จันทร์หายไปเลยก็มี
บางทีสว่างไสว อีกหลายคืนริบหรี่
จันทร์ดวงเดียวกัน ผู้คนมองมันแตกต่าง
Pink Floyd บอกเล่า dark side of the moon
Neil Young มี harvest moon
Glenn Frey เขียน lover’s moon
Cat Stevens ชี้ชวนให้เห็น moon shadow
‘นายผี’ ฝากความคิดถึงบ้านผ่าน ‘เดือนเพ็ญ’
เสก โลโซ ทำให้หนุ่มสาวจดจำ ‘คืนจันทร์’
ฯลฯ
จันทร์ดวงเก่า แต่เรามองมันไม่ซ้ำกันสักคืน
จันทร์ ธรรมพักตรกุล วัยยี่สิบสี่, เกิดกรุงเทพฯ แต่เอียนจริตกรุงเทพฯ, หนีขึ้นเชียงใหม่ด้วยมอเตอร์ไซค์หนึ่งคัน, สนใจวัฒนธรรมฮิปปี้, ปล่อยเงินกู้, ทำโฮมสเตย์ ริมลำธาร จ.น่าน
nan dialogue สุดสัปดาห์นี้ ชวนคุณขับรถขึ้นภูเขาไปฟังเรื่องเล่าของจันทร์อีกดวง
คุณมาทำที่นี่เพราะว่าอะไร
ไม่ได้ตั้งใจจะมาทำที่นี่ ความฝันคืออยากไปอยู่ต่างจังหวัด เป็นคนกรุงเทพฯ แท้ๆ ที่เวลาเพื่อนกลับต่างจังหวัดจะอิจฉามาก เพราะเราไม่มีต่างจังหวัดให้กลับ
อิจฉาอะไรของเขาบ้าง
ในหัวมันจะมีภาพแบบ การกลับต่างจังหวัดของเขาจะเป็นยังไงนะ เพราะชีวิตในเมืองมันโคตรเมือง เต็มไปด้วยตึก จะหาต้นไม้อะไรทีคือโคตรยาก ไม่ชอบการที่เราต้องตั้งใจเข้าไปหาธรรมชาติ ถ้าอยากเจอธรรมชาติต้องเข้าไปในสวนสาธารณะ หรืออะไรแบบนี้ อยากให้มันอยู่ใกล้ๆ ไม่ต้องตั้งใจมันก็อยู่ตรงนี้ แต่ในเมืองมันทำไม่ได้ อย่างบ้านเราเป็นทาวน์เฮ้าส์ 5 ชั้น ขึ้นไปบนดาดฟ้ามองออกไปก็เห็นแต่ตึกแล้วก็ไฟ
นอกจากต้นไม้แล้วยังมีอะไรอีกที่อิจฉา
เราชอบความความบ้านๆ ไม่ต้องมีพิธีอะไรมาก ไม่ต้องฝืน อยู่ต่างจังหวัดมันสบายๆ กว่า
แล้วพอมาอยู่ที่นี่ ความรู้สึกยังเหมือนเดิมไหมที่เคยอิจฉาเขา
ก็ยังชอบเหมือนเดิม เราชอบความง่ายๆ ของเขา อย่างพี่รัน พี่ที่อยู่ที่นี่ด้วยกัน เขาไม่มีอะไรทำ ก็เดินเข้าป่า หนาว เขาก็จุดไฟ หิวก็ก่อไฟทำอาหาร เขามีชีวิตอย่างตรงไปตรงมา กรุงเทพฯ มันซับซ้อน
อยากหนาวด้วยไหมตอนอยู่กรุงเทพฯ?
อยากหนาว
แต่พอมาหนาวจริงๆ ที่นี่เป็นยังไง
(หัวเราะ) เอาจริงๆ อยู่ที่ไหนมนุษย์ก็ไม่พอใจกับอะไรสักอย่าง ที่ตรงนี้มาจาก.. เราแวะซื้อโค้กที่ร้านชำข้างหน้า ขับผ่านร้านชำหลายร้านมาก ตอนนั้นมันฤดูร้อน เราต้องการโค้กใส่ถุงใส่น้ำแข็ง แล้วไม่มีร้านไหนขายโค้กใส่ถุงใส่น้ำแข็งให้เลยยกเว้นร้านนี้ เราก็ถามโง่ๆ กับเขาว่าแถวนี้มีที่ใครจะขายมั้ย เขาก็พาเดินลงมาเลย เห็นครั้งแรกก็ชอบ เพราะมีลำธารอยู่หน้าบ้าน มันเป็นภาพในฝันเรา
ตอนที่หนีออกจากบ้าน ทำไมถึงเลือกเชียงใหม่
ชอบภูเขา แล้วมันก็ดูเป็นจังหวัดที่อยู่ง่ายที่สุด หมายถึงว่าใกล้เคียงกับสิ่งที่เราเคยอยู่มากที่สุด ใกล้เคียงกับกรุงเทพฯ แล้วก็มีภูเขา คงเป็นอะไรที่ไม่ต้องปรับตัวมาก สะดวกสบาย แต่ก็ไม่ได้ออกไปไหนหรอกเพราะว่าไม่ชอบออกไปไหน
ถ้าเพื่อนไม่มาด้วยตั้งใจว่าจะมายังไง
ตั้งใจว่าจะส่งมอเตอร์ไซค์มาทางขนส่ง แล้วเราก็นั่งรถทัวร์มาเชียงใหม่ แต่พอมีเพื่อนด้วยก็เลยขี่มอเตอร์ไซค์จากกรุงเทพฯ ไปที่เชียงใหม่
สามวัน?
