สวัสดีครับพี่หนึ่ง
ผมกลับมาอยู่เกาะได้ร่วมสัปดาห์แล้ว แต่ตอนนี้อยู่กับลูกกันสองคน ส่วนภรรยามีเหตุต้องเข้ากรุงเทพฯ
เหตุที่ว่าคือต้องกลับไปรายงานตัวควบคุมความประพฤติจากการกระทำผิดกฏหมาย เรื่องการเมาแล้วขับ
ช่วงสัปดาห์สงกรานต์ที่เราอยู่กรุงเทพฯ ผมกับภรรยาขับรถกลับจากการดื่มแล้วเจอด่านตรวจ
แอลกอฮอล์ เธอดื่มมาแล้วเป่ายังไงก็โดน แรกๆ ก็คิดจะเลือกทางลัด แต่จังหวะต่อรองขอความเห็นใจจากผู้พิทักษ์สันติราษฎร์ไม่ลงตัว แทนที่จะได้ขับรถกลับเหมือนกับคนอื่นๆ พวกเราต้องไปจ่อมอยู่ที่ สน. อีกร่วมสามชั่วโมง
ภรรยาต้องไปรอในห้องฝากขังบนชั้นสองของสถานีตำรวจ ส่วนผมอยู่ชั้นล่างดำเนินเรื่องและเดินไปกดเงินสดมาเพื่อรอประกันตัว
ผมหงุดหงิด แต่ก็พยายามคิดว่าเป็นประสบการณ์ชีวิต ที่ผ่านมาก็เคยพลาดโดนจับเป่าแล้วแอลกอฮอล์เกินมาบ้าง แต่ก็ขอพี่ตำรวจแบบติดปลายนวมแล้วรอดกลับบ้านมาได้ทุกครั้ง
รอบนี้ ตอนใกล้จะได้กลับ เห็นภรรยาต้องปั๊มลายนิ้วมือทั้งสิบลงเอกสารแล้วก็นึกถึงครั้งหนึ่งที่อาจารย์ชาญวิทย์ เกษตรศิริ เล่าให้ผมฟังด้วยความภูมิใจว่าแกเป็นนักวิชาการคนแรกๆ ที่ได้ปั๊มลายนิ้วมือที่สถานีตำรวจ จากคดีหมิ่นประมาทภรรยานายกรัฐมนตรี เรื่องกระเป๋าถือหรูหราราคาแพง
เรากลับมานอนได้ไม่กี่ชั่วโมงก็ต้องรีบตื่นแต่เช้าไป สน. เพื่อรอทำเรื่องขึ้นศาล ได้พบปะผู้ต้องหาคนอื่นๆ ก็เลยถามไถ่ว่าโดนได้อย่างไร มีคนนึงบอกว่าตั้งใจให้จับอยู่แล้ว เพราะไม่มีเงิน อีกคนบอกว่าฉุนที่ตำรวจมาแย่งมือถือไปจากมือ เลยมีปากเสียงกับเจ้าหน้าที่นิดหน่อย แทนที่จะได้เจรจาที่ด่าน กลับต้องมาลงเอยที่ สน. ทุกคนรู้แหละครับว่าการคุยที่ด่านตรวจทำให้เรื่องจบง่ายกว่า แม้จะไม่ถูกต้องต่อมโนสำนึกของเราเท่าไร
หนทางที่ถูกต้องมักยุ่งยากและเสียเวลากว่าเยอะ ความผิดเดียวกัน ถ้าเลือกทางง่ายจะเสียเวลาแค่ไม่กี่นาทีและเงินเพียงไม่กี่บาท แต่ถ้าเลือกหรือจำเป็นต้องเลือกทางยาก จะเสียเวลาดังนี้ สามชั่วโมงแรกที่สถานีตำรวจเพื่อฝากขังตามระเบียบ และรอคิวเจ้าพนักงานทำสำนวนก่อนประกันตัว ประกันตัวเสร็จกลับบ้านไปนอนพักสักห้าชั่วโมง แล้วมารออีกร่วมสองชั่วโมงที่สถานีตำรวจ ก่อนไปสำนักอัยการพร้อมๆ กับผู้ต้องหาคนอื่นๆ รออีกสองชั่วโมงที่สำนักงานอัยการเพื่อทำเอกสารยื่นฟ้องต่อศาล และอีกสองชั่วโมงที่ศาล เพื่อรอรับคำตัดสิน
