม่มีคำว่า ‘คนเสื้อแดง’
หนังสือรวมกวีนิพนธ์ สถาปนาสถาบันประชาชน พิมพ์ขึ้นในปี 2011 พิมพ์ในขณะที่ตัวกวีลี้พิษภัยการเมืองไปต่างแดน ตั้งแต่พฤษภาคม 2010 ที่รัฐบาลของนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ แปะป้าย ‘เขตใช้กระสุนจริง’ ก่อนเช็คบิลเด็ดขาดโดยใช้กำลังทหารสลายการชุมนุม ซึ่งเป็นเหตุให้มีผู้เสียชีวิตรวมทั้งสิ้น 99 ศพ บาดเจ็บกว่า 2,000 คน เจ็บและตายทั้งฝ่ายทหารและประชาชน
เทียบกับสองเล่มแรก งานล่าสุดและสุดท้ายของไม้หนึ่งขยับปรับตัวไปตามสถานการณ์บ้านเมืองเต็มตัว ยังมีเรื่องลูกเมีย บ้าน บรรยากาศร้านข้าวหน้าเป็ด แต่น้อยกว่าน้อย เนื้อหาแทบทั้งร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าด้วยนักรบฝ่ายประชาธิปไตย การต่อสู้ของประชาชน บนแนวคิดหลักของกวีที่ยืนหยัดหนักแน่นว่าสนับสนุน ปลูกสร้าง ศรัทธาในสถาบันประชาชน
ความเท่าเทียม สิทธิความเป็นคน ไม่ใช่ทาสใต้อุ้งบาทของใคร
นี่คือที่มาของคำว่า กวีราษฎร ซึ่งเป็นแบรนด์ของเขาไปแล้ว
เราไม่เคยได้ยินคำนี้จากที่ไหน ‘สถาปนาสถาบันประชาชน’ เป็นไอเดียของไม้หนึ่งอย่างแท้จริง และจะเป็นเครดิตที่ติดตัวไปตลอดกาล
ทำลายไม่ได้ ลบเลือนไม่ได้
ใครบ้างที่เขาเอ่ยนาม จารึกไว้ในกวีนิพนธ์แห่งการต่อสู้ ขออนุญาตรวบรวมไว้ ณ ที่นี้อีกครั้ง
เช เกวาร่า, ลุงโฮ, เหมา เจ๋อ ตง, จิตร ภูมิศักดิ์, นวมทอง ไพรวัลย์, เจริญ วัดอักษร, สุพจน์ ด่านตระกูล, ณรงค์ศักดิ์ กรอบไธสง, เสธ.แดง, สมศักดิ์ เจียมธีรสกุล, ดารณี ชาญเชิงศิลปะกุล, จิ้น กรรมาชน ฯลฯ
บทกวีจำนวน 76 สำนวน ในหนังสือเล่มเล็กๆ หนาแค่ 150 หน้า คล้ายถูกเขียนขึ้นด้วยเลือด เต็มไปด้วยพลัง ข้นคลั่ก หนักแน่น ร้อนแรง ทิ่มแทง กระชาก วิพากษ์วิจารณ์ ปลุกเร้า ทบทวน ตระหนัก เหนืออื่นใดคือกวักมือเรียกให้เสรีชนลุกขึ้นสู้ ทวงสิทธิอันพึงมีพึงได้ในฐานะประชาชน
บทกวีเล่มนี้ส่วนใหญ่มีเนื้อค่อนข้างยาวและไม่เหมาะจะคัดลอกมาอ่านเพียงบางบท เพราะจะทำให้รสกวีขาดหายและใจความบกพร่อง โดยเฉพาะบทที่เป็นชื่อเล่มซึ่งต้องการการอ่านต่อเนื่องครบสมบูรณ์ ตัดทอนแล้วพิการและง่ายที่จะถูกตีความผิดๆ โดยนักจับผิดช่างประจบสอพลอและไม่ทิ้งนิสัยทาส
วาระโอกาสนี้ จะขอเลือกบทสั้นๆ มานำเสนอเป็นหนังตัวอย่าง
บทแรกชื่อ นมัสการ
ในเมื่อไพร่นั้นคือผู้สร้างเวียงวัง ส่งข้าวปลาบำรุงจากเถียงนาน้อย
ปรนเปรอเมืองทั่วทุกตรอกทุกซอกซอย วัดอารามถึงหอคอยปัญญาชน
ไยไม่มี ‘นมัสการพระคุณไพร่’ ให้ได้ฟังได้ยินกันสักหน
สัญจรทั่วถิ่นฐานบ้านตำบล มีแต่ ‘นมัสการพระคุณเจ้า’ ปล้นแผ่นดิน
อีกสักบทกับ กบฏ ที่ ธิติ มีแต้ม นักหนังสือพิมพ์และกวีหนุ่มผู้จัดพิมพ์ เลือกเป็นไฮไลท์ปิดเล่มบนปกหลัง
เราอยู่ที่นี่
ซุ่มซ่อนตัวอย่างเปิดเผย
โดยไม่เคยจากไปไหน
ในบึ้งใจของผู้ถูกกดขี่
เราอยู่ที่นี่
กินนอนท่ามกลางความเป็น, ตาย
มีเซ็กซ์กับคนที่เรารัก
สืบลูกหลานรุ่นสู่รุ่น
เราไม่เคยสูญสลาย
ไม้หนึ่ง ก.กุนที จากเราไปแล้วเมื่อวันที่ 23 เมษายน 2014 จากไปด้วยกระสุนปืนพุ่งตัดขั้วหัวใจ กลางวันแสกๆ กลางเมืองหลวง
กวีนิพนธ์ของเขายังอยู่ รอคอยผู้สนใจศึกษา
อยู่อย่างหาญกล้า ท้าทาย
กวีตาย บทกวี—ถ้าดีพอ อายุของมันยืนยาวไม่มีที่สิ้นสุด ตราบใดที่ยังมีมนุษย์อยู่ในโลก
วันฌาปนกิจ ญาติมิตรเลือกหนังสือกวีนิพนธ์ ‘สถาปนาสถาบันประชาชน’ เป็นของที่ระลึก เปิดไปหน้าแรกมีตัวอักษรสีแดงปั๊มอยู่โดดเด่น เสมือนเป็นการสั่งลาครั้งสุดท้าย สั่งลาในความหมายที่ไม่จากลา
‘อย่าไปเลยสวรรค์กวีรุจีรัตน์ อยู่ที่นี่เป็น กวีราษฎร’.
เรื่องและภาพ : วรพจน์ พันธุ์พงศ์
พิมพ์ครั้งแรกในนิตยสาร WRITER ฉบับที่ 24 เดือนพฤษภาคม 2014