สี่วัน ผลัดกันขับ เป็นครั้งแรกเลยที่ทำอะไรแบบนี้ เหมือนเพิ่งเกิดมาได้ 6 เดือน เหมือนเพิ่งลืมตาดูโลกเมื่อตอนหนีออกจากบ้าน โคตรดี
ตั้งแต่ที่หนีไปเชียงใหม่ รู้สึกว่าเจออะไรที่ชอบแล้วหรือยัง
เราเจอสังคมที่ดีนะ ก่อนหน้านี้เรารู้สึกพังมาก เหมือนไม่ได้ใช้ชีวิตของตัวเอง เหมือนอะไรก็ไม่รู้ที่พูดไม่ถูก ไม่เหมือนมนุษย์น่ะ แต่พอไปอยู่เชียงใหม่มันเหมือนผู้คนที่นั่นช่างจริงมากเลย เป็นความจริง เขา appreciate กับสิ่งที่เขาทำอยู่จริงๆ อาจจะเพราะสังคมที่เราไปเจอมันเป็นคนชนิดนี้ด้วยแหละ ไม่รู้ว่าถ้าเราไปอยู่ตรงอื่น ไปเจอแบบอย่างอื่น เราจะเป็นยังไง
แล้วไปเจอคนชนิดนี้ได้ยังไง
เป็นเพื่อนของเพื่อน พวกฮิปปี้น่ะ ใช้ชีวิตอยู่ด้วยความรัก เราเชื่อว่าความรักคือคำตอบของทุกความขัดแย้งจริงๆ
อยากให้อธิบายคำว่าใช้ชีวิตด้วยความรักอีกหน่อย
เราไม่เคยรู้ว่ารักเป็นยังไง ไม่เคยรู้สึกว่าความรักมันเป็นแบบนี้ เหมือนเราถูกกอด ความรักแบบความรักน่ะ มันพูดยาก เป็นอะไรที่โคตรนามธรรม เขาเป็นมนุษย์ที่มีชีวิตและจิตใจ และสนับสนุน และให้ความรัก และมีความรัก และพร้อมจะรับความรัก มันไม่ได้มีพฤติกรรมอะไรที่พูดแล้วมันจะรู้ได้ แต่มันจะรู้ได้เมื่อเราเห็น เมื่อเราอยู่ตรงนั้น เมื่อเอาตัวเองเข้าไปอยู่ตรงนั้น
งั้นคนกรุงเทพฯ มันเป็นยังไง
มันก็ไม่ได้เป็นคนชนิดนั้น คนกรุงเทพฯ ที่เราเจอ เราเอียน ใครประสบความสำเร็จมากกว่ากัน ใครก้าวหน้ากว่ากัน คำถามที่เห็นได้ชัดเวลาเรากลับไปกรุงเทพฯ คือ ตอนนี้ทำงานอะไรอยู่ ได้เงินเท่าไหร่ ไม่กังวลเหรอ แล้วถ้าไม่ทำอะไรแล้วจะไม่เป็นไรเหรอ มันคงมีคนในนั้นที่เป็นห่วงเราบ้าง แต่เราว่ามากกว่าครึ่งที่มันช่างโหดร้ายกับเรา
อยู่กันกี่คนที่นั่น
เราอยู่กันสองคนกับเพื่อนรักเรา เพื่อนที่ขับมอเตอร์ไซค์ไปด้วยกัน เช่าบ้านอยู่ด้วยกัน คือ Inchala เป็นสถานที่ของชาวฮิปปี้ทั้งหลายที่มีความรัก ที่นั่นเราก็ได้ไปเจอกับใครหลายๆ คนที่อยู่กับความจริง คนที่ซื่อสัตย์กับตัวเอง เหมือนโยคี เหมือนพระ เหมือนศาสดาของศาสนาแห่งความรัก คือเขาดึงดูดคนจำพวกเดียวกันมาหาเขา กลายเป็นว่าเราก็ได้เข้าไปอยู่ในที่ที่มีคนที่เหมือนๆ กับเรา เลยรู้สึกว่ามันกลายเป็นที่ของเรา
Inchala คือร้านอะไร
ร้านชา เป็นร้านชาอินเดียที่เสรีมากๆ บ้านที่เราเช่าก็อยู่แถวนั้น เป็นที่ที่มีอิสระ เหมือนเราอยู่ประเทศอีกประเทศที่มีกฎหมายอีกแบบนึง
วันๆ ทำอะไรบ้าง ที่นี่ ในวันที่ไม่มีลูกค้า
มีอะไรทำได้เต็มไปหมดเลย เข้าไปในแปลงผัก มันมีอะไรให้เราหยิบจับเสมอ ทำความสะอาด ทำหมดแหละ บางทีพอเป็นคนอื่นทำ เขาก็ทำไม่ได้ได้ดั่งใจ เลยต้องลุกขึ้นมาทำเอง เราไม่ใช่คนที่มีบุคลิกที่สามารถบอกใครให้ไปทำอะไรในแบบที่เราอยากได้น่ะ ไม่ค่อยร้องขอความช่วยเหลือจากใคร ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ
ทำไมถึงชื่อ Forest Forest
แม่เราตั้ง เราไม่ชอบการตั้งชื่อ เราชอบทำคอนเทนต์มากกว่า การตั้งชื่อเป็นอะไรที่ยากมาก
ก่อนจะมาที่น่าน พ่อแม่ทำอะไรมาก่อน
พ่อทำเฟอร์นิเจอร์ แม่เป็นพวก journalist เคยเป็น บ.ก. ที่เนชั่น หลังๆ เขาก็เป็น editor ทำนิตยสาร ทำสื่อมาตลอด
คอนเซ็ปต์ของ Forest Forest