นี่ขนาดสำนึกว่าตัวเองผิดจริง ผมยังรู้สึกหงุดหงิดและอึดอัดกับกระบวนการยุติธรรมได้ขนาดนี้ ผมนึกเห็นใจใครอีกหลายคนที่โดนดำเนินคดีโง่ๆ และไร้สาระอย่าง 112 หรือ 116 มูลเหตุอันบ้องตื้นไร้สาระกับกระบวนการอันเชื่องช้าชวนหงุดหงิดอาจทำให้ใครต่อใครบ้าเอาง่ายๆ
ในกรรมที่เราก่อ ภรรยาผมโดนปรับไปแปดพันบาท จำคุกสามเดือน แต่รอลงอาญา ต้องมารายงานตัวอีกสี่ครั้งในรอบหนึ่งปี และถูกเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่อีกหกเดือน ถ้าพูดเข้าข้างตัวเองก็คงจะบอกว่าโทษแบบนี้มันหนักเกินไป มันหนักแหละครับ เมื่อเทียบกับราคาของการติดสินบนแล้วขับรถออกจากด่านไปเลย แม้จะพูดได้ไม่เต็มปากว่าเราตั้งใจเลือกทางนี้ตั้งแต่แรก แต่มันก็เป็นสิ่งที่ผมกับภรรยาเล่าให้ลูกชายฟังได้อย่างเต็มใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้างในคืนนั้น และเราจัดการกับมันอย่างไร หลังออกมาจากศาล ภรรยาเอ่ยปากกับผมด้วยกังวลว่าสิ่งนี้อาจทำให้เธออดได้วีซ่าเดินทางไปต่างประเทศ ผมได้แต่ปลอบใจและบอกเธอว่าไม่น่าจะขนาดนั้น แต่ทั้งหมดมันเกิดขึ้นไปแล้ว ถ้ามีอะไรที่จะเป็นผลพวงต่อจากนั้นเราก็ต้องก้มหน้ายอมรับ และอยู่กับมันให้ได้
ถ้าลูกชายผมเจอเหตุการณ์นี้กับตัวเอง เค้าคงจะพูดว่า That’s not fair. หลังๆ ลูกชายพูดกับผมด้วยคำนี้บ่อยครับ บางครั้งลูกชายก็พูดถูก แต่บางครั้งก็ผิด เพราะใช้ประโยคนี้ด้วยความอิจฉา ความโกรธ และความโลภของตัวเอง ผมเชื่อว่าการที่ตั้งคำถามถึงความยุติธรรมบ่อยๆ น่าจะส่งผลดีมากกว่าผลเสีย ทุกครั้งที่ลูกชายพูดประโยคนี้มันทำให้ผมได้คิดและพูดคุยกับเค้าว่าอะไรมันเป็นอย่างไร
ล่าสุดในสนามซ้อมฟุตบอล ระหว่างเกมการซ้อมที่เล่นกันเป็นทีม ผู้เล่นคนหนึ่งจะวิ่งพาลูกบอลจากจุดหนึ่งไปอีกจุดหนึ่งแล้ววิ่งกลับมาแตะมือเพื่อนร่วมทีมคนอื่นๆ ให้ไปทำอย่างเดียวกัน ทีมไหนทำเสร็จก่อนเป็นผู้ชนะ ในการซ้อมนี้มีเด็กบางคนวิ่งออกจากจุดสตาร์ทเลยโดยไม่รอเพื่อนมาแตะมือ หรือบ้างก็วิ่งออกไปก่อนแล้วแตะมือเพื่อนระหว่างทาง ผมเห็นลูกชายทำอย่างนั้นเหมือนกัน หลังเกมผมจึงคุยกับเค้าว่าอย่าทำอีก ยืนรอที่จุดสตาร์ทให้เพื่อนแตะมือแล้วค่อยวิ่งออกไป
