essay

คนธรรมดา (บันทึกวันอาทิตย์)

วันอาทิตย์ ไม่อยากทำงาน ไม่มีอารมณ์หาคลิปมาดู แต่อยากเขียนอะไรเก็บไว้หน่อย 

เขียนเก็บไว้ให้ตัวเองอ่าน 

บางทีวันนี้อาจจะเขียนภาพต่อได้อีกสักหน่อย และพรุ่งนี้อาจจะมีสมาธิดีทำงานในแฟ้มงานเขียนให้คืบหน้าได้อย่างน่าพอใจ 

freelance มีงานที่ต้องทำ บางเวลา freelance ก็อู้งาน 

เวลา freelance ขี้เกียจ คุณเดาไม่ถูกหรอกว่า เขาอยู่ในภาวะมีเงินสำรอง หรือกำลังจน

1
ผมเห็นความโหดร้ายอยู่ในโพสต์ของคนประสบความสำเร็จหลายคน ในจำนวนนั้น บางคนก็รู้จักเขาเป็นส่วนตัว บางคนก็ไม่รู้จัก แค่อ่านสิ่งที่เขาเขียนในเฟซบุ๊

เฟซบุ๊กนี่ดีนะ ตามอ่านไปนานๆ ทำให้มองระยะห่างที่ควรจะสัมพันธ์กับคนได้ง่ายขึ้น การที่มันสะดวก เขียนแล้วเผยแพร่ได้เลย มันสร้างความเคยชิน ความเคยชินที่ปรากฏให้เราได้เห็น ได้อ่านบ่อยๆ มันช่วยให้เห็น ‘ร่องความคิด’

ร่องความคิดก็เหมือนทางน้ำไหล ยังไงน้ำก็ไหลไปตามทางแบบนั้น จะพูดถึงอะไรมันก็มี ‘ทาง’ ของมันอยู่แบบนั้น

จะเรียก ‘ร่องความคิด’ ด้วยคำอื่นก็น่าจะได้ มันคือ ‘ตรรกกะพื้นฐาน’ เป็น ‘โลกทัศน์-ชีวทัศน์’ เป็น ‘นิสัยที่กลายเป็นสันดาน’

2
ผมลบบางคนออกจากเฟรนด์ลิสต์จากสิ่งที่เขาเขียนในเฟซบุ๊กเป็นครั้งคราว บางครั้งเขาเขียนในกระทู้ของเขาเอง บางครั้งอยู่ในการแชร์กระทู้คนอื่น บางครั้งอยู่ในกระทู้มโนสาเร่ของคนอื่น

ผมไม่ได้กระทบกระทั่งอะไรกับเขาหรอก แต่ผมไม่อยากอยู่ใกล้คนแบบนั้น ในชีวิตจริงผมก็เลือกที่จะคบหาสมาคมกับคนไม่มาก

ผมไม่ห่วงอะไรที่เวลาตายจะไม่มีคนมาในงานศพ มันควรเป็นอย่างนั้น หรือกระทั่งว่าไม่ควรมีงานศพของผม 

ตายไป บริจาคร่างกาย (ยังไม่ได้ไปทำเสียที) หรือกระทั่งว่าตายแล้วถ้าเผาทันทีได้ (โดยไม่ทันได้ทำเรื่องบริจาคร่างกายหรืออวัยวะ) ก็ควรทำ

งานศพสิ้นเปลืองจะตาย เดือดร้อนคนไปทั่ว 

ตายแล้วจะกลัวเหงาหรือกลัวไม่มีเพื่อนอะไรอีก เพื่อนที่พูดคุย ห่วงใย ดูแลกัน มันก็ทำกันแล้วตอนยังหายใจอยู่ ถ้าเกิดมีความปรารถนาดีต่อคนอยู่หลังก็หาจังหวะเวลาที่สะดวกไปเยี่ยมเยียนดูแลกันได้เงียบๆ 

 

ผมเคยพูดกับเพื่อนว่า ทำความดีเราต้องทำให้เหมือนโจร ทำเงียบๆ ทำลับๆ อย่าเอิกเกริกให้คนรู้ 