ไม่รู้ ไม่รู้คอนเซ็ปต์คืออะไร ไม่ได้คิดคอนเซ็ปต์
Forest Forest ทำอะไรบ้าง
แล้วแต่ช่วง เริ่มจากอยากมาอยู่ต่างจังหวัด อยากมาปลูกผัก มาทำโฮมสเตย์เล็กๆ
มีความคิดจะเปิดเป็นสตูดิโอทำงานศิลปะบ้างไหม
เราไม่มีแพสชั่นในการทำงานศิลปะอะไรขนาดนั้น สิ่งที่เราทำเพื่อตัวเองคงมีแค่งานเขียน เราเรียนวิจิตรศิลป์ ภาพพิมพ์ แต่อาจารย์เราค่อนข้างจะร่วมสมัย conceptual เลยได้สมัยใหม่แบบเขามาบ้าง เอาจริงๆ เราชอบเป็นผู้ชื่นชมงานศิลปะมากกว่า ไม่ได้ชอบการเป็นผู้สร้างงาน แต่อย่างงานเขียน คิดว่ามันเป็นการบำบัด เราไม่ชอบการสร้างอะไร เราไม่ได้เป็นผู้สร้าง
จบภาพพิมพ์ วิจิตรศิลป์ ทำไมถึงเลือกเรียนศิลปะที่ลาดกระบัง
จริงๆ แล้วเราสอบติดศิลปากร แล้วพ่อก็อยากให้เราเรียนศิลปากรมาตลอดชีวิต ปลูกฝังในหัวว่าเราต้องเรียนศิลปากร เราก็สอบติด แล้วก็สอบติดจุฬาฯ ทัศนศิลป์ และสอบติดวิจิตรศิลป์ลาดกระบัง เราไปสอบ 3 ที่ แต่เอาเข้าจริงพ่อไม่ให้เราไปเรียนศิลปากรเพราะต้องไปเรียนที่นครปฐม เขาอยากให้เรียนจุฬาฯ มันใกล้บ้านดี เราก็เลยแก้แค้นด้วยการไปเรียนลาดกระบัง (หัวเราะ) นี่แหละเหตุผล ซึ่งโชคดีมากที่ไม่ได้เรียนศิลปากร เพราะมัน conservative มาก ถ้าเรียน เราคงเซ็งสัส
แล้วพ่อนี่คือ.. ทำเฟอร์นิเจอร์ ?
เขาเป็นเจ้าของ ไม่ใช่คนทำ เขาเป็นพวกมีตาที่ดี เห็นความสวยงาม เขารู้ เขาเป็นคนมี taste
แล้วก่อนหน้านี้เขาไปทำงานหรือฝึกงานที่ไหน
ไม่ๆ เขาไม่เรียนเลย เขาเรียนถึง…ไม่รู้ว่าเขาเรียนถึงมัธยมฯ หรือเปล่าด้วยซ้ำ อาจจะจบ ม.ต้น เกเรมาก อาม่าก็เลยส่งเขาไปเรียนสิงคโปร์ซึ่งเขาก็ไม่เรียน ส่งเขาไปญี่ปุ่น เขาก็ไม่เรียน ก็เลยกลับมาโดยไม่จบอะไรเลย แล้วเขาก็ขายของหนีภาษี ขนของหนีภาษีจากฮ่องกงอะไรอย่างนี้ แล้วก็เริ่มซื้อของเก่า สะสมของเก่า เปิดร้านของเก่า ขายของเก่า พอของเก่าหาไม่ได้แล้ว ก็เลยตั้งโรงงานเล็กๆ ทำรีโปรดักท์ใหม่ ไปหาคนที่เป็นช่างไม้มาทำเฟอร์นิเจอร์
รู้เรื่องของพ่อเยอะมั้ย หมายถึงกว่าจะมาทำงานนี้
ประวัติน่ะรู้ แต่สิ่งที่ไม่เคยรู้เลยคือความคิด ความรู้สึกของเขา เป็นสิ่งที่เราไม่รู้เลย คงเป็นผลพวงจากความสัมพันธ์แบบคนจีนที่เขาได้รับจากเจเนอเรชั่นข้างบนเขาไปอีก เราไม่รู้ว่าวัฒนธรรมมันเป็นยังไง เพราะเราก็ไม่ได้จีนขนาดนั้น แต่ทางพ่อเรา เขามาทางจีนกันหมดเลยทั้งครอบครัว ทั้งต้นตระกูล คือจีนหมด เราไม่รู้ว่า culture มันขนาดไหน ชายเป็นใหญ่หรือว่าการต้องเก็บอารมณ์ความรู้สึกอะไรแบบนี้ ไม่รู้ ผลลัพธ์คือเราไม่เคยรู้ว่าเขารู้สึกอะไร คิดอะไร เราว่ามันแปลก
แล้วจากช่างทำเฟอร์นิเจอร์ ไปพบรักกับนักข่าวได้ยังไง
เขาเจอกันต้ังแต่เด็กๆ น่ะ ในร้านเหล้ามั้ง ตั้งแต่แม่เรียน ม.ต้น แม่เคยเล่าบ้าง แต่จำไม่ได้ เราสนิทกับแม่ เหมือนเพื่อนกัน พ่อก็สนิทแหละ แต่ไม่ค่อยรู้เรื่องความรู้สึกของเขาเท่าไหร่
ทุกวันนี้ที่เรียนมาได้เอามาใช้ประโยชน์อะไรบ้างไหม
ได้ใช้นะ หมายถึงความงามมันก็อยู่ในทุกอย่างอยู่แล้ว ที่นี่ มันก็ต้องใช้ความงามเพื่อดึงดูดนักท่องเที่ยว เราจะทำยังไงให้ที่นี่มันน่ามาได้ หรือการจะสร้างบ้านสักหลังมันก็ต้องคิดหลายอย่าง
ยังทำได้อยู่ไหม พวกงานภาพพิมพ์ ?