เค้าบ่นว่าทีมอื่นก็ทำอย่างที่เค้าทำและเป็นผู้ชนะในการซ้อมนั้น ทำไมป๊าต้องมาเตือนให้ลูกตัวเองทำอย่างนี้ด้วย ไม่เห็นยุติธรรมเลย! ผมบอกลูกว่าความซื่อสัตย์สำคัญกว่าชัยชนะ ผมไม่อาจเตือนเด็กคนอื่นๆ ได้ และโค้ชก็อาจมองได้ไม่ทั่วถึง (โค้ชน่าจะอยากสอนฟุตบอลมากกว่าสอนเรื่องความยุติธรรม 55)
ผมโน้มน้าวให้เห็นว่าชัยชนะที่ไม่ใสสะอาดนั้นไม่มีค่าอะไรเลย มันคือคำโกหกที่ผู้ชนะจอมปลอมใช้หลอกตัวเอง (นี่ไม่ได้ด่าเด็กๆ ที่เล่นฟุตบอลนะครับ พวกเขาแค่กำลังเรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างอยู่ ผมด่าผู้ใหญ่ที่หลอกตัวเองว่าเป็นผู้ชนะในสังคม) หลังการซ้อม โค้ชให้ลงเล่นจริงแบบสนามใหญ่ ช่วงหนึ่งมีการฟาวล์เกิดขึ้นกลางสนาม เด็กๆ ทีมที่ถูกทำฟาวล์เรียกร้องจะเอาลูกจุดโทษ โค้ชรันต้องพักเกมกลางคันเพื่อดูแลนักเตะจิ๋วที่บาดเจ็บ และใช้เวลาอีกพอสมควรเพื่ออธิบายว่ากติกาฟุตบอลไม่ได้เขียนไว้อย่างนั้น แค่ฟาวล์กลางสนามไม่ทำให้ทีมต้องเสียจุดโทษหรอก
หลังบทเรียนเรื่องกติกาในเกมฟุตบอล เหล่านักเตะตัวน้อยก็กลับเข้าประจำตำแหน่งและเล่นกันต่อ ส่วนผมผู้นั่งมองเหตุการณ์ก็ย้อนคิดถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเองและภรรยาเมื่อสัปดาห์ก่อน เมาแล้วขับนั้นผิดกติกาแน่นอน รับโทษเท่าไรอย่างไรก็ว่ากันไป หวังเพียงแต่ว่าโทษและคดีติดตัวเพียงแค่นี้คงไม่ทำให้พวกเราอดได้วีซ่าเดินทางไปต่างประเทศอย่างที่ภรรยากังวล แค่พลาดทำฟาวล์กลางสนาม จะให้ถึงกับต้องเสียจุดโทษเลยก็คงไม่ยุติธรรมเท่าไรนัก
ด้วยรักและมิตรภาพครับ
จ๊อก
ตอบ จ๊อก
เมาแล้วขับ ควรได้รับโทษเท่าไร ?
ฝ่ายเราซึ่งไม่ใช่นักกฎหมาย ไม่มีประสบการณ์มานั่งคิด ว่าผิดเท่านี้ๆ ควรชดใช้อย่างไร ให้คู่ควร ชอบธรรม สมน้ำสมเนื้อกับผลกรรมที่ก่อ ให้พิจารณาแบบบ้านๆ ว่ากันในฐานะประชาชน (บวกการเป็นเพื่อน) เบื้องต้น เราเห็นใจเคสของภรรยาคุณ (และใครอีกหลายๆ คน) คือเมาแล้วขับนั้นผิดแน่ๆ ข้อนี้เราไม่ต้องเถียงกัน เมื่อผิด ย่อมต้องได้รับโทษ (อย่างเป็นธรรม) รายละเอียดที่ต้องถกกันให้มากก็คือ เมาแปลว่าอะไร ความสามารถในการขับขี่ ระดับแอลกอฮอล์หรือปริมาณการดื่มของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ถูกมั้ย บางคนดื่มมาก แต่อาจจะคอแข็ง ขับได้เท่าเทียมคนไม่ดื่ม และตั้งแต่ประพฤติปฏิบัติในวัตรเมรัยมาก็ไม่เคยมีอุบัติเหตุ (คนละเรื่องกับว่าอนาคตจะไม่มีนะครับ และไม่ได้แปลว่าประมาท กระหยิ่มยิ้มย่องว่าข้าพเจ้าสุดยอด –อุบัติเหตุมันเกิดขึ้นได้หมดแหละ ไม่ว่ากับนักเลงสุรา หรือพระสงฆ์ผู้ถึงพร้อมด้วยสติ)