โจรมันทำงานเสร็จก็เงียบ ๆ ของมันต่อไป ไม่พยายามให้คนรู้ว่ามันไปทำอะไรมา ถึงได้มีชีวิตแบบปกติต่อไปได้

ทำดีแล้วชีวิตมันต้องปกติสิ ชีวิตปกติมันต้องไม่ใช่เรื่องต้องให้คนรู้ 

3
ผมไม่ใช่คนดีหรอก ผมเป็นคนธรรมดา ตอนเด็กค่อนข้างดื้อ ถึงขั้นรั้นเลยละ

ตอนนี้ผมแก่แล้ว ยังเป็นคนธรรมดา และตั้งใจเป็นคนแก่ที่ดื้อ และรั้นแบบช่วงที่ยังอายุน้อย 

ผมจะดื้อต่อไปจนถึงวันตาย ผมคิดดีแล้ว การดื้อต่อไปในเวลาที่อารมณ์เย็นลงแล้วเป็นสิ่งที่พึงกระทำ มันมีระบบเหตุผลบางอย่างในร่องความคิดที่ผมมี มันไม่ใช่เพียงการใช้อารมณ์ ทว่ามันคือความเชื่อมั่นในโลกทัศน์และชีวทัศน์ที่ผมค่อยๆ เรียนรู้มาในชีวิต

4
ผมไม่ใช่คนดีนะ

ผมเป็นคนธรรมดา

ผมไม่ใช่คนที่จะแลกเปลี่ยนกับใครก็ได้ ผมไม่ใจกว้างขนาดนั้น 

ผม ‘ไม่แลก’ และ ‘ไม่เปลี่ยน’ อะไรกับอะไรๆ ที่คนอื่นเขาทำกัน ผมไม่ใจกว้างขนาดนั้น ผมไม่ได้มีเมตตามากขนาดนั้น 

และผมก็ไม่ได้ห่วงภาพพจน์อะไรของตัวเองด้วย

5
ใครอ่านที่ผมเขียนแล้วอยากลบผมออกจากเฟรนด์ลิสต์ หรือที่เคยรู้จักตัวอยากเลิกคบก็ทำได้เลยนะ ในชีวิตจริงๆ เราไม่ได้คบคนมากมายอะไรหรอก 

ผมไม่กลัวไม่มีคนมางานศพเมื่อผมตาย ถ้าเป็นไปได้มันไม่ควรมีงานศพเลยด้วยซ้ำ ตายไปเงียบๆ ให้โลกมันดำเนินของมันต่อไป

ไม่ต้องมี End credit 

ไม่มีรายชื่อทีมงาน

ตอนเกิด แม่คลอดผมออกมาแบบไม่มีคู่แฝด.

 

 

nandialogue

 

 

ความเรียงโดย เรืองรอง รุ่งรัศมี

ภาพ : ผีเสื้อแดง

หมายเหตุ : เป็นบันทึกเก่าเก็บ ไม่มีข้อมูลแน่ชัดว่าเคยเผยแพร่มาก่อนหรือไม่ ผู้เขียนส่งต้นฉบับมาให้ วรพจน์ พันธุ์พงศ์ ในปี 2016 เวที nan dialogue ตั้งใจนำเสนอด้วยความระลึกถึง


เกี่ยวกับผู้เขียน : เรืองรอง รุ่งรัศมี (1953-2020) เป็นนักเขียน นักแปล คุรุเรื่องจีน มีผลงานหนังสือมากมาย อาทิ เดียวดายใต้เงาจันทร์, รวยรินกลิ่นชา, หมาป่าบนทุ่งกระดาษ, ธุลีดาวของยุคสมัย, มือสังหาร, กิ่งไผ่และดวงโคม, ความลับของทะเล, โอบกอดจันทรา ฯลฯ เขียนภาพเป็นงานอดิเรก โปรเจ็กต์แห่งชีวิตคือพจนานุกรมจีน/ไทย ที่มุมานะทำโดยลำพังนานปี เขาจากไปก่อนที่งานจะแล้วเสร็จ

You may also like...