ทำได้ๆ เพียงแต่บางอย่างก็ต้องมีเครื่องมือ พอเรียนจบปุ๊บคือมันไม่มีเครื่องมือแล้วน่ะ มันอยู่ที่ช็อปหมด หมายถึงว่าเรายืมของเขามาใช้เพื่อทำงานที่นั่น แล้วพอจบ เราไม่ได้มีอะไรติดตัวออกมา มีแค่ตัวกับความจำว่ามันใช้ยังไงวะ
มาอยู่กับธรรมชาติแบบนี้ มีปัจจัยที่เสริมสร้างให้เราอยากทำงานศิลปะบ้างไหม
ไม่รู้สิ เราว่าการทำงานศิลปะได้ต้องมีเวลาว่าง
แล้วทุกวันนี้ไม่ว่าง ?
ไม่ว่าง ไม่ว่างเลย อยู่ที่นี่ เรามีอะไรที่ต้องทำเยอะมากในสวน แล้วตัวบ้านก็ยังไม่เสร็จ ต้องค่อยๆ ทำอะไรเพิ่มไปเรื่อยๆ จะว่างได้ก็คงกว่าบ้านจะเสร็จ และอะไรๆ เริ่มลงตัว เมื่อนั้นอาจจะมีเวลาได้ทำงานศิลปะ แต่มันก็ขึ้นอยู่กับเวลาอีก การทำงานศิลปะเพื่อตัวเองไม่ใช่อะไรที่ทำได้ตลอดเวลา เราขับเคลื่อนด้วยความเศร้า หมายถึงในภาคการทำงานนะ
ทำไมถึงขับเคลื่อนด้วยความเศร้า
ไม่รู้สิ
ตอนเรียนจบมีงานประจำทำไหม
เราไม่เคยทำงานประจำเลย ไม่มีภาพการทำงานประจำ อาจจะเพราะบ้านเราพอมีเงินด้วยแหละ มันเป็นเรื่องดีและไม่ดี การที่ครอบครัวเรามี เราว่าทุกๆ เรื่องมันมีมุมที่ดีและไม่ดี บ้านที่ไม่ได้มีเงินก็มีข้อดีและข้อที่ไม่ดี บ้านที่มีเงินมันก็มีทั้งข้อดีและไม่ดีด้วย
ได้คุยกับคนรุ่นเดียวกันไหม อย่างคนที่บ้านไม่มี..
เพื่อนสนิทเราเป็นพวกทำงานศิลปะ มันก็ไม่มีเลย ไม่ได้อะไรจากที่บ้านเลย แล้วก็ย้ายมาอยู่เชียงใหม่กับเรา แต่มันก็ไม่ได้สนนะว่าจะมีหรือไม่มี ก็วาดรูปไปเรื่อยๆ ขายได้ ก็ขาย ขายไม่ได้ มันก็อยู่กับเราไปเรื่อย (หัวเราะ)
ส่วนตัวคิดยังไงกับการให้เพื่อน
ถ้าเป็นคนอื่นมอง เขาคงรู้สึกว่าเพื่อนเราแม่งเหี้ยว่ะ แต่ในเวลาที่เราแย่ที่สุด มันมีเท่าไหร่ มันพร้อมให้เราหมด สมมติไปทำงานอะไร ได้เงินมา มันพาเราไปทุกที่ที่เราอยากไปเลย พร้อมใช้เงินจนหมดเกลี้ยงกับเรา มันไม่ได้ตั้งใจจะมาเชียงใหม่กับเรา พอรู้ว่าเรามีปัญหา และเราแค่โทรฯ ไปหามัน บอกว่าเรากำลังจะไปเชียงใหม่ ไปด้วยกันมั้ย มันก็พูดว่าไปสิ แล้วมันก็ขี่มอเตอร์ไซค์จากกรุงเทพฯ ขึ้นมาเชียงใหม่ด้วยกัน คือบางทีเราก็ไม่ได้คุยกับมันอย่างจริงจัง ก็อยู่เงียบๆ และไม่ได้รู้สึกว่าอึดอัด อยู่กันโดยไม่ต้องคุยกันทั้งวันก็ได้ แต่วันนั้นได้คุย แล้วก็เหมือนอยู่ดีๆ ก็เข้าเรื่องนี้ เพื่อนบอกว่ามันแม่งมีอิสระทั้งชีวิต แต่เราไม่มีเลย แล้วถ้ามันไม่มากับเราในเวลานี้ มันกลัวว่าเราจะไม่กล้าก้าวออกมาจากจุดที่เราไม่มีอิสระ ไม่กล้าก้าวออกมาเพื่อตัวเราเอง
Forest Forest นี่ถือเป็นตัวตนของคุณมั้ย
มันอาจจะเริ่มจากเรา แต่ว่ามันได้กลายเป็น…มันกลายพันธุ์น่ะ
เป็นรายได้ทางเดียวของคุณเลยมั้ย?
เราเอาเงินเก่าเก็บไปปล่อยเงินกู้ ก็คือพ่อแม่ให้เรามา ให้มาตั้งแต่เด็ก แม่เราไปทำประกันชีวิต เขาจะคืนให้เราตอนอายุเท่าไหร่ๆ หรืออะไรแบบนี้ พ่อก็ให้มาเท่าไหร่ๆ เราก็เอาตรงนั้นไปปล่อยเงินกู้ หลังจากนั้นก็เลยเป็นรายได้ของเราที่ได้ประจำ แล้วก็มีรายได้จากที่นี่ แต่เรายังไม่เคยเอาเงินของที่นี่มาใช้ ไม่กล้า เราไม่รู้ว่าการทำธุรกิจแล้วแบ่งเงินมันใช้วิธีไหน ไม่รู้เรื่องการทำธุรกิจเลย เราเรียนศิลปะมาทั้งชีวิต ไม่เคยเรียนเรื่องเงิน ไม่เคยเรียนเรื่องหาเงิน เรียนแค่เลขบวกลบคูณหาร
ทุกวันนี้พ่อแม่ก็เป็นคนบริหารเงินในการใช้จ่าย ?