ฉะนั้น มันก็พูดยากว่ะ และไม่แฟร์นักกับนักดื่มที่เขามีวินัยจราจรที่ดี ขับขี่อย่างปลอดภัย ในมุมกลับกัน คุณหรือใครก็เห็น ออกไปใช้ชีวิตบนถนนทุกครั้ง แม่งไอ้ที่ขับรถเหี้ยๆ กันอยู่นั้นน่ะ ไม่ใช่ว่าเพราะดื่ม ไม่ได้เพราะเมา แต่มันเหี้ยโดยสันดาน เหี้ยเพราะไม่ผ่านการขัดเกลา เหี้ยด้วยไม่สำนึกถึงการใช้ชีวิตร่วมกับผู้อื่น แล้วกลุ่มนี้ก็ไม่น้อยเลยที่ลงเอยด้วยชนเฉี่ยว สร้างความเสียหายต่อชีวิตและทรัพย์สินผู้บริสุทธิ์ซึ่งไม่รู้อิโหน่อิเหน่อะไรด้วยเลย เราถามหน่อย ถามดังๆ ว่าแล้วทีแบบนี้ ตำรวจจะใช้เครื่องวัดชนิดไหน มีใครคิดเครื่องมือมาตรวัดมาตั้งด่านตรวจจับ ปรับ จำคุก หรือสั่งเพิกถอนใบอนุญาตขับขี่ ฯลฯ
เอาจริงๆ นะ เราชอบดื่มสุรา (ตำรวจที่ตั้งด่านและจับคุณหลายคนก็ชอบดื่ม บางทีดื่มมากกว่ากูด้วย) เคยดื่มแล้วขับ (ยังไม่มีอุบัติเหตุ) พบว่าการดื่ม (ในปริมาณหนึ่ง) ทำให้มีสติ สมาธิ และระมัดระวังมากยิ่งขึ้น ย้ำอีกทีว่าในปริมาณหนึ่ง หากใครเป็นนักเลงสุราคงพอนึกออก แอลกอฮอล์ที่เหมาะสมช่วยให้เราเข้าถึงสมาธิง่าย คล้ายเป็นสารตั้งต้น เพาะ ก่อ รวบรวมสมาธิได้ดี กระทั่งบางทีอาจจะดีกว่าภาวะปกติ นี่เอาประสบการณ์ตรงๆ มาคุยกัน เอาความจริงมาเขียน และไม่ได้เชียร์ให้กุลบุตรกุลธิดาเอาเยี่ยงอย่าง นิสัยเราคือเรื่องของมึง ใครใคร่ดื่มนม เชิญชื่นชมตามอัธยาศัย เราอยู่ฝ่ายนิยมทั้งนมและเหล้า กฎหมายทุกชนิดต้องออกแบบมาเพื่อความยุติธรรมของคนทุกกลุ่ม ใครดื่มนมแล้วขับเหี้ย คุณก็ไปจับปรับเขาบ้าง ใครดื่มเหล้าแล้วขับดี คุณควรมีเมตตา หาทางออกอย่างอารยะ
อะไรก็ตาม เราเห็นว่าถ้าดื่มสุราแล้วสร้างปัญหา ขับเฉี่ยวชน กับคนเหล่านี้ สมควรได้รับโทษสถานหนัก (จำนวนเท่าไร ฝากให้ผู้เชี่ยวชาญกฎหมายช่วยประเมินด้วยหัวใจที่ถึงพร้อมในฐานะมนุษย์) อะไรก็ตาม กับคำว่า ‘หนัก’ เราหมายความว่าหนักอย่างเป็นธรรมกับผู้กระทำผิด คล้ายๆ เรื่อง ม.112 เรามีทัศนะคล้ายคณาจารย์ ‘นิติราษฎร์’ ที่ออกมาเสนอต่อสาธารณะนานแล้วว่า การกำหนดบทลงโทษที่หนักเกินไปไม่ได้ส่งผลดี