เราบริหารเอง เงินที่เราใช้คือดอกเบี้ยจากเงินกู้ ธุรกิจของ Forest Forest ก็คือเงินที่ได้มา แล้วก็วนไปกับสิ่งที่ต้องใช้ในนี้ เราไม่เคยแยกออกมาใช้เอง เพราะไม่รู้ว่ามันควรจะแยกยังไง ถึงเวลาที่มันต้องแยกแล้วรึเปล่า ก็เลยยังไม่แตะต้องมัน
เงินกู้ที่ว่านี่ได้กี่บาทต่อเดือน
สองหมื่น ..กำลังคิดว่าอยากเปิดอะไรสักอย่าง แต่เราไม่ชอบความเป็นรูทีนของมัน ไม่ชอบความที่เราต้องอยู่กับมันทุกวัน เหมือนเดิมทุกวัน ไม่ชอบการตั้งหน้าตั้งตารอลูกค้าน่ะ แบบเราต้องนั่งอยู่ที่สเตชั่น คิดไว้ว่าถ้าเปิด เราอาจจะเปิดแค่ช่วงไฮซีซั่น ยอมให้มันเป็นรูทีนแค่หนึ่งในสามของชีวิต คงพอโอเค ถ้ารูทีนร้อยทั้งร้อย เราว่าเราอยู่กับมันไม่ได้
อยากมีเวลาว่างไปทำอะไร
เราคิดว่าถ้าไม่มีเวลาว่าง เราจะไม่สามารถเขียนงานหรือทำงานศิลปะได้
ทุกวันนี้ทำงานศิลปะอยู่ไหม
ไม่ได้ทำงานศิลปะ แต่เราเขียน ตั้งใจว่าเราจะเขียน ตั้งใจว่าจะทำหนังสือ เรากำลังจะทำอาร์ตซีนที่เป็นงานเขียนของเราแล้วไปโคฯ กับงานศิลปะของเพื่อนคนอื่น เราชอบทำงานโคฯ กับคนอื่น คิดว่ามันน่าสนใจกว่า อย่างเพื่อนเราวาดรูป เราก็จะไปเขียนจากภาพที่มันวาด เพราะมันทำงาน abstract ตีความได้หลากหลาย แล้วงานเขียนมันกลายเป็นว่าไม่ได้อยู่แค่ในหัวเรา แต่เป็นการที่เรามองอย่างอื่นแล้วเอาสิ่งที่เราเห็นมาเขียนใหม่ ด้วยสิ่งที่เรามี เราไม่ชอบการเขียนอะไรจากตัวเอง เราว่ามันไม่ยั่งยืน การทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นสิ่งที่ยั่งยืนกว่า คนเรามันทำทุกๆ อย่างไม่ได้หรอก หมายถึงว่าเราเขียน เราก็ไม่อยากมานั่งทำอาร์ตเวิร์ก ไม่อยากทำเลย์เอาท์ เราคิดว่าถ้าเกิดมีคนที่มันเหมาะกับสิ่งนี้มากกว่า ก็ควรจะโยนไปให้คนนั้นทำ การทำงานร่วมกับคนอื่นเป็นอะไรที่ลงตัวกับเรา
ชอบทำงานกับคนอื่น แต่ส่วนตัวเป็นคนอินโทรเวิร์ต ?
ไม่รู้เหมือนกัน เราไม่ชอบการจำแนก อย่างพอพูดถึงงานเขียน พูดถึงการเป็นกวี อะไรแบบนี้ เราไม่รู้ว่าจะจำแนกอะไรแบบนั้นไปทำไม บางครั้งเราก็อินโทรเวิร์ต บางครั้งก็เอ็กซ์โทรเวิร์ต ก็ไม่รู้ว่าเราจะจำแนกตัวเองเป็นแบบไหน เพราะอยู่คนเดียวก็ชอบ แต่ถ้าเจอคนที่เราอยู่ด้วยแล้วเป็นตัวเอง เหมือนที่เราอยู่กับตัวเอง เราก็ชอบ
ทุกวันนี้มีแฟนมั้ย
มีหรือไม่มี ไม่ได้จำแนกน่ะ เราไม่ชอบสถานะอะไรเท่าไหร่ มันเหมือนเอากรอบมาครอบ ทั้งที่ความสัมพันธ์ทั้งหมดทุกรูปแบบมันก็คือความรักที่เราให้กับทุกคน อาจจะเป็นเพื่อน เป็นคนรัก เป็นอะไร คือมันงงน่ะ การจำแนกอาจทำให้งงน้อยลง แต่ว่ามันก็ทำให้งงอยู่ดี
แล้วคนที่ไปเชียงใหม่ด้วยกันนี่คือจัดอยู่ใน.. ?
เพื่อน เพื่อนแท้ รักเพื่อนคนนี้ แบบที่ไม่ต้องคิดว่าเป็นอะไรน่ะ ไม่รู้สิ มันพูดยาก รู้แค่ว่าคนนี้คือเพื่อนเบอร์หนึ่ง สูงสุดของห่วงโซ่ เพื่อนคือความวางใจและไม่มีความเสน่หา มันคือสองอย่างที่แตกต่างจากคนรัก เพื่อนเป็นสิ่งที่มั่นคงกว่าคนรัก คือมันไม่ได้ทำให้เราขึ้น-ลงได้มากขนาดนั้น ไม่ได้ทำให้กราฟชีวิตเรากระโดดไปมา ไม่ได้สร้างความตื่นเต้นมากขนาดที่คนรักสร้าง แต่เพื่อนมันจะเป็นเส้นตรงและสม่ำเสมอ ไม่มีความลุ่มหลง ไม่มีเรื่องเพศ ไม่มีอะไรพวกนั้น แต่คนรัก เราว่ามันทำให้ชีวิตขึ้นและลงได้อย่างรวดเร็ว เราว่าทั้งหมดทั้งมวลในทุกความสัมพันธ์ที่ไม่ toxic คือความสมดุล เราก็อยู่แค่ตรงนั้น เป็นอะไรที่ดีสัส เรามีแต่เพื่อนผู้ชาย กระอักกระอ่วนเวลาคุยกับผู้หญิง เราชอบเขินผู้หญิง
คุณเจออะไรที่น่าน ถึงได้รู้ว่าที่นี่มันเหมาะกับเรา
ในหัวเราตอนนั้นก็แค่อะไรก็ได้ที่มันเป็นภูเขา เป็นป่า เป็นลำธาร แค่นั้นเลย
ได้มาทดลองอยู่ก่อนมั้ย ?
ไม่มีเลย เรามาสร้างใหม่ สร้างทุกอย่างใหม่หมดเลยที่นี่ ตอนแรกไม่มีอะไรเลย เป็นแค่ลำธารกับภูเขา
ดาร์กไซด์ของต่างจังหวัดที่เคยเจอมีอะไรบ้าง
คนไม่ได้น่ารักแบบที่เราคิด เรานึกภาพคนต่างจังหวัดใจดีๆ ซื่อๆ พอเอาเข้าจริงมันก็ไม่จริง มันก็มีทั้งคนดีและคนเลวอยู่ในทุกที่ คนที่หวังจะหาผลประโยชน์จากคนกรุงเทพฯ อย่างเราก็มีเต็มไปหมด คนที่โกง ช่างที่โกง พวกที่รับเหมาแล้วโกง คนที่เอาเราไปพูดไม่ดี หรืออะไรแบบนี้มันก็มีทั้งนั้น แต่เราว่าโอเค มันไม่ได้น่ากลัว ไม่ได้อันตราย ถึงจะอยู่ในป่าแบบนี้ เราไม่ได้รู้สึกว่าเราไม่ปลอดภัยเลยสักครั้งเดียว
ปักหลักอยู่ที่นี่มานานเท่าไหร่แล้ว
ประมาณสองปีกว่า สามปี ตั้งแต่ซื้อนะ แล้วพ่อก็สร้างบ้าน เหนื่อยสัส ยากสัส ยิ่งทำกับครอบครัว ยิ่งยุ่งยาก
หมดไปเท่าไหร่แล้วที่ตรงนี้
ที่น่ะไม่แพงเลย ไม่ถึงล้าน ส่วนบ้านนี้น่าจะล้านกว่าหรือสองล้าน รวมๆ น่าจะประมาณสามล้าน
มองระยะสั้นๆ Forest Forest จะเติบโตไปยังไง ทำอะไรต่อ
เรารู้สึกว่าเท่านี้สำหรับเราน่ะพอแล้ว มีรายได้เท่านี้พอแล้ว เราชอบความสงบแบบนี้มากกว่าการที่นักท่องเที่ยวเข้ามาเยอะๆ แล้วไม่มีใครมีความเป็นส่วนตัว แต่พ่อเราวางแผนจะสร้างอีก ก็คงแล้วแต่เขาแหละ เราไม่ได้อยากมีปัญหา หมายถึงว่าเราก็อยู่ในที่ของเราอย่างสงบก็ได้ แค่เรารู้สึกว่าที่แบบนี้มันเป็นที่ที่สงบ อยู่แล้วมันสงบ มันไม่ควรจะมีนักท่องเที่ยวมากกว่า 15 คนด้วยซ้ำ หรือ 20 คนเป็นอย่างมาก เราไม่อยากให้ความรู้สึกสงบนี้หายไป ฉะนั้น ถ้าทำแบบที่เราคิดจะทำ มันไม่มีทางที่จะรวยอยู่แล้ว แต่ถ้าคิดอย่างคนหาเงิน อย่างพ่อเราที่มีหัวการค้า มันก็ไม่มีทางสงบได้ไง ก็อาจต้องแลกกัน อยากได้อะไรนำ พอเรากับพ่อคิดคนละทาง มันก็ต้องทะเลาะกัน หรือไม่ก็ใครสักคนต้องยอมตามอีกคนหนึ่ง ซึ่งเรายอม เราสู้ไม่ได้
รวยกับจนต่างกันยังไง
พูดไม่ได้ เพราะเราไม่เคยจน เราไม่รู้เลยจริงๆ เราอยากรู้ว่ามันเป็นยังไง แต่เราก็ไม่ได้อยากไปอยู่ในจุดที่เราไม่มีใช้ แค่บางทีอยากจะรู้ว่าความรู้สึกแบบนั้นมันเป็นยังไงวะ อยากรู้ในทุกๆ สเตทของทุกคน ทุกๆ ภาวะ เราอยากเข้าใจ ซึ่งถ้าเราไม่เป็น เราจะไม่มีทางรู้ การคุยกับคนอื่น การฟังคนอื่นเล่ามันไม่เหมือนการเจอจริงๆ เราเลยพูดไม่ได้ เพราะเราไม่รู้จริงๆ แต่เราเชื่อว่าทุกคนไม่ว่าจะมีแบ็คกราวนด์ดีแค่ไหน มันก็มีปมอะไรสักอย่างติดตัวอยู่ดี
แล้วปมของคุณล่ะ ?