ให้ยาแรงๆ ไปเลย จะได้หลาบจำ ไม่ทำผิดอีก –ข้อความนี้ไม่เป็นความจริง และไม่ยุติธรรม
ไม่งั้นโลกนี้ไม่มีคนมาสายหรอก โลกนี้ไม่มีคนขับรถผ่าไฟแดง –ก็เพราะมันไม่จริงไง คนจะมาสาย บางทีมันมีเหตุสุดวิสัย คนผ่าไฟแดงด้วย human error ก็มีจริง ใช่แต่เพียงนิสัยสันดานประมาท ไม่เคารพกฎ
คุณเห็นว่ามันเป็นธรรมจริงๆ เหรอวะ ถ้าเพียงใครคนหนึ่งจอดรถในตำแหน่งห้ามจอด หากใครผ่านไปพบเจอ เผาแม่งเลยก็ได้ –ก็ใช่ไง มันไม่ยุติธรรมไง เราถึงต้องซีเรียสและละเอียดอ่อนในการสร้างกติกา โลกอารยะเราอยู่กันอย่างนี้
เอาประสบการณ์ตรงอีกสักเรื่อง ตั้งแต่ริลองใช้รถมา เราเคยขับชนหนึ่งครั้ง
กลางวันแสกๆ เนื้อตัวสะอาดสะอ้าน ไร้แอลกอฮอล์
ชนกิ่งไม้ ด้วยไม่สนใจเบื้องบน มัวแต่มองลานจอดรถเบื้องล่าง หามุมสงบเพื่อลงไปกินข้าว มากันตั้งหลายคนด้วยซ้ำวันนั้น เชื่อมั้ย ไม่มีใครสักคนที่มองเห็นกิ่งไม้ สรุปก็ชนเข้าไปเบาๆ พอได้บาดแผลอาภรณ์
เรื่องเมาแล้วขับ ไม่ใช่แค่คุณหรอกที่เคราะห์ร้ายถูกจับ เป่า ปรับ น้องชายที่สนิทชิดชอบกันคนหนึ่งเคยติดคุกมาหลายครั้งแล้วกับเรื่องนี้ ย้ำ–หลายครั้ง บุรุษที่ว่า ทั้งชีวิตเขาไม่เคยก่ออุบัติเหตุจากการใช้ยวดยาน บุรุษที่ว่า เป็นคนจิตใจดีอย่างยิ่ง เอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ ขยันอ่านเขียน การงานเติบโตก้าวหน้า ถึงบอกว่าฟังเรื่องแบบนี้แล้วก็เข้าใจ เห็นใจ และอยู่ฝ่ายสนับสนุนให้เจ้าหน้าที่รัฐ นักกฎหมาย ศาล หาจุดพอดี สร้างความเป็นธรรมกับผู้ขับขี่
ส่วนเรื่องหนึ่งหนึ่งสอง และหนึ่งหนึ่งหก เราว่าเราพูดไปเยอะแล้วว่ะ นอกจากไม่ได้ผล ดูเหมือนจะเจอคนเถื่อนถ่อยมากขึ้นๆ หมายถึงฝ่ายรัฐหรอกนะ ฝ่ายประชาชน โดยเฉพาะหนุ่มสาวที่ลุกขึ้นสู้ทุกคน ขอได้รับการคารวะ.
ปล.
เอาใจช่วยทั้งคุณและภรรยา ว่าให้ได้วีซ่า ถ้าจะขอ จะไปไหนเมื่อไร ก็ขอให้เรียบร้อยราบรื่น มันโหดเกินไป ใจร้ายเกินไป กับการทำฟาวล์วกลางสนามแล้วโดนจุดโทษ กรรมการที่มีสติปัญญาดีๆ เขาไม่ทำแบบนั้นกันหรอก
เกี่ยวกับผู้เขียน : จ๊อกเป็นคนทำโรงพิมพ์ที่สนใจศิลปะ วรรณกรรม และสังคมการเมือง เป็นผู้อยู่เบื้องหลังเทศกาลหนังสือเล็กๆ หลายครั้ง ใช้ชีวิตอยู่กรุงเทพฯ มานานปี วันนี้ตัดสินใจย้ายไปเป็นชาวเกาะพะงัน