ครอบครัว มันเป็นปมที่แก้ไม่ได้ นิสัยของแต่ละคน ธรรมชาติของแต่ละคนมันก็เป็นแบบนี้ เราไปดูดวงมา (หัวเราะ) ถามเขาว่า ถ้าเรากลับมาที่นี่ ทุกอย่างมันจะกลับไปเป็นเหมือนเดิมไหม จะมีอะไรที่คลี่คลายไหม เขาบอกว่ามันก็เป็นเหมือนเดิมแหละ เราว่า เออ มันก็จริง ใครมันจะไปเปลี่ยนอะไร เพื่อใครได้ ทุกคนมันก็ต่างเป็นตัวของตัวเองอย่างที่เป็นมาตลอดอยู่แล้ว
แล้วได้มีการคุยกันอะไรอย่างนี้ไหม ?
คุยกันน่ะคุยกันอย่างปกติแหละ แต่ปกติมันก็ไม่ปกติน่ะ มันอาจจะด้วยความที่เขาเป็นคนคาดเดาไม่ได้ อารมณ์ร้อน ปากร้ายหรืออะไรแบบนี้อยู่แล้ว แล้วเราไม่รู้ว่าเขาคิดอะไร เราไม่รู้เลย เรารู้แค่ว่าเขาทำแบบนี้ มันเป็นการคุยกันเหมือนเพื่อนที่ไม่ได้สนิท ไม่ได้รู้ว่าเขารู้สึกอะไรเท่าไหร่ มันเหมือนเปลือกกับเปลือกเจอกัน และมีการตัดสินอะไรในตัวอีกฝ่ายเสมอ
ทุกวันนี้มีอิสระแค่ไหนกับการใช้ชีวิต
หลังจากที่เราหนีไปเชียงใหม่ เราก็มีอิสระ
เรื่องเงินก็คือไม่ขาดแคลนแน่ๆ ดูแลชีวิตได้ ?
ใช่ๆ
แล้วเรื่องสิ่งที่ตัวเองตามหาล่ะ
ก่อนหน้านี้เรา suffer มากเรื่องนี้ เราอยู่ภายใต้มาตลอด เราไม่รู้ว่าเราเป็นใคร ไม่รู้ว่าเราทำอะไรได้ดี ไม่รู้ว่าควรทำอะไรต่อไป แต่พอไปอยู่เชียงใหม่ เรารู้สึกว่าเราแม่งเปลี่ยนไปเยอะ อยากลองทำอะไรที่เราไม่ชอบดูบ้าง สิ่งที่เราไม่เชื่อ หรือว่าสิ่งที่เราเกลียด สิ่งที่เราคิดว่าเราเกลียด สิ่งที่เราอคติ สำหรับตัวเรา เราโอเคขึ้น เราแค่ต้องหาที่ทางของตัวเอง แค่ต้องหาสิ่งที่เราชอบจริงๆ ให้เจอ เราต้องหาสิ่งที่เราทำแล้วเราอยู่กับมันได้ หาวิธีประนีประนอมตัวเองน่ะ เพื่อรักษาสมดุลของตัวเองให้ได้ ไม่งั้นเราตายแน่ ก่อนหน้านี้เราไม่รู้อะไรเลย เรารู้สึกว่าตัวเองไม่มีค่าเลย ไม่รู้เราอยู่ไปทำไม แต่แค่แป๊บเดียว ความคิดมันเปลี่ยนเร็วมาก
อะไรเป็นสิ่งที่เปลี่ยน จากที่เคยมองตัวเองว่าไม่มีค่า ?
อาจเพราะการหนีออกมานี่แหละ หนีออกจากบ้าน หนีไปเชียงใหม่ เราทะเลาะกับพ่อเขียนจดหมายทิ้งไว้ แล้วเราก็ขึ้นไปเชียงใหม่ เหมือนเราใช้เวลากับตัวเองเยอะ เราเขียน เราพยายามทำความเข้าใจตัวเอง แล้วเราไปเจอกับคนที่….มนุษย์ที่มีความรักน่ะ แล้วเราก็อ่านพวกกฤษณะมูรติ อะไรพวกนี้ เรามีสมาธิขึ้น มีสติขึ้น รู้ตัวขึ้น เวลาโกรธก็รู้ตัวว่าเราโกรธ พอมันรู้ตัว มันมีสติแล้วก็รู้ว่าเราควรจะทำอะไรกับตัวเองมากขึ้น คงจะเพราะแบบนั้น เราถึงกลับมาที่นี่ได้อย่างที่ไม่ suffer เกินไป
จุดมุ่งหมายในการมาอยู่ Forest Forest ?
วางแผนชีวิตของเราไว้ว่า มันจะมีชีวิตของ Forest Forest อยู่แค่ช่วงไฮซีซั่น แล้วที่เหลือมันจะเป็นเวลาของเรา เวลาที่เราอยากจะทำอะไรส่วนตัว พอรู้ว่าเราจัดระเบียบมันแบบนี้ได้ เราก็ไม่ต้องจมอยู่กับสิ่งนี้ตลอดเวลา รู้สึกว่าเรามีความหวังมากขึ้น
สิ่งที่อยากทำจริงๆ คืออะไร
ก็อย่างนี้แหละ เราไม่ได้อยากทำให้มันสบายหรือยิ่งใหญ่ ตอนนี้เริ่มรู้สึกว่ามันยิ่งใหญ่เกินไปสำหรับเรา เรียบร้อยเกินไปสำหรับเรา จริงจังเกินไป เราอยากทำแบบที่ Inchala อยากรู้สึกว่าที่นี่ถูกสร้างโดยเราเอง สร้างด้วยมือเราเอง ไม่รู้เหมือนกันว่าถ้าเป็นแบบนั้นเราจะเหนื่อยจนอยากตายรึเปล่า แต่มันไม่ได้ทำไง พอไม่ได้ทำมันก็เลยสงสัยอยู่ว่า ถ้าได้ทำมันจะรู้สึกยังไง คือทุกอย่างมันดูสำเร็จรูปไปหมดเลยพอเรามีเงิน
อยากจะตามหาสิ่งที่ตัวเองไม่เคยเจอ เช่นความลำบาก ?
ใช่ (นิ่งคิด) หาคุณค่า
ถือว่าทุกข์ไหมกับการเป็นคนมีเงิน
ทุกข์นะ… การมีเงินทำให้คุณค่ามันไม่มีน่ะ ทุกอย่างมันสำเร็จรูป ความสำเร็จรูปของมันแค่จ่ายเงิน เราก็ได้อะไรที่อยากได้แล้ว ไม่ได้ลงมือทำอะไรเลยด้วยซ้ำ แล้วเราเป็นคนที่ชอบการทำอะไรด้วยมือ ค่อยๆ ทำ ใช้เวลา ใช้ความรู้สึก ทำไปเรื่อยๆ เราชอบคุณค่าของงานแบบนั้น ซึ่งเราไม่เคยสร้างอะไรด้วยตัวของเราเองเลย นอกจากตอนเรียนแล้วทำงานออกมา แต่ชีวิตเราทั้งชีวิตเราไม่เคยสร้างอะไรออกมาเองแบบร้อยทั้งร้อยเลย เรามีความคิดที่จะทำ แต่เราพร้อมจะล้มเลิกได้ทุกเมื่อ ถ้าพ่อบอกว่าไม่ดี เราไม่มีความกล้าด้วย แล้วสถานะของเรามันไม่จำเป็นต้องทำอะไรก็ได้ พอไม่ต้องทำอะไร ก็กลายเป็นว่าเราไม่เคยสร้างอะไรขึ้นมา เลยรู้สึกว่าไม่มีคุณค่า
คิดว่าจะแก้ตรงนี้ได้ยังไง ต้องไปลำบาก ?
ไม่รู้เหมือนกัน อาจจะเป็นการทำที่นี่ให้ดีให้ได้หรืออะไรแบบนี้
คิดยังไงกับการต้องเลือกอะไร หรือทิ้งอะไร
การเลือกเป็นอะไรที่ยากมาก สำหรับเรา การเป่ายิ้งฉุบง่ายสุด ถ้าตัดสินใจอะไรไม่ได้ เราเป่ายิ้งฉุบแม่งก็จบเลย (หัวเราะ) แต่ในเรื่องใหญ่ๆ มันใช้การเป่ายิ้งฉุบไม่ได้ ก่อนหน้านี้เราก็ตัดสินใจไม่ได้ว่าเราจะหนีออกจากบ้านหรือจะไม่หนี จะทนอยู่โดยที่ไม่มีตัวเองเลย หรือหนีออกมา เราจะทิ้งครอบครัว ตัดสินใจไม่ได้ เลยไปดูดวง ให้เขาตัดสินใจให้ ซึ่งการดูดวงนั้นก็ไม่ช่วยเหี้ยไรเลย (หัวเราะ) สุดท้ายเราก็ออกมาเอง
อะไรที่ทำให้ตัดสินใจออกจากบ้าน?
เราแค่อยู่ไม่ได้ อยู่ต่อในเวลานั้นไม่ได้อีกแล้ว
ชีวิตเหมือนในหนัง ที่เป็นลูกคนมีเงินแล้วออกไปใช้ชีวิตลำบาก อารมณ์นั้นมั้ย
ไม่ได้อยากลำบาก เราแค่อยากรู้ว่ามันเป็นยังไง อยากรู้ว่าชีวิตอิสระมันเป็นยังไง เพราะเราไม่เคยมี เราไม่เคยมีชีวิตของตัวเอง
แต่การจะมีอิสระมันก็ต้องใช้เงินที่จะออกเดินทาง ?
เราเสือกมีเงินที่ไปปล่อยกู้ ก็เลยโชคดีตรงนั้น
ถ้าคนที่พักเขาถามว่า Forest Forest เกิดขึ้นมาได้ยังไงจะเล่าให้เขาฟังว่า
เกิดขึ้นมาด้วยโค้กใส่ถุงใส่น้ำแข็ง (หัวเราะ) อาจจะพูดเรื่องความฝันของเราตั้งแต่เด็กว่าเราอยากมาอยู่ในป่า
มีแผนอยากจะไปที่อื่นอีกไหม เช่นว่าไปต่างประเทศ ?
เราคิดว่าไปที่ไหนก็ได้ที่เรามีอิสระ สิ่งที่เราหาคืออิสระและคุณค่า เราต้องการอิสระ
อิสระคืออะไรในความหมายของคุณในวัยยี่สิบสี่
ตอนหนีไปเชียงใหม่ เราก็คิดว่าได้อิสระแล้ว แต่ว่าใจเรามันไม่ได้เป็นอิสระจากความคิดเลยว่ะ แปลว่ามันก็ไม่อิสระแล้ว มันต้องทั้งคู่ ทั้งกายภาพและภายใน เราหนีออกมา แต่เรายังเศร้าอยู่เลย หนีออกมา แต่เรายังโกรธอยู่เลย ไกลตั้งกี่ร้อยกิโลฯ แต่เรายังเหมือนหนีออกมาไม่ได้ อย่างนั้นมันก็ไม่อิสระ มีคนบอกว่าอิสรภาพอยู่ที่ใจ ให้เรา appreciate กับทุกอย่าง ให้เราชื่นชมทุกอย่าง อย่างที่มันเป็น เมื่อไหร่ที่เราเป็นอิสระจากตัวเองได้ เมื่อนั้นเราถึงจะเป็นอิสระแท้จริง แต่เรายังทำไม่ได้ ยังทำไม่ได้ขนาดนั้น คงต้องค่อยๆ ฝึกฝนตัวเอง.
เรื่องและภาพ: ทีมงานน่านไดอะล็อก